อวี๋เฟยเยี่ยนจากไปด้วยย่างก้าวแ่เบา หมู่ดอกไม้และพืชพรรณนานาชนิด รวมถึงกล้วยไม้จิติญญาสีชาดต่างก็แกว่งไกวเต้นระบำรอบกายนาง
ศิษย์สำนักเชียนเฉ่าและสำนักร้อยบุปผาล้วนโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ ทว่าไม่สามารถตอบโต้อวี๋เฟยเยี่ยนได้ ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มตำหนิกันเองและครู่ต่อมาก็เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นอีกครั้ง
หนิงเทียนจ้องมองแผ่นหลังบางที่ค่อยๆ ลับตาไป พร้อมใช้มือขวาลูบคางอย่างครุ่นคิด
แม้แต่ในแดนลับก็ยังมียอดฝีมือด้านการพัฒนาจิติญญาอย่างอวี๋เฟยเยี่ยนแอบซ่อนอยู่ ซึ่งนางสามารถเอาชนะผู้บุกรุกหลายสิบคนได้ด้วยตัวคนเดียว เช่นนี้เขาก็ควรเตรียมรับมือกับภยันตรายในภายภาคหน้าใช่หรือไม่?
นอกจากการเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาจิติญญาแล้ว เชื้อสายรากพฤกษาบางส่วนก็ยังเป็โหราจารย์ที่ทรงพลังเช่นกัน พวกเขาชำนาญด้านการสังเกตูเาและสถานการณ์ การค้นหาทรัพยากร ตลอดจนการสำรวจเหมืองหรือถ้ำิญญาเร้นลับ และสามารถสื่อสารกับหัวใจธรณีเพื่อช่วยในการจู่โจม ซึ่งเป็พร์ที่หายากที่สุด
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขัดจังหวะภวังค์ความคิดของหนิงเทียน ศิษย์สำนักเชียนเฉ่าและสำนักร้อยบุปผาค่อยๆ ปลีกตัวออกไปทั้งที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ และผู้าเ็บางส่วนก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“ปล้น!”
“เ้าเด็กหน้าเหม็น ช่างรนหาที่ตาย...อ๊า!”
ปัง! ปัง! ปัง!
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงอื้ออึงอลหม่านดังขึ้นพร้อมกับการปล้นหินิญญาอีกครั้ง นอกจากนี้ หนิงเทียนยังใช้ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์กลืนกินรากจิติญญาจำนวนมากอีกด้วย
ในหุบเขาแห่งหนึ่งมีแผ่นศิลาประหลาดตั้งอยู่ ทั้งยังมีเมล็ดพันธุ์สามเมล็ดที่มีรูปร่างและขนาดต่างกันฝังอยู่ภายในนั้น
บนพื้นผิวราบเรียบของแผ่นศิลามีเส้นนูนออกมา หากถ่ายพลังลงไป แสงจิติญญาก็จะส่องสว่างขึ้น สิ่งลี้ลับและภาพลวงตานี้ปกปิดตัวตนราวกับกำลังวิวัฒนาการทักษะการต่อสู้
ผู้คนนับร้อยมารวมตัวกันที่นี่และพยายามต่อสู้แย่งชิงศิลาแผ่นนี้อย่างไม่ย่อท้อ
การที่ทุกคนทุ่มเทมากถึงเพียงนี้ นั่นก็เพราะเมล็ดทั้งสามบนแผ่นศิลาจำเป็ต้องอาศัยการกระตุ้นทางจิติญญา ทั้งยังมีทักษะต่อสู้ของรากพฤกษาสามทักษะ สอดคล้องกับดอกไม้ ต้นหญ้า และต้นไม้ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็โอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
หากสามารถแย่งชิงแผ่นศิลาและนำกลับไปยังสำนักของตนได้ จะถือเป็ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
ยามที่หนิงเทียนมาถึง ลูกศิษย์ทั้งสามสำนักก็กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ด นอกจากนี้หนิงเทียนยังััได้ถึงกลิ่นอายของอาวุธิญญาจื๋อซิวซึ่งทำให้เขาตื่นตัวทันที
“เป็เ้า? ตายเสียเถอะ!” เสียงคำรามสนั่นมาพร้อมกับปราณกระบี่อันน่าสะพรึงที่กวัดแกว่งไปทั่ว
จิตใจของหนิงเทียนตึงเครียดแล้วรีบหลบไปตั้งหลัก จากนั้นจึงเห็นว่าผู้จู่โจมสายฟ้าแลบครานี้คือเยี่ยชิงนั่นเอง
เขาเร่งเร้ากระบี่ใบพฤกษาขจีซึ่งเป็อาวุธสังหารอันทรงพลัง และทำให้หนิงเทียนตกที่นั่งลำบาก
“โชคร้ายอะไรเช่นนี้?” หนิงเทียนหดหู่ใจยิ่งนัก เขาจะเผชิญหน้ากับหายนะครั้งนี้ได้อย่างไร?
