เซี่ยโม่มองซ่งมู่ไป๋ที่กำลังวัดและตัดผ้าอย่างคล่องแคล่วประหนึ่งคือผู้ชำนาญ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองรอบห้อง ไม่นานเธอก็เริ่มเดาอะไรออกได้รางๆ
“พี่ซ่งคะ ฝ้ายขายยังไงเหรอคะ”
“ในสหกรณ์ขายครึ่งกิโล 1.25 หยวน แต่ฉันขายสองหยวน”
เธอพยักหน้ารับรู้ ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
“ค่ะ งั้นฉันขอแลกครึ่งกิโล”
ซ่งมู่ไป๋พยักหน้าก่อนจะชั่งให้ ใจคิดว่าเด็กสาวคงจะเอาไปยัดใส่ในเสื้อนวม ถ้าอย่างนั้นครึ่งกิโลมันไม่น้อยไปหรอกหรือ
ความจริงแล้ว ในโกดังสินค้าของเซี่ยโม่มีผ้านวมคุณภาพดีอยู่ เพียงแต่เธอไม่กล้าหยิบออกมา กล้าหยิบออกมาแต่ฝ้าย ที่ขอซื้อฝ้ายกับพี่ซ่งก็เพราะจะได้ใช้โอกาสนี้หยิบฝ้ายในโกดังสินค้าออกมา
เสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาคิดเงิน
เธอรับเงินที่เหลืออีกสามสิบกว่าหยวนมา พร้อมกับพูดขอบคุณ “พี่ซ่ง ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปเธออยากซื้ออะไรก็มาหาฉันได้”
พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอลืมคำอ้างที่บอกคนตรงหน้าไปเสียสนิทว่าจะมาแลกของให้เพื่อนสนิท ของที่แลกกลับไปดันมีแต่ของตัวเองทั้งนั้น
เซี่ยโม่รู้สึกอายเหลือเกิน ทั้งที่ใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ แต่กลับเผลอลดความระวังตัวลงทุกครั้งยามอยู่ต่อหน้าเขา
เธอทำได้แค่พูดกลบเกลื่อนอย่างตะกุกตะกัก “เพื่อนร่วมชั้นที่ฝากฉันมาแลกของบอกว่า ให้ฉันแลกได้ตามสบาย กลับไปค่อยไปคิดเงินกันอีกที”
ซ่งมู่ไป๋มองเด็กสาวตรงหน้า ปกติเด็กสาวมักจะชอบทำตัวเป็ผู้ใหญ่ มีแค่ตอนพูดโกหกเท่านั้นที่ท่าทางกลับไปเป็เด็กสมวัย ไม่กล้ามองสบตาคู่สนทนา
เขายิ้มหากก็ไม่ได้พูดเปิดโปงออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็ไร ไม่ต้องเครียด ต่อไปถ้าอยากซื้ออะไรก็มาหาฉัน”
เซี่ยโม่ถึงได้กล้าเงยหน้าขึ้นมามองอีกคน แววตาของชายหนุ่มเป็ประกายระยิบระยับเหมือนดวงดาว เขาเองก็มองมาที่เธอเช่นกัน ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างโอบล้อม ไม่อาจหนีไปไหนได้
เธอรีบถอนสายตากลับอย่างลนลาน
แม้จะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่เธอก็ไม่กล้ามองสบตาชายหนุ่มอีก ได้แต่เอ่ยว่า “พี่ซ่ง พี่เป็คนดีเหลือเกิน”
ซ่งมู่ไป๋ไม่สนใจคำชม รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปว่า “โม่โม่ ตอนนี้เธอเรียนอยู่ชั้นไหน แล้วปีนี้อายุเท่าไร”
“ฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่สอง ปีนี้อายุสิบสี่ค่ะ”
“เพิ่งอายุสิบสี่เองเหรอ!” เขาถอนหายใจอยู่ในใจ เด็กสาวอายุน้อยเหลือเกิน
เซี่ยโม่ทำหน้างุนงง “อายุสิบสี่แล้วทำไมเหรอคะ”
เขาส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร เธออายุน้อยกว่าน้องสาวฉันหนึ่งปี…ฉันเห็นเธอเป็น้องสาว”
เซี่ยโม่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ค่ะ”
