โม่เสวี่ยถงมองกิ่งเหมยในมืออย่างอึ้งงัน เ้าสิ่งนี้ยังเรียกว่าดอกไม้ได้อีกหรือ?
ดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่บนกิ่งถูกเขาควงเล่นในมือจนบอบช้ำ เหลือเพียงเกสรสีเหลืองอ่อนกับกลีบดอกที่อยู่ในสภาพจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่อยู่อีกสองสามกลีบ ชื่อเรียกที่สมควรตั้งให้ มีเพียงคำเดียวคือ 'อนาถ'
เฟิงเจวี๋ยหร่านเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว แต่ไม่ได้ยินเสียงเท้าตามมา จึงเหลียวหันไปมองอย่างไม่พอใจ ก็เห็นโม่เสวี่ยถงกำลังจ้องมองกิ่งเหมยที่ถืออยู่ในมืออย่างอึ้งงัน สายตาจับอยู่ที่ช่อดอกซึ่งอยู่ในสภาพ 'อเนจอนาถ' หนังหน้าที่มักจะหนาอยู่เสมอของชายหนุ่มพลันแดงเถือก ยังดีที่โม่เสวี่ยถงมิได้มองมา จึงไม่เห็นความผิดปรกติของเขา
เฟิงเจวี๋ยหร่านปรี่เข้าไปฉวยกิ่งเหมยที่กลายเป็ซากไปแล้วจากมือของโม่เสวี่ยถงแล้วโยนทิ้งไป โดยไม่นำพาต่อท่าทางตะลึงพรึงเพริดของนาง จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้น เอื้อมมือไปหักกิ่งเหมยลงมาอีกหนึ่งกิ่ง ซึ่งคราวนี้มาในสภาพครบถ้วน ดอกเหมยกำลังบานสะพรั่งอยู่บนกิ่งดูงดงามสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นก็ยัดใส่มือของโม่เสวี่ยถงด้วยท่าทางคล้ายรำคาญใจเหมือนเดิม แล้วกล่าวลอยๆ “ที่ไม่สวยก็โยนทิ้งไป เอากิ่งนี้ไปแทนแล้วกัน”
“เอ้า... รีบตามมาเร็วๆ สิ จะชดใช้ความผิดทั้งทีไม่เห็นมีความจริงใจเลย” กล่าวจบก็หมุนตัวสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป
ใครชดใช้ความผิด... เขาชมป่าเหมยแล้วอารมณ์ไม่ดีเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ดูอย่างไรก็เป็เื่ที่ไม่อาจเชื่อมโยงกันได้แท้ๆ แต่พอออกมาจากปากของเขา อะไรก็เปลี่ยนเป็เหตุเป็ผลไปหมด เ้าคนจองหองอวดดีผู้นี้ช่างแน่นัก ดูจากท่าทางแล้ว หากวันนี้ไม่เดินเล่นเป็เพื่อนคงไม่ได้
นางเหลือบมองดอกเหมยในมือ แล้วจ้องไปยังแผ่นหลังของเฟิงเจวี๋ยหร่านที่ก้าวยาวๆ ออกไป แต่แท้ที่จริงแล้วก็มิได้เดินไปเร็วนัก โม่เสวี่ยถงจำต้องเร่งฝีเท้าตามเขาไปให้ทันด้วยความจนใจ เขามีสถานะสูงส่งอำนาจเหลือล้น นางไม่อาจล่วงเกินได้จริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงเท้าก้าวถี่ๆ ตามมาด้านหลัง เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ผลิยิ้มเบิกบานไปถึงก้นบึ้งของดวงตา หัวใจสุขล้ำอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งสองต่างเดินเงียบๆ สงวนวาจา โม่เสวี่ยถงตามหลังของเฟิงเจวี๋ยหร่านห่างกันประมาณหนึ่ง่ก้าว โม่เยี่ยตามอยู่ด้านหลังของโม่เสวี่ยถง โดยทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป แบบนี้ก็นับว่าอยู่ในสายตา ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมอันสมควร แต่โม่เสวี่ยถงยังรู้สึกพะว้าพะวง ยิ่งเห็นสายตาของเหล่าคุณหนูที่พาสาวใช้มาด้วยสองสามคนมองเฟิงเจวี๋ยหร่านที่เดินนำหน้าพวกนางด้วยความเคลิบเคลิ้ม กิ่งเหมยที่ถืออยู่ลื่นหลุดจากมือไปเมื่อใดก็ยังไม่รู้ตัว จึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าเื่นี้ตนเองคิดน้อยไปจริงๆ