เขากวาดสายตาเ้าเล่ห์ไปทั่วบริเวณก่อนจะก้าวไปข้างหน้าแทนการถอยกลับ ทั้งยังรีบรุดเข้าหายอดฝีมือสามคนที่กำลังต่อสู้กันในระยะประชิด
เยี่ยชิงโกรธจัด แม้อานุภาพของกระบี่ใบพฤกษาขจีจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดด้านพื้นที่เช่นกัน การลงมือท่ามกลางกลุ่มคนอาจทำให้พรรคพวกของตนได้รับาเ็โดยไม่ตั้งใจ
“ล้อมเขาไว้ ข้าจะสังหารเ้าเด็กนั่นเอง!” เยี่ยชิงะโสั่งเหล่าลูกศิษย์สำนักเชียนเฉ่าอย่างบ้าคลั่ง ส่วนหนิงเทียนก็พยายามแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มศิษย์สำนักร้อยบุปผาแล้วเอ่ยยั่วยุ
“ถ้ากล้าก็เข้ามาเลย” หนิงเทียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแล้วเลือกลงมือกับศิษย์สำนักเชียนเฉ่าและสำนักั์พฤกษาโดยเฉพาะ ทันทีที่เขาใช้ทะลวงพันชั้นผสานกับวิชาทะยานหลงเงาตัดผกาภายใต้การกระตุ้นของยุทธศาสตร์ครอง์ เหล่าผู้บำเพ็ญในขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสี่ก็ราบเป็หน้ากลอง ทั้งยังถูกทุบตีจนกลับคืนสภาพเดิม และถูกปล้นอย่างทารุณ
“อ๊าก! รากจิติญญาของข้า”
“ฆ่ามัน ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!”
หลายคนโอดร้องคร่ำครวญและพร้อมใจกันเกลียดชังหนิงเทียนจนเข้ากระดูกดำ นี่มันโหดร้ายยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาทิ้งเสียอีก
“เ้านี่มันชั่วร้ายถึงเพียงนี้ จะปล่อยไปไม่ได้ ต้องฆ่าให้ตายเท่านั้น!”
ศิษย์สำนักเชียนเฉ่าและสำนักั์พฤกษาต่างเห็นพ้องต้องกันชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นยอดฝีมือทั้งหลายก็เริ่มเข้าล้อมหนิงเทียน
“ทะลวงพันชั้น!”
หนิงเทียนหาเกรงกลัวไม่ ตราบใดที่ไม่ใช่การต่อกรกับอาวุธิญญาจื๋อซิว การคิดจะสังหารเขานั้นก็ไม่ใช่เื่ง่ายนัก
“ครอง์กลืนราก!”