“ของเธอเยอะ เดี๋ยวฉันขี่จักรยานไปส่งเธอเอง” ซ่งมู่ไป๋เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เซี่ยโม่รีบปฏิเสธ “ฉันจะรบกวนพี่ได้ยังไงคะ”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปเป็เพื่อนเธอซื้อเนื้อ ฉันรู้จักกับคนขายที่ร้านสหกรณ์”
“ก็ได้ค่ะ” ขณะที่ทั้งสองคนเตรียมจะออกจากบ้าน จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ซ่งมู่ไป๋มองลอดช่องประตู ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กสาว “เดิมทีฉันคิดจะขี่จักรยานไปส่งเธอที่ร้านสหกรณ์ แต่กลับมีแขกมาหาซะได้”
“ไม่เป็ไรค่ะ ของไม่ได้หนักมาก หลังจากนี้ฉันยังต้องมารบกวนพี่อีก พี่ไปส่งฉัน เดี๋ยวก็ต้องกลับมาอีก แบบนั้นลำบากแย่”
“งั้นก็ได้ พรุ่งนี้เย็นเจอกัน”
ซ่งมู่ไป๋เปิดประตู ชายชราใบหน้ามีเืฝาดก็เดินเข้ามาในบ้าน
เซี่ยโม่เดาว่าชายชราผู้นี้น่าจะเป็แขกประจำ “พี่ซ่ง พี่ต้อนรับแขกเถอะค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ”
ซ่งมู่ไป๋ไม่วายบอกทางอย่างไม่วางใจ “เธอเดินไปตามถนนเส้นนี้ พอถึงสี่แยกก็เดินไปทางทิศตะวันตก เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอร้านสหกรณ์”
เด็กสาวพยักหน้า “ฉันจำได้แล้วค่ะ”
ชายชราที่อยู่ในบ้านเห็นซ่งมู่ไป๋ยังคงมองตามเด็กสาวเดินไปจนลับสายตา พร้อมกับยิ้มจนดวงตาหยีเป็เส้นตรง
จากนั้นก็เอ่ยสัพยอก “เด็กสาวคนนี้ไม่เลวนะ หากอาลัยอาวรณ์นักก็แต่งเข้าบ้านเลยสิ จะได้เลิกอยู่คนเดียวไม่มีใครคอยคุมสักที”
ซ่งมู่ไป๋หน้าแดงหูแดง รีบอธิบายว่า “เธอยังเด็กอยู่เลย เหล่าหวาง เลิกพูดจาซี้ซั้วได้แล้ว”
“ฉันเนี่ยนะพูดจาซี้ซั้ว ท่าทางของเธอมันชัดเจนซะขนาดนั้น รีบจองไว้ อีกอย่างผู้หญิงสมัยนี้เขาก็แต่งงานเร็วกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”
ชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ พร้อมกับตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในใจว่า เขาต้องไปผูกมิตรกับคุณตาคุณยายอู๋เสียหน่อยแล้ว เด็กสาวจะได้ไม่ถูกคนอื่นแย่งไป
เซี่ยโม่เดินไปตามทางที่ซ่งมู่ไป๋บอก พอเห็นว่าแถวนี้ไม่มีคน เธอเอาผ้าและใยฝ้ายที่อยู่ในตะกร้าไปเก็บในโกดังสินค้า จากนั้นสะพายตะกร้าเปล่าๆ เดินไปที่ร้านสหกรณ์ต่อ
ในร้านสหกรณ์มีเนื้อหมูขายมากมายหลายส่วน เนื้อหมูติดมันถูกขายจนเกือบหมดแล้ว แต่ซี่โครงหมูและเนื้อหมูไม่ติดมันที่วางอยู่ด้านข้างกลับยังเหลือเยอะ เพราะไม่ค่อยมีคนซื้อ
เธอถามชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมซึ่งเป็คนขาย “ซี่โครงหมูนี้ราคาเท่าไรคะ”
คนขายตอบอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก “เนื้อหมูครึ่งกิโล 7.8 เหมา ซี่โครงหมูครึ่งกิโลเจ็ดเหมา แล้วก็ต้องใช้คูปองด้วย”
“ได้ค่ะ งั้นช่วยชั่งให้ฉันหน่อยค่ะ เอาเนื้อชิ้นเล็กนี้ด้วย” พ่อค้ามองเด็กสาวด้วยสีหน้าอึ้ง คนส่วนใหญ่ชอบกินเนื้อติดมัน แต่เด็กสาวคนนี้กลับจะซื้อซี่โครงหมู โง่หรือเปล่าเนี่ย?
