จางจื่ออี๋เล่นพันเชือกถักสีสันสดใสมาตลอดครึ่งเช้า สายตาของนางสอดส่องไปทั่วบริเวณ สิ่งที่ควรเห็นก็เห็นมาไม่น้อย ชายหญิงหลากหลาย่อายุวนเวียนมาเซ่นไหว้ ขอพร สาปแช่ง มีมาทุกรูปแบบ นั่นทำให้นางตื่นเต้นเล็กน้อย อย่างน้อยพวกมันต่างมีชีวิตสุขสบาย เท่าที่นางสังเกตมาสองวันคนที่ผ่านไปมายังไม่เห็นคนผอมแห้งขาดสารอาหารสักคน
ช่างเป็ชีวิตฏที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
หลักการสอดแนมที่ดีต้องยึดหลักความอดทนเป็ที่ตั้ง อดทนเฝ้ารอโอกาสเก็บเกี่ยวข้อมูลฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าเื่เล็กเื่ใหญ่ จำแนกอัตตาลักษณ์เพื่อเป็ประโยชน์ต่อการคาดเดาบทบาทหน้าที่ของบุคคลนั้นๆ สองวันสองคืนที่ผ่านมาจางจื่ออี๋พอจะคาดเดาระบบรักษาความปลอดภัยของพวกมันได้คร่าวๆ การพลัดเปลี่ยนเวรยาม การเดินลาดตระเวนของกองทหารมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นที่หนึ่งเป็การเฝ้ารักษารอบๆ ค่าย ประตู กำแพง มีกองทหารรักษาความปลอดภัยแ่า ทหารพวกนั้นได้รับการฝึกฝนมาอย่างมีระเบียบแบบแผน เทียบมาตรฐานกองทัพในยุคนี้ดูเหมือนว่าจะเหนือไปอีกหนึ่งขั้น
ชั้นที่สอง ทหารลาดตระเวรจะเดินยามห่างจากค่ายราวสิบลี้ ชั้นที่สาม ห่างไปอีกสิบลี้ ปราการรักษาความปลอดภัยสามชั้น เป็รัศมีวงกลมความกว้างสามสิบลี้ วัดจากสายตาจุดศูนย์กลางค่ายเป็กลุ่มบ้านเรือนล้อมรอบด้วยรั้วตีโอบเป็วงกลมขนาดมหึมา คำนวณให้เข้าใจง่ายก็1ลี้เท่ากับ0.5กิโลเมตร 30ลี้ก็เท่ากับ15กิโลเมตร
พวกเ้าคงคิดว่าข้ามีตาวิเศษกระมังอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางค่ายกว่า20กิโลเมตรแต่สามารถมองเห็นแนวการป้องกันของค่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้ามองเห็นในระยะไกลได้ขนาดนั้นนางคงเป็ยอดมนุษย์แล้วล่ะ จุดยุทธศาสตร์ของนางไม่ใช่คือต้นไม้แห่งจิติญญาต้นนี้หรอกหรือ นางยังอดชื่นชมตนเองไม่ได้ ช่างเลือกจุดสอดแนมได้เหมาะเหม็งไม่มีที่ใดที่จะรวบรวมข่าวสารไปได้มากกว่าที่นี่อีกแล้ว ระยะทางสี่สิบลี้ระหว่างค่ายกับต้นไม้โบราณไม้ได้เป็อุปสรรคขวางกั้นความเชื่องมงายของมนุษย์ได้
เพราะว่าอยู่ในป่าในเขามาเป็เวลานานคนส่วนมากเมื่อขึ้นเขามาแล้ว หากไม่มีหน้าที่ในส่วนที่ต้องลงเขาก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปเพ่นพ่านอย่างเด็ดขาด มนุษย์เมื่อมาอยู่รวมกันเป็ชุมชนแม้มีกฎหมายควบคุมเอาไว้อย่างเคร่งครัด ก็ต้องมีคนบางกลุ่มคิดหาทางฝ่าฝืน นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ที่ถือตนเป็สัตว์ประเสริฐย่อมมีความต่อต้านเล็กๆ ต่อกฎระเบียบอยู่เสมอ หลายคนนัดกันมาสนทนาวางแผนต่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา เป็การวางแผนและขอพรไปในตัว