รากจิติญญาในร่างของหนิงเทียนเริ่มร้อนรุ่ม พลังิญญาของเขาพุ่งสูงขึ้นและรวมเข้ากับแผนที่จิติญญา หลังจากผ่านความทุกข์ทั้งเก้าครั้ง ก็ค่อยๆ แปรสภาพเป็พลังิญญาคุณภาพสูงเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย พร้อมปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัว
ผู้บำเพ็ญมากกว่าหนึ่งโหลล้อมรอบหนิงเทียนและโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งทำให้เยี่ยชิงเคลื่อนไหวค่อนข้างลำบาก เนื่องจากกังวลว่าจะเผลอทำร้ายสหายของตน
“ปล่อยให้เขาดึงความสนใจของศัตรูไปเถอะ พวกเรารีบไปเอาแผ่นศิลามาดีกว่า”
ศิษย์สำนักร้อยบุปผาไม่ได้สนใจความเป็ความตายของหนิงเทียนมากนัก จางจิ้นอวี่เป็ผู้นำออกคำสั่ง และเขาก็เข้าใกล้แผ่นศิลามากแล้ว
หนิงเทียนพบว่าการหลบหนีเป็เื่ยาก ดังนั้น เขาจึงปล่อยหินิญญาลอยว่อนรอบกาย และหลอมรากจิติญญาในร่างให้กลายเป็พลังิญญาที่หลั่งไหลเติมเต็มเส้นลมปราณอย่างบ้าคลั่ง
กระแสเืเดือดพล่าน ร่างทั้งร่างร้อนรุ่มดุจเตาเผาที่กำลังลุกไหม้ เขากลืนกินพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ พร้อมกวาดปราณกระบี่ไปทั่วเพื่อกำจัดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังปล่อยกำปั้นทรงพลังราวสายฟ้าฟาด ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ศัตรู
ในยามคับขันเช่นนี้ จิติญญาการต่อสู้ของหนิงเทียนทะยานสูงขึ้นจนถึงสภาวะมุ่งมั่นฟันฝ่า ทะลวงพันชั้นแปรเปลี่ยนไปตามความ้าของเขาและผสานกันอย่างช้าๆ จนพลังของมันเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งศิษย์สำนักเชียนเฉ่าและสำนักั์พฤกษาเข้าปะทะ พวกเขาก็ยิ่งหวาดหวั่น ผู้บำเพ็ญทั้งสิบเจ็ดชีวิตเข้าปิดล้อมและโจมตีหนิงเทียนอย่างไม่ขาดสาย จนมีผู้ได้รับาเ็สามรายภายในร้อยกระบวนท่า
พลังหมัดของหนิงเทียนน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก เขาอำมหิตราวกับอสูรร้ายโบราณที่มุ่งทุบตีแขนขาศัตรูให้หักสะบั้น
ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์นั้นเหี้ยมโหดและดุดันอย่างยิ่ง เมื่อใดที่ทะลวงการป้องกันเส้นลมปราณของคู่ต่อสู้ได้ ก็จะสามารถดึงรากจิติญญาของพวกเขาออกมา ทำให้อีกฝ่ายกลับสู่สภาพเดิมและสูญเสียประสิทธิภาพการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง
พร้อมกันนั้น เขายังปล้นหินิญญาและรากบ่มเพาะเพื่อเติมเต็มความหิวกระหายของร่างกายตนเองอีกด้วย
...
สำหรับหนิงเทียนแล้ว การเผชิญหน้ากับความเป็และความตายนับเป็การฝึกฝนรูปแบบหนึ่ง
เมื่อทักษะยุทธศาสตร์ครอง์พัฒนามาถึงจุดสูงสุด หนิงเทียนก็ยิ่งเ็าและทารุณ ไม่หลงเหลือความผันผวนทางอารมณ์ให้เห็น ทุกการเคลื่อนไหวของเขายอดเยี่ยมอย่างน่าอัศจรรย์
ทะลวงพันชั้นก็พัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็สามารถเข้าสู่ระดับสอง การเคลื่อนไหวหนึ่งพันยี่สิบสี่กระบวนท่าก่อนหน้านี้ค่อยๆ จับคู่รวมกันเป็ห้าร้อยสิบสองกระบวนท่า ซึ่งพลังของเขาเพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าจากระดับแรก
ทันทีที่หนิงเทียนต่อยหมัดออกไป ร่างของยอดฝีมือขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าก็กระเด็นไปไกลลิบ เส้นลมปราณในร่างเริ่มแตกสลาย และรากจิติญญาของพวกเขาก็ถูกดูดกลืน
