เมื่อครู่เพิ่งจะได้ชมหิมะอย่างมีความสุข แต่เพียงพริบตาเดียว ทั้งทิวทัศน์และความหอมหวนของชาล้วนสลายหายไปหมด
กาน้ำชาร้อนๆ เอียงกระเท่เร่ ใต้เท้าเฉินใราวกับได้ไปพบพระพุทธองค์ประสูติจนเสด็จขึ้น์ รู้สึกว่าตนช่างโง่งมนัก
ทั้งที่เห็นว่าอนาคตของตนกำลังจะสดใสอยู่แล้วแท้ๆ เหตุใดเขาจึงต้องเอาตัวเองมาทรมานเพื่อชมหิมะด้วยเล่า
ใต้เท้าเฉินเพิ่งจะรู้สึกเสียใจ หากรู้เช่นนี้คงจะฟังคำของจู่ปู้อู๋ั้แ่แรก
ยามมองศิษย์ของตนหรือก็คือคุณชายเฉินเ้าปัญญาที่เบี่ยงกายหลบกาน้ำชาอย่างคล่องแคล่ว ในใจก็พลันหดหู่ขึ้นมา ยามคับขันเช่นนี้ศิษย์ของตนก็ยังไม่อาจพึ่งพาได้
“ชีวิตข้าจบเห่แล้ว!” ท่านนายอำเภอเฉินะโเสียงดัง
ดวงตาทั้งสองของตนก็ปิดลงยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ทว่าไม่คาดคิดว่าสิ่งที่รอคอยเขาอยู่กลับไม่ใช่กาน้ำชาร้อนๆ กานั้นแต่เป็เชือกเส้นหนึ่งต่างหาก
ร่างของเขาถูกเชือกเส้นหนึ่งคล้องเข้า จากนั้นทั้งร่างก็พลันทะลุหน้าต่างรถออกมาภายนอก ท่าทางของเขาราวกับกำลังโบยบิน ในใจดั่งกำลังขึ้น์ก็ไม่ปาน
เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็เห็นว่าตนกำลังบินอยู่จริงๆ
บ่วงเชือกที่คล้องร่างของเขาไว้นั้นกำลังพาเขาโบยบิน จากนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นดิน ทว่าพื้นดินกลับเต็มไปด้วยหิมะ ท่านนายอำเภอเฉินรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เจ็บถึงเพียงนั้น ร่างของชายชรากลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้น ทั้งร่างจึงคลุกไปด้วยหิมะ
เขาเป็คนทางใต้ที่กล่าวว่ามาชมหิมะ ความหมายก็คือมาชมจริงๆ ไม่มีทางจะลงไปััมันเป็อันขาด ทว่าบัดนี้กลับต้องมานอนหอบอยู่บนพื้นหิมะ สิ่งที่ปรากฏในสายตามีเพียงผืนฟ้าสีขาว หูยังได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ไกลๆ
ท่านนายอำเภอเฉินรู้สึกได้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตตน หัวใจเขาเต้นแรงนัก ในขณะนั้นเองตรงหน้าของเขาก็มีเด็กหญิงตัวน้อยปรากฏกายขึ้น
ใบหน้าน้อยๆ นั้นช่างงดงามราวกับดอกฝูหรงที่เบ่งบานอยู่กลางผืนหิมะ เด็กหญิงหัวเราะคิกก่อนจะยื่นมือมาให้ตน ชายชรายื่นมือให้นาง จากนั้นจึงเห็นว่าเด็กหญิงดึงตนให้ลุกขึ้นมาจริงๆ เพียงพริบตาฟ้าดินก็กลับคืนสู่ความปกติ
เด็กหญิงค่อยๆ ย่อกายลงนั่งข้างกายเขา ทว่าตรงพื้นหิมะที่นางนั่งลงนั้นกลับปูหนังสัตว์หนาๆ ไว้ผืนหนึ่ง ทันใดพื้นหิมะเย็นๆ ที่เขานั่งอยู่ก็ทำให้บั้นท้ายรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