“ต้าเกอ ทำเช่นนี้จะดีหรือเ้าคะ”สาวน้อยร่างผอมบางยืนหลบอยู่มุมด้านหนึ่งของต้นไม้ ที่เบื้องหน้านางมีชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ท่าทีของชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าต้าเกอดูวิตกกังวลระคนไปด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่าเสียงเรียก ‘ต้าเกอ’ ของนางในดวงใจนั้นช่วยปัดเป่าความรู้สึกเ่าั้ปลิวหายไป ภายในดวงตาของเขามีแต่ร่างแน่งน้อยเบื้องหน้า คิดว่าต่อให้ต้องข้ามูเาดาบฝ่าทะเลเพลิงก็จักต้องทำเื่นี้ให้สำเร็จจงได้
“หว่านเอ๋อร์เ้าอย่าได้กังวล เื่นี้พี่ต้องทำให้ได้ ่นี้ที่ค่ายยุ่งอยู่กับการเตรียมเสบียงและสิ่งของที่จะใช้ในวันสิ้นปี คงไม่มีเวลามาสนใจเราสองคนหรอก เ้ามานี่สิพี่จะบอกแผนการให้ฟัง...”ต้าเกอ ดึงร่างแน่งน้อยเข้ามาในอ้อมกอด โน้มตัวกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาวเสียงกระซิบทุ้มต่ำหนักเบาอย่างมีชั้นเชิง บางครั้งริมฝีปากของชายหนุ่มปัดผ่านใบหูเล็กจุ๋มจิ๋มคล้ายไม่ตั้งใจ นั่นก็เพียงพอให้สาวน้อยในอ้อมแขนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง
ละครย้อนยุคฉากนี้ไม่เลว! สายแทะเมล็ดแตงอย่างจางจื่ออี๋ที่หมอบดูตัวละครชายหญิงด้านล่างมาครึ่งเช้า ไม่ได้รู้สึกถึงความชาทั่วร่าง เพราะว่าละครฉากนี้น่าสนใจเหลือเกิน เหมยเขียวม้าไม้ไผ่คู่นี้คือนิยามของหญิงทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว โรมิโอกับจูเลียต ความรักถูกกีดกัน ไร้หนทางออกจึงต้องวางแผนหนีตามกัน
พลังแห่งรักสินะ
เสียงหอบหายใจดังขึ้นตามมาในเวลาไม่นาน เสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันเป็จังหวะติดเรท จางจื่ออี๋ กลอกตามองฟ้าอย่างช่วยไม่ได้ คิดในใจว่าจะทำหลอกผีสัตว์สองตัวที่กำลังสมสู่ไม่อายฟ้าดิน พวกเ้ากะว่าจะให้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษเป็พยานสินะ มีความกล้าไม่เบา ไม่เบาจริงๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไปกิจกรรมเอาท์ดอร์ของคนทั้งสองก็ได้สิ้นสุดลง ไม่ธรรมดาจริงๆ คนก็ได้แยกย้ายกันไปสักพักแล้ว จางจื่ออี๋ที่กำลังหลับตาทำสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ พร้อมกับวางแผนขึ้นต่อไปอย่างรอบคอบ
วันสิ้นปี...
ลงเขาไปหาเสบียง...
ชายหญิงที่กำลังจะหนีตามกัน...
การเฝ้าเวรยามสามชั้น...
ผลลัพธ์ที่้าคือ กวดล้างค่ายนี้ให้สิ้นซาก คำถามคือ แล้วจะทำยังไงล่ะ?