หลังมือและใบมีดค่อยๆ เคลื่อนมากัน ทันใดนั้นดอกไม้บินก็บานสะพรั่งบนปลายนิ้วของหนิงเทียนอย่างมีเสน่ห์น่าหลงใหล
เสียงโหยหวนดังขึ้นพร้อมกับเืที่กระเซ็นไปทั่ว ศิษย์สำนักั์พฤกษาถูกหนิงเทียนตัดขาจนล้มลงกับพื้น
ความแข็งแกร่งของหนิงเทียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หินิญญานับพันก้อนถูกขัดเกลา ทั้งยังผสานกับรากจิติญญาจำนวนมาก ในที่สุดเขาก็เข้าสู่่กลางของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกแล้ว
เสียงคลื่นคำรามก้องกังวานอยู่ในกายของหนิงเทียน เืลมไหลพล่านทั่วร่างจนรูขุมขนขยายออก แลดูดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวราวกับเทพาโบราณที่อาละวาดในสมรภูมิ
“ไสหัวไป!” ยอดฝีมือจิตหยั่งลึกขั้นหกพุ่งลงมาจากฟากฟ้า พร้อมง้างมือต่อยหนิงเทียน
“เข้ามาเลย!” หนิงเทียนะโลั่นและรับการโจมตีด้วยหมัดเดียว
กำปั้นทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ เสียงกระดูกแตกละเอียดดังขึ้นพร้อมเสียงร้องคำราม ผู้มาเยือนถูกกระแทกจนกระเด็นกลับไป ขณะที่หนิงเทียนยังคงสบายดี
หลังจากเข้าสู่่กลางของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรก ประสิทธิภาพการต่อสู้ของหนิงเทียนก็พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผสานวิชาทะลวงพันชั้นกับทะยานหลงเงาตัดผกาแล้ว เขาก็ไม่ต่างจากเสือร้ายกลางฝูงแกะ[1]ที่ไร้เทียมทาน
ทันใดนั้นสัญชาตญาณที่บ่งบอกถึงอันตรายก็หยุดการเคลื่อนไหวของหนิงเทียน ซึ่งทำให้เขาพลิกตัวหลบด้วยความรวดเร็ว
ชั่วพริบตาต่อมา ปราณกระบี่อันรุนแรงราวกับ้าฉีกแผ่นดินออกจากกันพุ่งเข้าใส่หนิงเทียน ฝุ่นตลบทั่วบริเวณราวัดินเหวี่ยงหางไปมา และก้อนกรวดบางส่วนก็กระเด็นโดนร่างของเขา
พลันเยี่ยชิงปรากฏตัวขึ้น ปราณกระบี่ไหลเวียนอย่างอิสระ คมกระบี่ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาล้วนเพ่งเล็งมาทางหนิงเทียน บังคับให้เขาต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหาศิษย์สำนักเชียนเฉ่า
กระบี่ใบพฤกษาขจีเล่มนี้เปี่ยมด้วยอิทธิฤทธิ์อันน่าพิศวงจนหนิงเทียนรู้สึกหดหู่ เขาเองก็มีอาวุธิญญาจื๋อซิวเช่นกัน ทว่าระดับพลังกลับยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมมันได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังถูกลอบโจมตีจากบริเวณใกล้เคียงและตั้งรับไว้ไม่ทัน จึงถูกเตะออกไปไกลจากกลุ่มคน
เพียงเสี้ยววินาทีปราณกระบี่ก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวแล้ว เขารู้สึกราวกับกำลังจะไปเยือนยมโลก
หนิงเทียนไม่มีเวลาหลบเลี่ยง เขาทำได้เพียงส่งเสียงคำรามลั่น พร้อมปลดปล่อยความโกรธแค้นที่ล้นหลามออกมาจากดวงตา
่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หนิงเทียนใช้ทักษะยุทธศาสตร์ครอง์อย่างบ้าคลั่ง ทำให้แผนที่จิติญญาในร่างสั่นไหว บ่อน้ำทิพย์เข้าเกี่ยวพันกับน้ำเต้าเจ็ดสี และพลังส่วนใหญ่ของเขาก็ถูกดึงออกมาใช้ทันที
ขณะนั้นเองน้ำเต้าเจ็ดสีก็เริ่มสั่นะเืและพุ่งออกมาจากหัวของหนิงเทียน จึงสามารถต้านรับปราณกระบี่ได้อย่างฉิวเฉียด แสงสีขาวจางๆ ส่องลงบนพื้นผิวของน้ำเต้า เส้นลึกลับปรากฏขึ้นและหมุนวนไปมา
เพล้ง!