เมื่อครู่มัวแต่กังวลว่าตนเองจะล่วงเกินเฟิงเจวี๋ยหร่าน ยามนี้เพิ่งตระหนักได้ว่ารูปโฉมที่หล่อเหลาเกินมนุษย์ของเขานี่แหละคือปัญหาใหญ่ หากมีข่าวลือแพร่งพรายออกไปว่าตนเองมาเดินตามเขาไปรอบป่าเหมย น่ากลัวว่าวันนี้นางจะต้องตกเป็ที่ครหาในแวดวงสตรีชั้นสูงเป็แน่ นางได้ยินมาว่าเซวียนอ๋องผู้นี้มีชื่อเสียงดีงาม หญิงสาวสกุลสูงที่เลื่อมใสชื่นชมเขามีมากยิ่งกว่าขนวัว
เมื่อหัวใจรู้สึกหวาดหวั่น หน้าผากก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพราย นางเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ไม่กล้าสร้างศัตรูมากเกินไป เดิมทีแค่อุบายของโม่เสวี่ยิ่และฟางอี๋เหนียงคนทั้งเมืองก็จับตามองมาที่นางจะแย่อยู่แล้ว หากเกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก คงได้มีศัตรูเพิ่มขึ้นจนนับไม่ไหวแน่นอน
เฟิงเจวี๋ยหร่านรู้สึกว่าฝีเท้าของโม่เสวี่ยถงดูเชื่องช้าลังเล จึงหันกลับไปยิ้มให้ กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ความหมายฟังดูเหมือนเป็การแสดงให้เห็นว่า้าช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
“เป็อะไรไป ไม่สบายหรือ ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่รู้หรือว่าต้องขยับเขยื้อนร่างกายให้มากหน่อย วันนี้เปิ่นหวางอารมณ์ดี จะเดินเล่นออกกำลังกายเป็เพื่อนเ้าก็แล้วกัน ถือว่าเป็การทำความดีสักเื่หนึ่ง”
คนผู้นี้... หนังหน้ายังหนาได้อีกหรือนี่ เชื่อเขาเลย โม่เสวี่ยถงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบๆ กลอกตาไปรอบหนึ่ง แล้วแสร้งเออออไปกับวาจาของเขา “เซวียนอ๋องทรงปรีชา แท้จริงแล้วอาการป่วยของหม่อมฉันยังไม่ฟื้นฟูดี ร่างกายอ่อนแอ...”
“โม่เสวี่ยถง อย่าใช้คารมของเ้ามาลวงหลอกข้าเสียให้ยาก ข้าไม่หลงบ้าจี้ไปด้วย” หางคิ้วของเฟิงเจวี๋ยหร่านกระดกขึ้น แม้ว่ายังคงยิ้มอยู่ แต่น้ำเสียงกลับแผ่ไอเย็นออกมาให้ััได้อย่างชัดเจน ทำเอาโม่เสวี่ยถงต้องกลืนคำพูดกลับไปอย่างตะลึงงัน “มีอะไรก็แค่พูดความจริงออกมา ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ก็อย่าไร้สาระ!”
คนผู้นี้ช่างเอาใจยากเหลือเกิน เมื่อครู่นี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เลย มาตอนนี้อยู่ๆ ก็หน้าบึ้งเสียแล้ว แม้ว่าโม่เสวี่ยถงจะเตรียมใจมาบ้าง แต่ก็ยังอดถอนใจให้กับความพิถีพิถันของเซวียนอ๋องผู้นี้ไม่ได้ ไม่ว่าเื่ไหนล้วนปดเขาไม่ได้ ดูจากหางตาเย็นะเืปานน้ำแข็งที่เขากวาดมองคุณหนูเ่าั้ โม่เสวี่ยถงก็คาดเดาได้ว่าเขาคงรู้ทั้งหมดแล้ว แค่รอฟังตนเองพูดไร้สาระออกมาเท่านั้น
ท่านอย่าไวต่อความรู้สึกถึงเพียงนี้ได้หรือไม่...
โม่เสวี่ยถงนึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็ถูกเขาจับไต๋ได้แล้ว ก็พูดตรงๆ ไปเลยก็แล้วกัน ลับคมกับเขามาก็ไม่ใช่แค่วันสองวัน ไหนๆ แผนแสร้งทำเป็อ่อนแอต่อหน้าเขาก็ใช้ไม่ได้แล้วนี่ นางจึงเงยหน้าขึ้น ขบริมฝีปากกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ท่านอ๋องทรงไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้”
“ไม่รู้จริงๆ แล้วอย่างไร แกล้งไม่รู้แล้วอย่างไร?” เมื่อเห็นนางถอดหน้ากากออก แปลงร่างเป็นางแมวป่ากางเล็บออกมา เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วกลับมาวางมาดเอ้อระเหยลอยชายเหมือนเดิม แววตาเ้าเล่ห์วับวาวจับจ้องที่ใบหน้าของโม่เสวี่ยถง ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
รู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่งที่ยั่วโมโหนางได้!
