จากนั้นมีพลังฝ่ามือเข้าจู่โจมฉู่หาน คลื่นพลังที่ถาโถมก่อให้เกิดพายุ ฉู่หานเผยสีหน้าเย็นเยียบ เดินออกมาหนึ่งก้าวก่อนจะปล่อยฝ่ามือออกไป
“ปัง!” พลังฝ่ามือทั้งสองเข้าปะทะกัน พลังทำลายล้างแผ่กระจายออกเป็วงกว้าง ฉู่หานต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว แขนสั่นเทาเล็กน้อย
“เศษสวะ ลำพังแค่เ้าคิดอยากหยุดข้างั้นหรือ?” เจิ้งเชาแสยะยิ้ม เห็นเขาก้าวออกมาอีกครั้ง พร้อมพลังของขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ปะทุออกมา จากนั้นพลังโจมตีอันแกร่งกล้าเข้าโจมตีฉู่หาน ในขณะเดียวกันทางด้านชายหนุ่มสองคนนั้นก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาดุดัน
“เศษสวะ ชดใช้กับสิ่งที่เ้าทำลงไปซะเถอะ!” หนึ่งในนั้นกล่าว พลังชายหนุ่มสองคนนั้นก็เข้าล้อมกรอบ ก่อนหนึ่งในนั้นจะปล่อยหมัดออกไปโจมตีเย่เฟิง ห้วงอากาศบิดเบือนฉับพลันราวกับจะแตกสลาย ทว่าสายตาของเย่เฟิงเผยประกายเยือกเย็น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 สองคน้าจัดการเขา ฝันไปเถอะ!
เย่เฟิงปล่อยหมัดโจมตีอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล ซึ่งหมัดนี้วิวัฒนาการมาจากเคล็ดวิชาหอกเงินประกาย แม้ดูเป็หมัดเรียบง่าย แต่กลับอัดแน่นด้วยพลังอันน่าทึ่ง
“ตูม!” เพียงพริบตาเสียงะเิดังสนั่นหวั่นไหว รังสีหมัดทั้งสองเข้าปะทะกัน พลังทำลายล้างเข้าปกคลุมร่างชายหนุ่มคนนั้นโดยฉับพลัน ทว่าชายหนุ่มคนนั้นต่อต้านพลังเช่นนั้นไม่ได้ จึงส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น ก่อนร่างจะกระเด็นปลิว กระดูกตรงแขนก็แตกหักไปหลายส่วน
ในขณะเดียวกันการโจมตีของชายหนุ่มอีกคนก็ไปถึงแล้ว พลังฝ่ามือกลายเป็สายลมพัดโหม ปั่นป่วนกระแสอากาศ การโจมตีนี้เพียงพอจะพรากชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย
“รนหาที่ตาย!” สายตาของเย่เฟิงวาบประกายแสงเยือกเย็น ชายสองคนนี้ร้ายมาก นึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีสังหารอย่างไม่ลังเล เช่นนั้นเขาเย่เฟิงก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป
จากนั้นเห็นเย่เฟิงเดินไปหาชายหนุ่มคนนั้น พร้อมกับเจตจำนงหอกปะทุออกจากร่าง ก่อนจะกลายเป็รังสีหอกมหาศาล ทะลวงทุกสิ่ง ด้วยรังสีหอกอันมหาศาลนั่น ห้วงอากาศราวกับถล่มย่อยยับลงมาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อรังสีหอกแผ่ปกคลุม พลังฝ่ามือของชายหนุ่มคนนั้นสลายหายไปในพริบตา จากนั้นรังสีหอกเข้าปกคลุมร่างเขา
“วูบ!” นาทีต่อมามีเสียงหนึ่งดังขึ้น เพราะความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ชายหนุ่มคนนั้นจึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้อง เส้นลมปราณถูกรังสีหอกทำลายจนขาดสะบั้น เืสาดกระเซ็นออกจากร่างชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มเหลือบมองเืที่ไหลออกจากร่างตัวเองแวบหนึ่งด้วยแววตาหวาดกลัว จากนั้นล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เส้นลมปราณของเขาถูกทำลาย ต่อจากนี้เขาคือคนพิการไร้พลังการบ่มเพาะ