จางจื่ออี๋ให้โจทย์กับตัวเอง พร้อมกับประเมินประสิทธิภาพของตัวเองในตอนนี้อย่างถี่ถ้วน ชาติก่อนถึงบอกว่าตัวเองติดยศทางทหาร แต่ก็เป็ทหารอากาศ ไม่ใช่หน่วยรบพิเศษที่ถูกฝึกมาเพื่อฆ่าและฆ่า ทักษะการต่อสู้ของนางอยู่ในระดับปานกลาง ในการต่อสู้มือเปล่าสามารถล้มชายฉกรรจ์ได้2-3คนเป็อย่างต่ำ หากใช้อาวุธก็มากกว่านั้น สถานการณ์ปัจจุบันของนางพูดแบบไม่โลกสวย ร่างกายขาดสารอาหารร่างนี้สู้ใครไม่ไหวหรอก
แต่ว่าการวางแผนยุทธการต้องพลิกได้แพลงได้ การทำาในบางสถานการณ์ไม่สามารถวัดที่กำลังคน ชัยชนะบางทีก็ได้มาเพราะโชคช่วย นางไม่กล้าบอกว่าตัวเองโชคดี แต่เื่นี้ทุกอย่างเป็ใจ ฟ้าเข้าข้าง ดินไม่หมางเมิน สายลมโอบอุ้ม โอ๊ย ภูมิใจในตัวเองจริงๆ
เด็กขาดสารอาหารผู้หนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงโอบกอดลำต้นไม้ลูบไล้ไปมา มองไกลๆ คล้ายตุ๊กแกเกาะฝาบ้าน มองใกล้ๆ จะเห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกระหยิ่มย่อง มองไม่เห็นความถ่อมตนหรือวางท่าไม่สนใจถึงความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ เ่าั้
เอาล่ะ ได้เวลากลับฐานไปเตรียมความพร้อม เข้าป่ามาหลายวันป่านนี้เ้าน้องชายคงเป็ห่วงแย่ ถ้าจะจากไปก็ต้องไปตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เพราะการรักษาความปลอดภัยตอนกลางวันไม่เข้มงวดเท่าตอนกลางคืน หากมีคนมองเห็นนางจากที่ไกลๆ ก็ต้องคิดว่าลูกหลานบ้านไหนออกมาขุดผักป่า ไม่มีอะไรจะแเีไปกว่านี้อีกแล้ว
รอบด้านปลอดคนการจากไปของคนแปลกหน้าผู้หนึ่งจึงมิได้ถูกค้นพบ สายลมหอบหนึ่งพัดวูบพาใบไม้แห้งปลิดปลิวยุ่งเหยิง
สองวันต่อมา
เชิงเขาอู่หลิง ใกล้กับหมู่บ้านจางเจี่ย
“โอ้...ดูสิข้าเจอผู้ใดกัน นี่ไม่ใช่นางเด็กตัวซวยหรอกรึ”น้ำเสียงแหลมสูงกล่าววาจาเหยียดหยามออกมาชัดเจน ที่ริมคลองน้ำของหมู่บ้าน่เย็นมักเป็จุดรวมตัวของเหล่าสตรีในหมู่บ้าน บ้างมาตักน้ำ บ้างมาล้างผักป่าที่ขุดมาได้ แต่ส่วนมากจะมาจับกลุ่มนินทาบ้านนั้นบ้านนี้เสียมากกว่า และผู้ที่พ่นคำออกมาเสียงดังสั่นนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ย่าจาง ย่าแท้ๆ ของนางเด็กตัวซวยที่อีกฝ่ายกำลังใช่สายตาหยามเหยียดมองอยู่นั่นเอง
จางจื่ออี๋หยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินในที่สุด เื่อะไรจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ ล่ะ นางทะลุมิติมาเป็ตัวประกอบร้ายๆ ไม่ใช่นางเอกที่จะทำหูทวนลมไม่ลดตัวลงไปเกลือกกลัวธุลี นั่นไม่ใช่บทบาทของนาง
“จางหวงซื่อ*เ้ากำลังพูดกับข้าอยู่รึ?”
(*สะใภ้สะกุลจางแซ่หวง)
ทันทีที่จางจื่ออี๋พูดจบรอบด้านก็เงียบสงัดในทันที แม้กระทั้งย่าจางหรือหวงซิ่วเหมยก็เบิกตาอ้าปากค้าง ราวกับว่าการโจมตีครั้งนี้รุนแรงเกินต้านรับ
“จะ เ้า!”หญิงชราที่ถูกเด็กรุ่นหลานเรียกขานว่าหวงซื่อราวกับเป็คนรุ่นเดียวกัน ได้แต่ชี้นิ้วอันสั่นเทาเพราะโทสะท่วมท้นไปยังนังเด็กนรกนั่น นังตัวซวย นังเด็กปากสุนัข!
“นังหนูสามเหตุใดจึงพูดกับท่านย่าของเ้าเช่นนี้ ไม่เคารพผู้าุโนี่เรียกว่าอกตัญญู”สตรีวัยกลางคนที่ดูแลตนเองเป็อย่างดีรีบเข้ามาประคองร่างอันสั่นเทาของย่าจาง พร้อมกับหันไปต่อว่าจางจื่ออี๋ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้คนฟังรับรู้ถึงความอัดอั้น ไม่ได้รับความเป็ธรรม
เหล่าชาวบ้านที่ยืนมองอยู่ต่างคล้อยตามคำพูดนั้น สายตาประณามกล่าวโทษ บ้างชี้ไม้ชี้มือด่าทอ ซุบซิบนินทาแม้เสียงไม่ดังนัก แต่จางจื่ออี๋ล้วนได้ยินทุกคำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้