ปราณกระบี่แตกกระจายพร้อมเสียงที่คมชัด กระบี่สังหารของเยี่ยชิงโจมตีน้ำเต้าเจ็ดสี แต่กลับได้รับผลตอบกลับที่เหนือความคาดหมาย แรงปะทะอันมหาศาลทำให้เยี่ยชิงมีเืไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด และกระบี่ใบพฤกษาขจีในมือก็เกิดรอยแตกร้าวขึ้นในทันที
ส่วนหนิงเทียนก็ม้วนตัวหลบผลกระทบของปราณกระบี่ เหงื่อเย็นหลั่งไหลเต็มแผ่นหลังของเขา น้ำเต้าเจ็ดสีลอยกลับเข้าไปในเส้นลมปราณ บ่อน้ำทิพย์ยังคงพันเกี่ยวอยู่รอบน้ำเต้า และใช้พลังิญญาไปเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น
“นั่นอาวุธิญญาจื๋อซิว จับเขาไว้!” เยี่ยชิงใบหน้าซีดเซียว ทว่าดวงตากลับเป็ประกายสดใส
หากสามารถทำลายกระบี่ใบพฤกษาขจีของเขาได้ ย่อมถือเป็สมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น แล้วมดตัวจ้อยที่อยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกจะคู่ควรกับสมบัติชั้นเลิศเช่นนี้ได้อย่างไร?
เยี่ยชิงไม่สนใจการแผ่นศิลาอีกแล้ว ยามนี้เขา้าเพียงน้ำเต้าเจ็ดสีของหนิงเทียนเท่านั้น โดยหนิงเทียนเห็นว่าเยี่ยชิงกำลังาเ็สาหัสอยู่ ก็อาศัยโอกาสนี้ะโหนีด้วยความเร็วสูงสุด
ณ ที่แห่งนี้มีศิษย์สำนักเชียนเฉ่าอยู่หลายสิบชีวิต เยี่ยชิงรีบตามหนิงเทียนไปอย่างร้อนใจพร้อมกับสหายอีกเจ็ดคน ส่วนพรรคพวกที่เหลือก็ยังคงยื้อแย่งแผ่นศิลากันต่อไป
ไม่ว่าหนิงเทียนจะขึ้น์หรือลงนรกก็ล้วนถูกเยี่ยชิงตามล่า และรอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิดถึงสามครั้ง
“เยี่ยชิง ไม่ช้าก็เร็วข้าจะสังหารเ้า!”
“เ้าหนู อย่าได้คิดหนีจากเงื้อมมือของข้าเลย” เยี่ยชิงร่ำเรียนวิชามาจากสำนักเชียนเฉ่า จึงมีทักษะการติดตามที่ยอดเยี่ยมมาก เขาไล่ล่าหนิงเทียนราวเงาภูติผีก็มิปาน
ไม่รู้ว่าแสงในแดนลับริบหรี่ลงั้แ่เมื่อใด ดูเหมือนข้างนอกเริ่มจะมืดแล้ว
หนิงเทียนพยายามหนีขึ้นไปบนูเาซึ่งมักถูกเหล่าพฤกษาและอสูรโจมตีไม่ขาดสาย ทั้งยังเห็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ ตลอดทาง
ทันทีที่หนิงเทียนขึ้นมาถึงยอดเขา ลำแสงที่หมุนเวียนในเส้นลมปราณที่สองก็มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง
“บนเขาลูกนี้มีต้นไม้แห้งด้วยหรือ?”
จิตใจของหนิงเทียนสั่นไหวก่อนจะรีบมุ่งหน้าสูู่เาอย่างรวดเร็ว ขณะที่เดินผ่านไหล่เขา หนิงเทียนก็บังเอิญเจอถ้ำซึ่งมีพลังิญญารั่วไหลออกมา
เขาหยุดชะงักและ้าเข้าไปข้างใน แต่หากเยี่ยชิงยังตามติดเขาอยู่เช่นนี้ เขาจะไม่ตายโดยไร้ดินกลบหน้าหรอกหรือ?