เพียงเวลาสั้น ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 คนหนึ่งถูกทำลายแขน ส่วนอีกคนถูกทำลายวรยุทธ์ นี่คือความน่ากลัวของพลังเย่เฟิงหลังจากเขาบรรลุขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6
“แม้แต่กระบวนท่าเดียวของข้าก็ยังรับไม่ได้ แต่เศษสวะอย่างพวกเ้ากลับกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้าเนี่ยนะ ข้าไม่ฆ่าก็นับว่าเป็บุญของพวกเ้าแล้ว!” เย่เฟิงด่าทอสองคนนั้นด้วยสายตาเย็นะเื
ได้ยินคำพูดของเย่เฟิง ชายหนุ่มสองคนนั้นที่ถูกทำลายเส้นลมปราณก็เผยสีหน้าหดหู่ พวกเขาตัวสั่นเทาไม่หยุด เหมือนไม่อยากยอมรับว่าตัวเองถูกทำลายวรยุทธ์
“เ้าจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!” ชายหนุ่มคนนั้นกัดฟันพูด
“ชายผู้นี้แข็งแกร่งใช่ย่อย!” เมื่อผู้คนรอบข้างเห็นฉากนี้ก็ไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 สู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 สองคน ไม่ว่าดูอย่างไรก็ดูเหมือนต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าพวกเขาคิดผิด พลังของเย่เฟิงช่างน่าทึ่งมาก
“ชายผู้นี้คือใคร? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน?”
“นั่นน่ะสิ พรรคเทียนเสวียนมีคนเก่งขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่กัน?” ผู้คนไม่น้อยต่างพากันกระซิบกระซาบ
พวกเขาส่วนใหญ่เข้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเมื่อสามปีก่อน ในการทดสอบที่ลานประลองเมื่อวานนี้ก็มีไม่กี่คนที่น่าสนใจ ถึงอย่างไรในสายตาพวกเขา ศิษย์ใหม่ล้วนอ่อนแอ ไม่คุ้มค่าพอจะให้พวกเขาสนใจ แต่สิ่งที่พวกเขา้าคือ อยู่เหนือกว่าคนเ่าั้ที่มีชื่อสลักอยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียน
ดังนั้นแสงโชติ่ที่เย่เฟิงปลดปล่อยในการทดสอบเมื่อวานนี้ คนส่วนใหญ่ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจึงไม่ค่อยรู้เท่าไร แม้ได้ยินข่าวมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นเย่เฟิงตัวจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จัก
อีกด้านหนึ่ง ฉู่หานกับเจิ้งเชาเกิดศึกปะทะใหญ่ พลังของเจิ้งเชายกระดับขึ้นไม่น้อย ฉู่หานจึงถูกเจิ้งเชากดดันและถูกซัดกระเด็นปลิว
อย่างไรก็ตามเจิ้งเชาเห็นฉากที่เย่เฟิงเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 สองคนนั้นแล้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็อึมครึมและแสดงพลังโจมตีขั้นสุด เพราะอยากจบศึกนี้โดยเร็ว
ฉู่หานผลาญพลังไปมาก ดังนั้นเขาจึงรับการโจมตีของเจิ้งเชาได้อย่างยากลำบาก แต่ขณะนั้นมีพลังฝ่ามือจู่โจมเจิ้งเชาจากด้านข้างฉับพลัน ทำเจิ้งเชาใ คล้ายรับรู้ได้ถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ในฝ่ามือนี้ เขาจึงรีบจัดการพลังโจมตีของฉู่หาน จากนั้นควบแน่นพลังฝ่ามือขึ้นอีกครั้งก่อนปล่อยออกไป
“ปัง” การโจมตีทั้งสองเข้าปะทะกัน คลื่นพลังทำลายล้างแผ่ขยายเป็วงกว้าง บางทีอาจเป็เพราะรับมือไม่ทัน เจิ้งเชาที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 จึงถูกซัดกระเด็น สีหน้าบูดเบี้ยวจ้องมองเย่เฟิงที่ลอบโจมตีเขาตาเขม็ง เ้าหมอนี่เป็ใคร พลังไม่ธรรมดาเลย ไม่เพียงแต่เอาชนะลูกน้องทั้งสองของเขาได้ง่าย ๆ แต่การโจมตีเมื่อครู่นี้ยังทำให้เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจาง ๆ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็ใคร เย่เฟิงก็ใจกล้ามาก เจิ้งเชาเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์แท่นศิลาเทียนเสวียน ไม่ใช่คนที่เขาเย่เฟิงจะล่วงเกินได้