แต่ในเมื่อมีคน้าซื้อ ตนแค่ชั่งให้ก็พอ
หลังจากชั่งเสร็จ เห็นว่าบนเขียงยังมีกระดูกหมูเหลืออยู่อีกเล็กน้อย ในเมื่อเด็กสาวชอบกินซี่โครงหมู ตนจึงแถมกระดูกหมูให้ไปด้วย
“สาวน้อย ฉันยังมีกระดูกหมูอีกสามสี่ชิ้น ฉันยกให้ เธอจะเอาไหม”
เซี่ยโม่ยิ้มตาเป็ประกาย คุณตาคุณยายกับน้องชายเธอขาดแคลเซียม น้ำแกงกระดูกหมูเหมาะกับทั้งสามคนที่สุด
เธอรีบไปตอบออกไปว่า “เอาค่ะ ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ”
คนขายตอบกลับอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี “ไม่เป็ไร เธอซื้อเยอะ ฉันก็เลยแถมให้ วันหลังก็มาอุดหนุนกันอีกนะ”
เธอยิ้มกว้างพลางพยักหน้า “ได้ค่ะ”
ขณะที่ในใจรู้สึกผิดต่อพ่อค้าคนนี้นัก บ้านเธออยู่ไกลจากร้านสหกรณ์ร้านนี้ คงจะมาบ่อยไม่ได้
เธอใช้กระดาษน้ำมันห่อเนื้อหมูเอาไว้ รวมถึงซี่โครงหมูและกระดูกหมูด้วย ก่อนจะวางไว้ในตะกร้า มองรอบๆ ร้านสหกรณ์พร้อมกับวางแผนอยู่ในใจ จากนั้นถึงค่อยเดินออกจากร้าน
หลังเดินออกมาจากร้าน เธอนำเนื้อหมู ซี่โครงหมู และกระดูกหมูใส่ในโกดังสินค้า ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงแดดกำลังแรง เก็บของไว้ในโกดังสินค้าจะได้ไม่เสีย
เซี่ยโม่เดินขึ้นเขาต่อ คิดว่าจะเก็บสมุนไพรติดไม้ติดมือกลับไปสักเล็กน้อย
ขณะกำลังเดินผ่านป่าไผ่ ตรงแถวกอไผ่ต้นที่ตายแล้ว เธอเห็นเห็ดเยื่อไผ่หลายต้น
เธอนึกยินดีในใจ นี่คือของดี เห็ดชนิดนี้จะเติบโตบนซากต้นไผ่ รูปลักษณ์สวยงามจนได้ฉายาว่า ‘ดอกไม้แห่งขุนเขา’
ได้ยินว่ามันมีสรรพคุณเป็ยาสูง ช่วยบำรุงร่างกายและบำรุงสมอง
คุณปู่จ้าวต้องรู้จักเห็ดชนิดนี้แน่นอน และจะต้องชอบกินแน่
เซี่ยโม่เก็บเห็ดชนิดนี้ใส่ตะกร้าจนเต็ม
เธอยืดกาย ขณะกำลังคิดจะหาที่นั่งพักสักครู่ สายตาเหลือบไปเห็นหนูตัวอวบอ้วนตัวหนึ่งเสียก่อน มันกำลังวิ่งหนีด้วยความใกลัวเพราะเห็นคน มันวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ทีจนชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่สลบไป
สงสัยคงจะเป็หนูอ้น
เธอจับหนูตัวนั้นขึ้นมาลองคะเนน้ำหนักดู น่าจะประมาณเกือบครึ่งกิโล จัดการใช้หญ้ามัดเท้าของมันเอาไว้ ก่อนจะใส่ในโกดังสินค้า
เธอกระหยิ่มยิ้มย่อง ได้ยินว่าเนื้อของมันอร่อยมาก พรุ่งนี้จะเอามันไปตุ๋นให้คุณปู่จ้าวกิน
ใช่แล้ว ต้องขุดหน่อไม้ด้วย ตุ๋นกับหน่อไม้ถึงจะอร่อย
เธอมองรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็ลงมือขุดหน่อไม้ แล้วเอาไปใส่ในโกดังสินค้า
เหลือไว้แต่เห็ดในตะกร้า จากนั้นสะพายตะกร้าเดินลงจากเขา
เดินลงมาถึงเชิงเขา เซี่ยโม่บังเอิญเจอกับเด็กข้างบ้านที่มาขุดหาผักอยู่พอดี
ครั้นอีกฝ่ายเห็นเธอ แค่นเสียงหึ ก่อนจะสะบัดหน้าไปขุดหาผักทางอื่น
เธอคิดในใจ แค่เอ่ยปฏิเสธถือว่าไปล่วงเกินอีกฝ่ายแล้วหรือนี่ มันก็แค่เื่เล็กน้อยเองไม่ใช่หรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้