“ท่านลุงไม่ต้องกลัว เหล่าพี่ชายของข้ากำลังไปช่วยคน ทั้งยังจับคนเลวได้ด้วย ข้าจะคอยปกป้องท่านเอง” เด็กหญิงกล่าวไปก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าของตนแล้วหยิบขวดน้ำออกมาเทลงจอกใบหนึ่ง และยื่นให้เขา
จอกน้ำที่นางถือไว้ด้วยมือสั่นๆ ของนาง ยามที่เทน้ำใส่ลงไปก็เห็นว่าในน้ำยังมีกลีบดอกไม้และเนื้อพุทรา ทั้งยามที่อยู่ท่ามกลางหิมะเช่นนี้ก็ยังมีไอร้อนลอยกรุ่นขึ้นมา
ชายชรายื่นมือออกมารับจอกน้ำนั้นไป จากนั้นก็ดื่มลงไปอึกหนึ่ง เพียงอึดใจก็รู้สึกว่าความอบอุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านจากปากไปสู่ทั่วทั้งสรรพางค์กาย
น้ำจอกนี้น่าจะเป็ชาที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยดื่มมา ยามนี้เขาดีใจนักที่บิดามารดาตั้งชื่อตนได้ดีถึงเพียงนี้ ชื่อเต็มของเขาคือเฉินเจี๋ยอวี๋ ตัวอักษรเขียนได้ตรงตามเสียง ทำให้เขาเป็คนตรงไปตรงมาตามชื่อของตน
ชายชราใจนขาอ่อน ยามนั่งอยู่บนพื้นหิมะแล้วได้ดื่มชาร้อนๆ และของว่างที่เด็กหญิงยื่นให้ นั่งมองกลุ่มคนกำลังตีรันฟันแทงกัน
เอาเถิด ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะออกมาชมหิมะอยู่แล้ว เพียงแต่หิมะแถวนี้ออกจะมีกลิ่นคาวเืแรงไปสักหน่อย
พื้นหิมะสีขาวบริสุทธิ์ไม่นานก็มีรอยเืสาดกระเซ็นเป็ดวงๆ
นายอำเภอใจนไม่กล้าลืมตา ทว่าก่อนจะหลับตา เขายังมีใจยื่นมือไปปิดตาเด็กหญิงไว้ก่อน จากนั้นจึงค่อยปิดตาตัวเองพร้อมร่างกายที่สั่นสะท้าน
เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงพลันดังขึ้น “ท่านลุงไม่ต้องกลัวไป พวกพี่ชายของข้าร้ายกาจนัก”
“แล้วเ้ากลัวหรือไม่”
เด็กหญิงส่ายหน้าช้าๆ
“เหล่าผู้าุโในหมู่บ้านของพวกเราบอกว่า ยามอยู่บนทุ่งหญ้าอันห่างไกลเช่นนี้ ชีวิตเราจำต้องสู้กับฟ้า สู้กับดิน สู้กับคน ชีวิตจึงจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน” เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงตอบขึ้นอย่างหนักแน่น
นายอำเภอพลันใ “ผู้าุโในหมู่บ้านเ้าช่างมีวิสัยทัศน์นัก กล่าวได้มีเหตุผลโดยแท้”
เฉินโย่วจึงได้กล่าวอธิบายต่อ “ที่จริงแล้วความเดิมที่เหล่าผู้าุโในหมู่บ้านกล่าวก็คือ...ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพียงแค่หยิบมีดขึ้นมา ยามมีชีวิตก็เกี้ยวพาสตรี ยามต้องไปเยือนปรโลกก็ไปเกี้ยวพาิญญาสตรี! ต่อมาท่านอาจารย์ของข้ากล่าวว่าวาจาเช่นนี้ฟังดูไม่สง่างามนัก จึงได้เปลี่ยนเป็ประโยคเมื่อครู่ แต่ก็ยังความหมายเดียวกัน”