“ศิษย์น้องเย่เ้า...” ฉู่หานกวาดมองสองคนนั้นบนพื้นที่แพ้เย่เฟิง ก่อนจะหันไปมองเย่เฟิงด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง หัวใจพลันเกิดความสับสน ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องของเขาคนนี้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ชายสองคนนั้นยังกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าเย่เฟิง เขาก็จึงปกป้องเย่เฟิง แต่ในสายตาของเย่เฟิง สองคนนี้ไม่นับเป็สิ่งใด เกรงว่าจะเป็เพียงมดแมลงก็เท่านั้น พอนึกเื่นี้ขึ้นมา มันช่างน่าขันยิ่งนัก
เย่เฟิงยิ้มให้ฉู่หานโดยไร้ซึ่งคำพูด จากนั้นหันไปมองเจิ้งเชาที่กำลังเผชิญหน้าอยู่
“หมอนี่ช่างกล้าหาญมาก สู้กับเจิ้งเชาทั้ง ๆ ที่อยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 รนหาที่ตายชัด ๆ” เย่เฟิงลงมือโจมตีเจิ้งเชาในครั้งนี้ ทำให้ผู้คนรอบข้างกระจ่างแจ้ง แม้เย่เฟิงจะซัดเจิ้งเชาจนกระเด็น แต่ก็คงเอาชนะได้ยาก ต่อให้พลังของเย่เฟิงแข็งแกร่งอีกแค่ไหน ช่องว่างระหว่างขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 กับขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ก็มิอาจเติมเต็มได้
“เ้าไม่เลวเลยนี่ กระทั่งเทียบเคียงเศษสวะอย่างฉู่หานนั่นได้ แต่ถึงอย่างนั้นเ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอจะเอาชนะข้าได้งั้นหรือ?” เจิ้งเชากล่าวกับเย่เฟิงพลางแสยะยิ้ม
“ข้าเอาชนะเ้าไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ?” สายตาของเย่เฟิงวาบประกายคมปลาบ ประโยคนี้ราวกับมั่นใจในตนเองมาก
“แน่นอนสิ” เจิ้งเชาพยักหน้าด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น
“เ้าลอบโจมตีข้า ถือว่าทำผิดจนอภัยให้ไม่ได้ เตรียมตัวเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปซะเถอะ!”
สายตาของเจิ้งเชาเผยประกายคมกริบ เย่เฟิงจัดการลูกน้องทั้งสองของเขาต่อหน้าประชาชี ถือเป็การตบหน้าเขาทางอ้อมชัด ๆ มีหรือที่เขาจะปล่อยเย่เฟิงไปง่าย ๆ
จากนั้นพลังปราณปะทุออกจากร่างเจิ้งเชา ก่อนจะเข้ากดดันเย่เฟิง เขาก้าวออกมาพร้อมอัดพลังใส่ฝ่ามือ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่ออยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียนก็ย่อมไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะเอาชนะได้ง่าย ๆ
“ตายซะเถอะ!” เจิ้งเชาแผดเสียงะโ ก่อนจะปล่อยพลังฝ่ามือไปทางเย่เฟิง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนี้เจิ้งเชาก็เก็บพลังฝ่ามือนั่นทันที
ผู้คนหันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนเดินมาทางนี้ คนผู้นี้สวมอาภรณ์ผู้าุโ มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย เมื่อมาถึงก็กวาดตามองพวกเย่เฟิง ก่อนกล่าวว่า “ลานกว้างแห่งนี้ห้ามทะเลาะวิวาท พวกเ้าไม่รู้กฎหรือ?”