“หากไม่ทรงทราบจริงๆ เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะขอให้ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันกลับไปได้หรือไม่ อย่าให้หม่อมฉันต้องกลายเป็ศัตรูของเหล่าคุณหนูทุกคนในป่าเหมยแห่งนี้ หม่อมฉันเพิ่งเข้ามาอยู่เมืองหลวง ไม่กล้าล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้น เพราะหากไม่ระวังตัวไปล่วงเกินคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้ จะนึกเสียใจภายหลังก็คงไม่ทันแล้ว แต่หากท่านอ๋องแกล้งไม่ทราบ...” คำกล่าวต่อไปนางไม่พูดต่อให้จบ แต่หันหลบไปเบะปาก แล้วแค่นเสียงเย็นเบาๆ แสดงให้เห็นว่านางไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้
นางไม่คิดว่าเฟิงเจวี๋ยหรานจะเป็เพียงองค์ชายสำมะเลเทเมาที่จองหองไร้มารยาท เมื่อครู่เห็นเขากลอกตาแบบนั้นแสดงว่าเข้าใจความหมายของนาง ในความคมลึกเฉียบไวมีกลิ่นอายความหยิ่งผยอง ภายใต้รอยยิ้มทรงเสน่ห์ร้ายกาจ เื่ใดก็ไม่อาจพ้นสายตาเขาไปได้ คนแบบนี้จะเป็เพียงบุรุษเ้าชู้เสเพลไปได้อย่างไรเล่า
สีหน้าเสมือนคนถูกรังแกของโม่เสวี่ยถงทำให้เฟิงเจวี๋ยหร่านที่แอบจับสังเกตอยู่อารมณ์ดีอย่างยิ่ง กวักมือเรียกให้นางเข้าไปหา ขณะที่โม่เสวี่ยถงทำท่ากลัวๆ กล้าๆ ชักเท้าก้าวเข้ามา เขาก็เอื้อมมือไปรั้งเอวของนางเข้ามาแนบชิด ขณะที่โม่เสวี่ยถงยังไม่ทันอ้าปากร้องด้วยความใ น้ำเสียงเอ้อระเหยของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็ดังมาข้างหู “หากเ้าไม่กลัวคนรู้ก็ร้องดังๆ เลย เปิ่นหวางอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว”
เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายลอยสูงจากพื้น โม่เสวี่ยถงได้แต่ขบริมฝีปากแน่น ในหัวใจนึกขุ่นเคืองยิ่ง เขาย่อมสบายๆ อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว แต่นางไม่ใช่นี่นา เมื่อตัวลอยอยู่กลางอากาศก็รู้สึกหวาดเสียวยิ่ง แต่ต้องอดกลั้นไว้ไม่ให้กรีดร้องออกมา จิตใต้สำนึกสั่งให้มือยื่นออกไปโอบรัดเฟิงเจวี๋ยหร่านไว้แน่น ไหนเลยจะกล้าเปล่งเสียงร้องออกมาสักแอะ ร่างบางตัวแนบนิ่งอยู่กับอกกว้าง ในหัวสมองกลายเป็สีขาวโพลน
“นึกอาลัยจนไม่อยากปล่อยมือเลยหรือ ชายหญิงล้วนแตกต่าง โม่เสวี่ยถง… เ้าคงไม่ลืมใช่หรือไม่” เสียงหัวเราะนุ่มนวลแ่เบาดังขึ้นข้างหู ไม่รู้ว่ามาด้วยอารมณ์ไหน โม่เสวี่ยถงสะดุ้งโหยงรีบปล่อยมือทันใด แล้วก้าวถอยอย่างรวดเร็วจนเกือบพลัดหกล้ม แต่แขนถูกเขาคว้าไว้ทันจึงค่อยยืนได้อย่างมั่นคง ยามนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขากับนางมาถึงศาลาแห่งหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาของเฟิงเจวี๋ยหร่านที่อยู่เบื้องหน้าดูคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกำลังจ้องมองนางอย่างยั่วล้อ
ท่อนแขนแข็งแกร่งที่รั้งนางอยู่ ั์ตาฉายแววยิ้มที่มีความหมายพิเศษบางอย่างซึ่งนางดูไม่ออก
เห็นนางจ้องตนเองอย่างโง่งม ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ปล่อยแขนนางลง แล้วยื่นมือไปหมายลูบเส้นผมสีดำนุ่มลื่นประดุจแพรไหมของนางโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแค่ปลายนิ้วัั ทั้งสองต่างสะดุ้งโหยงผละออกจากกัน โม่เสวี่ยถงกระถดร่างถอยออกมา เฟิงเจวี๋ยหร่านหันหน้าหลบ มือที่ยื่นออกไปหดกลับเข้ามากำไว้ กระแอมกระไอแก้เก้อสองครั้ง
“เ้า...”
