หลิวเฟินนั่งเครื่องบินครั้งนี้เป็ครั้งที่สอง
ส่วนย่าอวี๋บอกว่าตนเพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็ครั้งแรก ซึ่งคงมีแต่หลิวเฟินเท่านั้นที่เชื่อเธอหมดใจ นั่นเป็เพราะย่าอวี๋ไม่มีอาการเมาเครื่องสักนิด ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานมารับทั้งสองคน หญิงชรามีสีหน้าแจ่มใสกว่าแม่ของตนเสียด้วยซ้ำ
“คุณย่ามากับแม่ฉัน ครั้งนี้ต้องอยู่เที่ยวที่ปักกิ่งหลายวันหน่อยนะคะ”
หากบอกว่าย่าอวี๋เป็เ้าของบ้านเช่าคงจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งมาเรียนที่ปักกิ่ง หลิวเฟินอาศัยอยู่กับคุณย่าอวี๋ตามลำพัง หญิงชราผู้นี้เป็คนปากแข็งแต่ใจอ่อน เธอปกป้องหลิวเฟินเป็ที่สุด กลัวหลิวเฟินถูกคนเอาเปรียบ ครั้งนี้ที่ตามมาด้วยก็เช่นกัน ดังนั้นจะไม่ใช่เซี่ยเสี่ยวหลานจซาบซึ้งใจได้อย่างไร
ย่าอวี๋ไม่เสียแรงที่ขึ้นชื่อเื่ความปากแข็ง เซี่ยเสี่ยวหลานบอกให้หญิงชราอยู่เที่ยวปักกิ่งหลายๆ วัน แต่หญิงชรากลับส่งเสียงฮึแล้วกล่าวว่า
“ฉันต้องกลับไปกวาดถนนอีก อยู่เที่ยวอะไรกัน!”
เซี่ยเสี่ยวหลานยอมใจเธอจริงๆ
นี่ก็ใกล้ถึงกำหนดจ่ายค่าเช่าแล้ว มีอาคารเล็กๆ ที่จัตุรัสเอ้อร์ชีอยู่ย่าอวี๋ย่อมไม่มีวันอดอยาก ค่าเช่าแต่ละปีของอาคารหลังนั้นมากกว่าเงินเดือนงานกวาดถนนที่ย่าอวี๋ทำอยู่ตอนนี้เสียอีก ย่าอวี๋อายุเลยวัยเกษียณมานานแล้ว กอปรกับมีโรคเบาหวานเป็โรคประจำตัว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงรู้สึกว่าหากเธอไม่ทำงานกวาดถนนก็ไม่เป็ไร
หนึ่งปีหาเงินได้สองพันกว่าหยวน ในยุค 80 เงินจำนวนเท่านี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
หากย่าอวี๋อายุยืนยาวก็ไม่จำเป็ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินใช้ แน่นอนว่าอนาคตเซี่ยเสี่ยวหลานวางแผนว่าจะซื้อตึกที่ ‘หลานเฟิ่งหวง’ เช่าอยู่อีกด้วย
ติดอยู่แค่เื่เดียวคือ หากแม่ของเธอมาเปิดร้านสาขาที่ปักกิ่งจริง แล้วย่าอวี๋จะทำอย่างไร
ทิ้งหญิงชราที่ป่วยเป็เบาหวานให้อยู่ซางตูเพียงลำพังก็คงจะไม่สะดวก เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไว้ว่า จะให้หลี่เฟิ่งเหมยพาเทาเทาย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านย่าอวี๋ เป็ ‘ผู้เช่า’ คนใหม่ของย่าอวี๋ต่อไป จะได้สะดวกในการดูแลหญิงชรา หรือไม่ก็ให้ย่าอวี๋มาอยู่กับแม่ของเธอที่ปักกิ่งด้วยการสลับสถานะกัน เซี่ยเสี่ยวหลานซื้อเรือนสี่ประสานที่สือช่าไห่แล้ว เธอจะเก็บค่าเช่าพอเป็พิธีกับย่าอวี๋ และให้ย่าอวี๋ได้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ของเธอเหมือนเดิม