เสียงของผู้าุโคนนั้นแฝงด้วยความเกรงขาม ซึ่งเขาก็คือผู้คุมกฎของลานกว้างแห่งนี้ ขึ้นตรงกับสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ไม่ถูกพรรคใดควบคุม ตำแหน่งจึงพิเศษ
“ผู้าุโเหลียง สองคนนี้เป็ฝ่ายเริ่มก่อน สหายทั้งสองของข้าถูกทำร้าย ข้าจำต้องลงมือจัดการ หวังว่าท่านจะไม่ตำหนิ” เจิ้งเชากล่าวพร้อมโค้งคำนับให้ผู้าุโเหลียง
เย่เฟิงกับฉู่หานขมวดคิ้ว พวกเขายังไม่พูดอะไรก็เห็นผู้าุโแซ่เหลียงคนนั้นหันมามองพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนไม่รู้กฎเกณฑ์ กำเริบเสิบสานเช่นนี้ ไม่เคารพกฎของสำนักเลยรึไง?”
“ผู้าุโ เป็เจิ้งเชาต่างหากที่เริ่มก่อน ศิษย์น้องข้าทำร้ายสองคนนี้ก็เพื่อปกป้องตัวเอง ผู้าุโโปรดตรวจสอบความจริง” ฉู่หานรีบอธิบายให้ผู้าุโคนนั้นฟังทันที
“ตรวจสอบความจริง?” ผู้าุโแซ่เหลียงคนนั้นแสยะยิ้ม พร้อมกล่าวขึ้น
“เ้าเห็นข้าเป็คนตาบอดหรือ? ศิษย์สองคนนี้าเ็อย่างเห็นได้ชัด เ้ายังกล้าแก้ตัวอีก เห็นทีข้าต้องสั่งสอนบทเรียนให้แก่พวกเ้าแทนผู้าุโพรรคเทียนเสวียนเสียแล้ว!”
เมื่อกล่าวจบ พลังปราณพลันพวยพุ่งออกจากร่างผู้าุโแซ่เหลียง แรงกดดันจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่เข้ากดทับฉู่หาน ทำฉู่หานหายใจไม่ออก เพียงพริบตาทั้งตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“หยุดนะ!” เย่เฟิงะโใส่ผู้าุโคนนั้น เห็นได้ชัดว่าผู้าุโแซ่เหลียงคนนี้กำลังช่วยเจิ้งเชา
ผู้าุโคนนั้นหันมามองเย่เฟิง แต่แรงกดดันยังคงกดทับฉู่หาน ทำให้ฉู่หานหายใจลำบาก
“เื่นี้ใครผิดใครถูก ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างทราบกันดี ท่านเป็ถึงผู้าุโ กลับลงโทษโดยพลการ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตรวจสอบหาความจริง หน้าที่ของท่านคืออะไรกันแน่?” ดวงตาของเย่เฟิงลุกโชนดุจเปลวเพลิงขณะกล่าวถามผู้าุโแซ่เหลียงคนนั้น แม้อยู่ต่อหน้าผู้าุโก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“เหิมเกริม!”
ผู้าุโแซ่เหลียงไม่คิดว่าเย่เฟิงจะพูดจาโอหังเช่นนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอึมครึมทันทีพร้อมกล่าวว่า “เป็แค่ศิษย์สายนอกของพรรคเทียนเสวียน เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร กล้าดียังไงมากังขาในสิ่งที่ข้าทำ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้