ใต้เท้าเฉินพลันนิ่งค้างด้วยคำพูดของเด็กหญิง ดวงตาก็ลืมที่จะปิดลง จากนั้นจึงกลับมาสนใจตนเอง ท่านนายอำเภอพลันรู้สึกว่าอันตรายรอบกายตนเหมือนจะจากไปไกลแล้ว จึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันใด
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พบกับอันตราย เป็ครั้งแรกที่ได้นั่งบนหิมะ และเป็ครั้งแรกที่เผลอหัวเราะออกมาเพราะคำพูดของเด็กหญิงคนหนึ่ง
ประกายดาบที่ฟาดฟันกันอยู่ตรงหน้าเขา ยามนี้ได้ยินเพียงเสียงของมันแว่วมาเป็เสียงประกอบภาพทิวทัศน์
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ยามประสบกับความทุกข์ยาก คนแรกที่เราได้พบมักจะสลักลึกอยู่ในใจไม่มีวันลืมเลือน
ยามนี้ท่านนายอำเภอเฉินไม่ได้รู้สึกอะไรเป็พิเศษ ทว่าชีวิตของเขาหลังจากนี้ ตลอดเส้นทางที่แสนยาวไกลในชาตินี้ของเขาย่อมไม่มีทางลืมเลือนเด็กหญิงที่ทำให้เขาลืมอันตรายตรงหน้าในวันนี้ได้
เด็กหญิงผู้กล้าหาญ และน้ำเสียงที่แสนไร้เดียงสาของนาง
นั่งดื่มชาชมหิมะเคล้ากลิ่นความตายที่ลอยมา
จวบจนใต้เท้าเฉินถูกเชิญขึ้นไปบนรถม้าอีกครั้ง ยามรถม้าเริ่มออกตัวเคลื่อนขึ้นไปบนเขา เขาจึงเพิ่งจะได้สติคืนจากประสบการณ์ไม่คาดฝันเมื่อครู่นี้
ด้านหลังยังมีเหล่าบัณฑิตและขุนนางที่ได้รับาเ็ตามมาด้วย ท้ายสุดของขบวนก็ยังมีเหล่าโจรร้ายที่โดนจับได้ถูกต้อนตามมาเช่นกัน
เป็เพราะรถม้าอยู่ดีๆ ก็ทรุดไปตรงหน้าูเากระดูก จึงทำให้พวกเขาอยู่ไกลจากตัวอำเภอพอสมควร และเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีก กระทั่งเหล่าบัณฑิตที่ตอนนี้สติยังไม่ค่อยกลับมาเท่าใดนักก็ล้วนยินยอมที่จะตามขึ้นเขาไปด้วย
ยามนี้ใต้เท้าเฉินนั่งอยู่บนรถม้าคันใหม่ แน่นอนว่ามันเทียบไม่ติดกับรถม้าคันก่อน ตลอดทางขึ้นเขาทิวทัศน์สองข้างทางเต็มไปด้วยอันตราย มีทั้งหน้าผาสูงชันและสระน้ำลึก ทางเข้ามีเพียงถนนขรุขระเส้นเล็กแคบให้สัญจร
มีหลายครั้งที่ชายชราหันกลับไปมองด้านหลังอย่างกระวนกระวาย ทว่าเมื่อหันกลับมามองเด็กหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าตน ใบหน้าเล็กๆ ไม่เป็กังวลต่อสิ่งใด เขาเองจึงพยายามฝืนให้ตัวเองผ่อนคลายลงเช่นกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะเดินทางมาถึงยอดเขาได้ ทั้งบัณฑิตและขุนนางล้วนแต่กำลังตกอกใ โดยเฉพาะเหล่าคนที่ได้รับาเ็มา
คุณชายเฉินที่ก่อนหน้านี้ยังนั่งอยู่ในรถม้า ยามเกิดเื่นั้นประจวบเหมาะกับตอนที่เขากำลังชงชาอยู่พอดี แม้ว่าในตอนแรกเขาจะหลบกาน้ำชาที่มีน้ำชาร้อนๆ เต็มกานั้นพ้น ทว่าเขากลับโดนเตาไฟตัวเล็กกลิ้งมาชนเสียได้ อาการาเ็ที่ได้จากเตานั้นก็นับว่าไม่เบาเลย