แน่นอนว่าแผนการทั้งสองอย่างนี้ต้องขอความเห็นชอบจากย่าอวี๋ด้วย โชคดีที่ย่าอวี๋มาปักกิ่ง เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอยากหาโอกาสถามเธอเกี่ยวกับเื่นี้
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีรถยนต์ เธอจึงมารับพวกเขาแล้วพาขึ้นรถประจำทางเพื่อเดินทางกลับ
เซี่ยเสี่ยวหลานพาทั้งคู่มายังเรือนสี่ประสานที่สือช่าไห่ หลิวเฟินเพิ่งเคยเห็นบ้านหลังนี้เป็ครั้งแรก
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่านี่คือบ้านของพวกเธอสองแม่ลูก ย่าอวี๋กวาดตามองทำเลที่ตั้งและแปลนบ้าน ก่อนจะหันมาบอกหลิวเฟินอย่างชื่นชมว่า
“เธอนี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่นี่คือจวนของขุนนางสมัยก่อน”
หลิวเฟินเกิดในตระกูลที่ยากจนมาหลายต่อหลายรุ่น ทว่ากลับสามารถได้เข้ามาอยู่ในเรือนสี่ประสานติดทะเลสาบสือช่าไห่ได้ นอกจากโชคดีที่ให้กำเนิดลูกสาวอย่าง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ แล้ว ย่าอวี๋คิดหาสาเหตุอื่นไม่เจออีกแล้ว ชีวิตของหลิวเฟินผ่านความยากลำบากก่อนจะได้รับความสุข ครึ่งแรกของชีวิตไม่ราบรื่น แต่หากมีลูกสาวที่สู้ชีวิตเช่นนี้ อนาคตของหลิวเฟินมีแต่จะดียิ่งขึ้น
แต่ย่าอวี๋คิดว่าตนนั้นเสพสุขก่อนจะเริ่มทุกข์
เธอเสพสุขมาตลอดครึ่งชีวิตแรก จวบจนกระทั่งถึงวัยกลางคนดวงชะตาของเธอก็เริ่มดิ่งลง ชะตาชีวิตเหมือนเล่นตลกกับย่าอวี๋ นับวันชีวิตมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ
โชคดีที่เธอไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา จากคุณหนูใหญ่ผันตัวมาเป็คนกวาดถนน กวาดไปกวาดมาก็ได้คนซื่ออย่างหลิวเฟินมาเป็ผู้เช่าบ้าน ชีวิตที่ย่าอวี๋คิดว่ายากลำบากจึงเริ่มมีสีสันยิ่งกว่าเดิม
หลิวเฟินต่อให้ซื่อบื้อแค่ไหนแต่ก็เป็คนน่าสนใจ ทั้งยังซื่อสัตย์และจริงใจ ย่าอวี๋ด่าเธอว่าโง่ แต่นั่นก็เพราะเธอเป็ห่วงเป็ใยหลิวเฟินทั้งสิ้น
สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่โง่? ก็ตัวเธอเองน่ะสิ!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าย่าอวี๋กำลังคิดอะไรอยู่ เธอพาย่าอวี๋เดินรอบบ้าน หลิวเฟินยกมือลูบไล้หน้าต่างและอิฐตามตัวบ้านอย่างทะนุถนอม
“เสี่ยวหลาน คืนนี้เราพักกันที่นี่หรือ?”
“อย่าเลยค่ะ ที่นี่ยังไม่มีเครื่องทำความร้อน ตอนกลางคืนจะหนาวมาก...”