หนิงเทียนตัดสินใจกัดฟันก้าวไปข้างหน้า จนมาพบกับต้นไม้แห้งเหี่ยวขนาดใหญ่ใกล้ยอดเขา ซึ่งน่าจะถูกอัสนีฟาดจนสิ้นชีพเช่นกัน
ยามนี้เยี่ยชิงและพรรคพวกก็มาถึงตีนเขาแล้ว ร่องรอยของการเยาะเย้ยฉายบนใบหน้าของเขาอย่างน่าหวาดกลัว “วิ่งขึ้นเขา? นี่เป็การแสวงหาความตายชัดๆ ทุกคนแยกย้ายกันไป! เราจะล้อมเ้าเด็กนั่นบนเขาลูกนี้!”
หนิงเทียนจ้องมองต้นไม้แห้งเหี่ยว พลันรู้สึกถึงการสั่นะเืของลำแสงในเส้นลมปราณที่สอง เขาจึงเปิดใช้น้ำเต้าเจ็ดสีทันที
อานุภาพของอาวุธิญญาทำลายลำต้นจนแยกออกจากกัน และเขาก็เห็นก้อนผลึกซึ่งอัดแน่นไปด้วยรอยลึกลับที่ใจกลางต้นไม้ในแวบเดียว
กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตตื่นขึ้นอีกครั้ง เพื่อดูดกลืนก้อนผลึกเข้าสู่เส้นลมปราณที่สอง ในไม่ช้าก็กลายเป็ลำแสงที่หมุนวนและสอดประสานกับลำแสงก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหนิงเทียน ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็อักษรทีละตัว
“ภัยพิบัติเก้าประการสู่ความเป็ะ ยุคสนธยากาล[2]เป็นิรันดร ชีวิตและความตายหวนย้อนกลับ ดำรงไว้ชั่วนิจนิรันดร์...”
หลังจากลำแสงทั้งสองกัน ก็ปรากฏการถอดรหัสชุดวิชาขัดเกลากายาซึ่งยังไม่สมบูรณ์
หนิงเทียนรับรู้ได้อย่างถี่ถ้วนว่ายังมีกลิ่นอายของต้นกำเนิดเดียวกันอยู่ในแดนลับ ซึ่งทำให้เขาตระหนักว่า มีเพียงการรวบรวมต้นกำเนิดทั้งหมดเท่านั้นที่จะสามารถรับวิชาขั้นสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่หนิงเทียนรับมาเมื่อครู่ คือ สูตรการฝึกวิชาขัดเกลากายาระดับแรก ซึ่งเหมาะสมกับสถานะในยามนี้ของเขาเป็อย่างยิ่ง
“กายเป็ะ แกร่งถึงขีดสุด! ช่างเป็คำที่ยิ่งใหญ่เสียจริง”
หนิงเทียนนึกสงสัยแล้วท่องสูตรปรับสภาพร่างกายเงียบๆ ก่อนจะพบว่าเส้นทางของมันผสานรวมกับยุทธศาสตร์ครอง์ได้เป็อย่างดี
“นี่เป็เื่บังเอิญหรือ?” หนิงเทียนทั้งประหลาดใจและสงสัย ก่อนจะวิ่งพุ่งไปยังถ้ำบนไหล่เขาอย่างรวดเร็ว
---------------------------------------
[1] เสือร้ายกลางฝูงแกะ (虎入羊群) หมายถึง ผู้แข็งแกร่งที่รังแกผู้อ่อนแอกว่า ทั้งยังกระทำทุกอย่างตาม้า
[2] ยุคสนธยากาล (荒古) คือ ยุคที่ถือกำเนิดเผ่าพันธุ์ต่างๆ รวมถึงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทว่าในยุคนั้นมีมนุษย์อยู่น้อยมาก และมียอดฝีมือที่สามารถสู้รบกับเผ่าพันธุ์อื่นได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้