รถม้าที่นั่งมาราวกับกำลังเอียงไปด้านข้างตลอดเวลา ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ด้วยกลัวว่าหากไม่ระวัง รถม้าก็อาจจะพลิกคว่ำจนพวกเขาทุกคนอาจตกลงไปตาย ทว่าเมื่อถึงยอดเขาแล้วได้เห็นหิมะสีขาวปกคลุมไปทั้งท้องทุ่ง ตรงกลางมีูเาเล็กๆ นูนขึ้นมา ้ายังมีผ้าหลากสีแขวนเอาไว้ เมื่อกวาดสายตาไปอีกก็เห็นกระท่อมไม้ปลูกเรียงกันเป็แถวอย่างเป็ระเบียบ ดูแล้วสถานที่แห่งนี้ราวกับหลีกเร้นจากโลกที่แสนวุ่นวายภายนอกก็ไม่ปาน
คนกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งมาถึงจึงพากันถอนหายใจออกมา เหล่าเด็กหนุ่มมือสังหารที่เมื่อครู่เพิ่งจะช่วยชีวิตพวกเขาไว้ สิ่งแรกที่พวกเขาทำเมื่อมาถึงยอดเขาคือการคารวะูเาลูกเล็กที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอย่างนอบน้อม ทั้งยังคารวะแบบเต็มพิธีด้วย พวกเขาแนบศีรษะคารวะกับพื้นอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นประนมไหว้
บนยอดเขามีเพียงหิมะ ผ้าหลากสีที่แขวนอยู่บนูเาลูกน้อยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ยามอยู่ใต้แสงตะวันก็ยิ่งทำให้มันดูงดงามเป็พิเศษ
ท่าทางของทุกคนยามมองจึงเต็มไปด้วยความศรัทธา และความสนใจ
ท่านนายอำเภอยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เขาเห็นว่าเด็กหญิงก็คารวะูเาลูกนี้อย่างตั้งใจไปรอบหนึ่งเช่นกัน
ในใจเขายังคิดอยู่ว่า หรือว่าธรรมเนียมของชาวบ้านที่นี่จะเป็จุดกำเนิดของความเชื่อกันนะ ยามที่พวกเขาคารวะหิมะกองนี้ก็ดูตั้งใจเหลือเกิน
ทว่าเหล่าบัณฑิตกลับไม่เชื่อเื่นี้ ซ้ำยังนึกดูถูก เสมียนซูกลับพาเหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งไปคารวะพร้อมกับตน
ทุ่งหญ้าไร้ความเจริญอย่างที่แห่งนี้มีสถานที่แปลกๆ อีกมากมาย เช่นเดียวกันกับชาวบ้านที่นี่ ดังนั้นใครจะรู้ว่าเราจะไปยั่วโทสะเ้าสิ่งนี้เข้าหรือไม่ อีกทั้งยามที่พวกเขาคารวะูเาลูกนี้เสร็จ ก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายขึ้น ราวกับว่าร่างกายได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งออกไปก็ไม่ปาน
ใต้เท้าเฉินมองคนตรงหน้าแล้วครุ่นคิดในใจ แม้ว่าเขาจะตรงไปตรงมา ทว่าเขาไม่ได้โง่ ดังนั้นจึงทำตามพวกเขาแล้วคารวะหิมะกองโตตรงหน้าด้วย เมื่อคารวะเสร็จ ร่างกายก็พลันรู้สึกสดใสผ่อนคลายขึ้นมา
เหล่าบัณฑิตต่างไม่ยอมจะคารวะ ด้วยเชื่อว่ายังมีองค์เง็กเซียนฮ่องเต้อยู่ เช่นนั้นใครเล่าจะไปคารวะสิ่งอื่นง่ายๆ
เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง ูเาหิมะลูกน้อยก็มีกะโหลกศีรษะมนุษย์ค่อยๆ โผล่ออกมา ใบหน้านั้นราวกับกำลังอมยิ้มมองเหล่าบัณฑิต