เรือนสี่ประสานสมัยโบราณไม่มีเครื่องทำความร้อน ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจจะติดตั้งมันตอนปรับปรุงบ้าน
เรือนสี่ประสานมีอุปกรณ์ทำครัวครบครัน เนื่องจากเซี่ยเสี่ยวหลานทยอยซื้อของเข้าบ้านมาทีละอย่างสองอย่าง
เตียงกับผ้าห่มมีพร้อม ทว่า่นี้ตอนกลางคืนอากาศหนาวเกินไป หากจะใช้เตาเผาก็ไม่ปลอดภัย เซี่ยเสี่ยวหลาน้าให้หลิวเฟินกับย่าอวี๋ไปค้างแรมที่บ้านพักรับรอง หรือหรูหน่อยก็อาจไปพักที่โรงแรม อย่างไรเสียเซี่ยเสี่ยวหลานก็มีเงินจ่าย
ย่าอวี๋เดินรอบบ้าน พร้อมกับลองเคาะที่พื้น ก่อนพูดตำหนิเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่รึว่าที่นี่เคยเป็จวนขุนนาง กลางฤดูหนาวแบบนี้ เธอคิดว่าพวกขุนนางทั้งหลายจะยอมทนหนาวอย่างนั้นหรือ บ้านหลังนี้มีพื้นทำความร้อน ซื้อถ่านกลับมาจุดไฟทั้งบ้านก็อบอุ่นแล้ว”
วิธีการนี้เริ่มใช้ที่พระราชวังเป็แห่งแรก จากนั้นจึงเผยแพร่มาสู่เหล่าขุนนางและชนชั้นสูง
ใต้พื้นบ้านมีท่อถูกฝังไว้ ความร้อนจะถูกส่งผ่านมาตามท่อ และถูกระบายออกผ่านทางปล่องไฟ เป็เหตุให้พื้นของตัวบ้านอบอุ่นขึ้น รวมถึงอากาศในห้องก็จะอบอุ่นตามไปด้วย
ในหมู่บ้านชนบทยังมีการก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่น หาก้าความอบอุ่นกลางฤดูหนาว ใช้สมองเพียงเล็กน้อยย่อมสามารถหาวิธีได้
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกย่าอวี๋ตำหนิก็ไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด อย่างไรเสียเธอเองก็กำลังหาข้อมูลของเรือนสี่ประสานอยู่เช่นกัน แต่กลับไม่สังเกตเลยว่าเรือนสี่ประสานที่ตนซื้อมานี้มีท่อทำความร้อนอยู่ด้วย ดูท่าเอกสารที่เธออ่านจะยังไม่ละเอียดมากพอ ในขณะที่ย่าอวี๋มีความรู้รอบด้านเพราะได้มาจากประสบการณ์ชีวิต เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกอิจฉาไปก็เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรสภาพแวดล้อมการเติบโตของเธอกับย่าอวี๋แตกต่างกันน่ะสิ
ย่าอวี๋เคยเห็นที่พักอาศัยของชนชั้นสูง ทว่าไม่ใช่แค่เซี่ยเสี่ยวหลาน คงมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นที่พักอาศัยของชนชั้นสูงเหมือนย่าอวี๋
แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็มีความรู้รอบตัวอยู่ไม่น้อย และเป็สิ่งที่ย่าอวี๋อาจจะนึกไม่ถึง เพราะมันคือความแตกต่างของยุคสมัยนั่นเอง
ย่าอวี๋บอกว่าการทำความร้อนต้องใช้เวลา ดังนั้นวันนี้ควรไปซื้อถ่านกลับมาลองดูก่อน หากท่อทำความร้อนมีรูรั่วเพราะความเก่าของตัวบ้านจนเขม่าควันเล็ดลอดออกมา หากนอนทั้งอย่างนั้นคงเกิดเื่อย่างแน่นอน
หลิวเฟินพอรู้ว่าที่นี่คือบ้านของตนก็อยากลงมือทำความสะอาดด้วยตัวเอง
“ฉันไม่ห้ามถ้าแม่อยากเช็ดหน้าต่าง แต่ว่าที่บ้านมีเตาไฟขนาดเล็ก ดังนั้นอย่าไปเสียดายเงินค่าถ่านเลย ต้มน้ำให้ร้อนก่อนแล้วค่อยเช็ดนะคะ!”