“ท่าน...”
บรรยากาศดูอึดอัดขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองต่างเอ่ยปากออกมาพร้อมกัน แล้วก็หยุดลงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย โม่เสวี่ยถงรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเอง เบี่ยงกายหันไปอีกทาง และเพิ่งพบว่าบัดนี้ตนเองยืนอยู่เหนือป่าเหมย เมื่อมองไปรอบด้านก็ต้องตกตะลึง
“ที่นี่คือศาลาในจวนเก่าของจิ้นอ๋อง เปิ่นหวางเห็นว่าตรงนี้ทิวทัศน์งดงามไม่เลว จึงขึ้นมาชมดอกเหมยเป็การเฉพาะ หากไม่ใช่เพราะเ้าเข้ามาขัดอารมณ์สุนทรีย์ เปิ่นหวางก็คงยังนั่งชมทิวทัศน์อยู่ที่นี่แหละ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนมึนเมาของเฟิงเจวี๋ยหร่านลอยมาจากข้างกาย เมื่อหันศีรษะไปก็เห็นเขานอนเอนกายอยู่บนตั่งในท่วงท่าเอ้อระเหย ดวงตาผ่อนคลายดูอารมณ์ดีไม่น้อย
ท่านก็ชมเหมยของท่าน ข้าก็ชมเหมยของข้า ไฉนจึงกลายเป็ว่าการมาของข้าทำให้ท่านอารมณ์เสียไปได้ แล้วคนตั้งมากมายกลุ่มใหญ่ไม่เห็นขวางหูขวางตาท่านบ้างเล่า มิหนำซ้ำยังให้ผู้อื่นต้องมาชดใช้ความผิดอีก
คำพูดเหล่านี้โม่เสวี่ยถงได้แต่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ
“นั่งเถิด” เฟิงเจวี๋ยหร่านผายมือไปที่ม้านั่งหินด้านข้าง เห็นชัดอยู่ว่านางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่พยายามอดกลั้นไว้ ในที่สุดเฟิงเจวี๋ยหร่านก็ถอนหายใจออกมา สายตาเหลือบไปที่อีกด้านของป่าเหมย รถม้าคันนั้นไม่อยู่แล้ว แบบนี้นางก็กลับบ้านไม่ได้แล้วน่ะสิ!
“ท่านอ๋อง ข้าได้ล่วงเกินท่านไปใช่หรือไม่” ยามนี้โม่เสวี่ยถงยอมรับชะตากรรมของตนเองได้แล้ว จึงไม่เกรงใจอีกต่อไป นางนั่งลงที่ม้าหิน ดวงตาเป็ประกายจ้องไปที่เฟิงเจวี๋ยหร่านพลางมุ่นคิ้วขมวด
“แน่นอน” เฟิงเจวี๋ยหร่านนอนสบายใจเฉิบ ขณะตอบไปเรื่อยๆ
“ไม่ทราบว่าสาวน้อยตัวเล็กๆ อย่างหม่อมฉันไปล่วงเกินเซวียนอ๋องผู้สูงส่งไว้อย่างไรหรือ ขอทรงโปรดแถลงไขให้กระจ่าง” โม่เสวี่ยถงขบริมฝีปากอย่างเป็ธรรมชาติ
“เ้ากัดเปิ่นหวาง” ดวงตาของเฟิงเจวี๋ยหร่านที่มองโม่เสวี่ยถงแฝงแววตำหนิ
โม่เสวี่ยถงตะลึงเพริด ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความใ พูดอะไรไม่ออก
นางเคยกัดคนไปคนหนึ่ง ตอนที่อยู่ในห้องนอนของมารดาที่จวนเก่าในเมืองอวิ๋นเฉิง ไม่น่าเชื่อว่าที่แท้คนชุดดำที่ดูแปลกประหลาดผู้นั้นก็คือเฟิงเจวี๋ยหร่านนี่เอง
“เป็ข้าเอง เป็อย่างไร ตอนนั้นเ้าแยกเขี้ยวกัดเปิ่นหวาง ทั้งยังเตือนเปิ่นหวางด้วยว่าอย่ายั่วโมโหเ้า ไฉนเวลาผ่านไปแค่ไม่นานเ้าก็ลืมเสียแล้ว” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวอย่างพึงพอใจ พอเอ่ยถึงเื่นี้ทีไร ก็นึกถึงท่าแมวน้อยพองขนขู่ฟอดๆ ทุกที
“...”