มือของหลิวเฟินที่เต็มไปด้วยรอยแห้งแตกใช้เวลาดูแลรักษามานานถึงหนึ่งปีครึ่ง ในที่สุดก็เริ่มดีขึ้นบ้าง และไม่ควรปล่อยให้แช่น้ำเย็นจนเป็แผลอีก
เซี่ยเสี่ยวหลานกับย่าอวี๋เดินออกจากบ้านมาด้วยกันไม่ถึง 200 เมตร ย่าอวี๋ก็ทนความอยากรู้ไม่ไหว
“กลางฤดูหนาวแบบนี้เรียกแม่ของเธอมาที่ปักกิ่งทำไมกัน อย่าบอกเชียวนะว่าเพื่อมาเที่ยวน่ะ อากาศแบบนี้ยิ่งขึ้นเหนือยิ่งทรมาน ไม่มีใครอยากมาทรมานที่ปักกิ่งในฤดูหนาวหรอก!”
ย่าอวี๋เป็คนฉลาด เื่ไหนก็ไม่สามารถปิดบังเธอได้
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าเื่ของจี้หย่าให้ย่าอวี๋ฟัง
เธออธิบายความขัดแย้งโดยสรุป ได้ยินดังนั้นย่าอวี๋ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
“โชคชะตาของพวกเธอสองแม่ลูก...ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายกันแน่”
คนระดับหัวหน้าไม่มีทางสนใจว่าหลิวเฟินจะถูกดูิ่หรือไม่ อย่างไรก็ตามอารมณ์ของมนุษย์มักได้รับอิทธิพลมาจากคนใกล้ชิด ย่าอวี๋กล้ายืนยันเลยว่า หากหัวหน้าทังไม่รู้สึกอะไรกับหลิวเฟิน เธอจะยอมหิ้วไม้กวาดไปกวาดถนนและตรอกซอกซอยทั้งหมดของปักกิ่ง! และยินดีทำตามหน้าที่แบบที่ไม่้าค่าตอบแทนอีกด้วย!
“เขาชื่อทังอะไรนะ”
“ทังหงเอินค่ะ”
“อ้อ ฉันพอจะจำได้แล้ว”
ผู้ชายคนนี้เคยเป็ข้าราชการอยู่ที่ซางตู อีกทั้งตอนนั้นเขายังเคยถูกส่งตัวไปที่คอกวัว
ชื่อเสียงไม่นับว่าเลวร้ายอะไร แม้นายกเทศมนตรีทังจะเคยแต่งงานมาแล้ว ทว่าหลิวเฟินเองก็เคยเช่นกัน นายกเทศมนตรีทังมีลูกชาย หลิวเฟินมีลูกสาว สองคนนี้ไม่มีใครต้องดูถูกใคร จะใช้ชีวิตร่วมกันก็คงไม่ใช่เรื่อแปลกแต่อย่างใด... ทว่าความเป็จริงไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น บางครั้งเวลาโชคดีหล่นใส่ใคร ก็ต้องดูด้วยว่าคนคนนั้นรับมันไหวหรือไม่
เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมไม่มีปัญหา หน้าหนาแถมยังมีจิตใจที่เข้มแข็ง ย่าอวี๋ไม่รู้สึกเป็ห่วงสักนิด
แต่หลิวเฟินนั้นไม่เหมือนกัน นิสัยแบบนั้นจะให้แต่งงานรอบที่สามก็คงไม่มีทาง เช่นนั้นการแต่งงานครั้งที่สองยิ่งควรต้องระมัดระวัง
เฮ้อ ดูไปก่อนก็แล้วกัน ครั้งนี้ถูกแล้วที่ตนตามมาปักกิ่งด้วย จะได้เจอนายกเทศมนตรีทังคนนั้นสักครั้ง ย่าอวี๋เริ่มรู้สึกกังวล เธอสามารถด่าหลิวเฟินว่าโง่ได้ แต่เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมารังแกหลิวเฟินเป็อันขาด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้