โม่เสวี่ยถงไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ย ยกมือกุมหน้าผาก ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ไฉนเซวียนอ๋องผู้สูงศักดิ์ยังจดจำเื่ขี้ปะติ๋วราวกับเมล็ดถั่วเขียวพรรค์นี้ได้อีกหนอ ช่าง... ใจแคบเกินไปแล้วกระมัง และเขาเป็ถึงเซวียนอ๋องผู้สง่าผ่าเผย มาดีๆ ไม่มา กลับพรางตัวมาแบบนั้น ทั้งยังซ่อนตัวอยู่ในห้องมารดาของนาง มิหนำซ้ำยังบังคับจับกุมตนเองเอาไว้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเื่ที่องค์ชายผู้หนึ่งจะกระทำออกมาได้เลย
แน่นอนว่าโม่เสวี่ยถงก็มิได้ถามต่อ นางยังมิได้ตรองให้กระจ่างว่าตนเองมีความกล้าหรือไม่
“ท่านอ๋องข้า...”
“คราที่แล้วข้ายังเห็นแก่คุณธรรม ช่วยเ้าไว้ครั้งหนึ่งใช่หรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวตัดบทอย่างไม่เกรงใจและกล่าวตำหนินางต่อ ความหมายก็คือ้าให้นางยอมรับผิดและให้นางตอบแทนบุญคุณแต่ละเื่
ให้ยอมรับผิด? ให้ตอบแทนบุญคุณ?
เขาอยู่ในสถานะอะไร นางอยู่ในสถานะอะไร ไฉนเซวียนอ๋องผู้มีชื่อเสียงขจรไกล บัดนี้จึงดูคล้ายเด็กเล็กที่เรียกร้องจะเอาลูกกวาดเช่นนี้เล่า
“ใช่” โม่เสวี่ยถงยอมรับอย่างจนใจ ตนเองตามความคิดของเขาไม่ทันจริงๆ ได้แต่มองดูและรอฟังเขาเสนอขึ้นมาเงียบๆ
“เคยมีใครมีพระคุณยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาเช่นนี้กับเ้าหรือไม่” เฟิงเจวี๋ยหร่านกลอกตาไปมา จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อไปอีกเื่ โม่เสวี่ยถงต้องตะลึงงันไปอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะตามความคิดเขาทัน
นี่นับว่าเป็ ‘พระคุณยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา’ เชียวหรือ เอาเถอะ แม้ว่าเขาจะเคยช่วยเหลือตนเอง ‘เพียงเื่ขี้ปะติ๋ว’ ก็ไม่ควรลำเลิกขึ้นมาถี่ขนาดนี้กระมัง แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้โม่เสวี่ยถงกล้าพูดแค่เพียงในใจ ไหนเลยจะกล้าเผยออกไปต่อหน้าแม้แต่น้อย เมื่อเขาอยากให้นางรู้สึกซาบซึ้ง นางก็ควรยอมๆ ตามความ้าของเขาจะไปดีกว่า อย่าทำให้องค์ชายผู้นี้อารมณ์ไม่ดีเป็ดีที่สุด
“ไม่มีใครมีพระคุณต่อหม่อมฉันมากไปกว่าท่านอ๋องอีกแล้วเพคะ พระคุณล้ำลึกของท่านอ๋องหม่อมฉันจดจำใส่ใจเสมอมา และไม่มีวันลืมตลอดไป”
โม่เสวี่ยถงเจตนาย้ำคำที่ว่า ‘ไม่มีวันลืมตลอดไป’ อย่างหนักแน่น ฟังแล้วเหมือนกัดฟันพูด เดิมทีก็เป็อย่างนั้น ไม่ใช่บอกว่าทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนหรือไร แม้ว่าจะไม่ใช่แบบนั้นก็ควรจะไว้ท่าบ้าง แสดงว่าไม่ใส่ใจบ้างก็ได้มิใช่หรือ มีใครที่ไหนจ้องจะให้ผู้อื่นตอบแทนบุญคุณไม่ยอมเลิกราแบบนี้กันบ้างเล่า