ตอนที่ 7 มันฝรั่งแท่งทองคำกับไก่ทอดหอมหมื่นลี้
ความสำเร็จในวันแรกของโรงน้ำชาสดับวสันต์ไม่ได้เป็เพียงแค่พลุไฟที่สว่างวาบแล้วดับไป ตรงกันข้าม มันคือเชื้อไฟชั้นดีที่ถูกราดลงบนกองฟางแห้งแห่งความอยากรู้อยากเห็นของชาวเมืองหลวง ทำให้เปลวเพลิงแห่งการโจษจันลุกโชนโชติ่ยิ่งกว่าเดิม
รุ่งสางของวันที่สอง...
ภาพเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเมื่อวานได้อุบัติขึ้น! แถวของผู้คนที่มารอซื้อชาไข่มุกไม่ได้แค่ยาวเหยียด แต่ยังขดซ้อนกันเป็หลายทบราวกับัหลับใหลที่กำลังรอวันตื่น ผู้คนไม่ได้มามือเปล่าอีกต่อไป บางคนนำม้านั่งเล็กๆ มาด้วย บางคนพกพัดมาโบกคลายร้อน บางคนถึงกับนำเพื่อนฝูงมาตั้งวงเล่นไพ่รอฆ่าเวลา! โรงน้ำชาสดับวสันต์ได้กลายเป็มากกว่าร้านค้า แต่มันคือปรากฏการณ์ทางสังคมไปแล้ว!
ณ หอวิหคเหิน โรงน้ำชาคู่แข่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ผู้จัดการเกายืนมองภาพนั้นจากหน้าต่างชั้นสอง ใบหน้าของเขาดำคล้ำราวกับก้นหม้อที่ถูกเผาไหม้มานับสิบปี!
"บัดซบ! บัดซบที่สุด! โรงน้ำชาซอมซ่อแห่งนั้นมันมีดีอะไรกันนักหนา! แค่เครื่องดื่มประหลาดๆ อย่างเดียวน่ะหรือ จะมาเทียบกับประวัติศาสตร์อันยาวนานและใบชาชั้นเลิศที่ข้านำเข้ามาจากทั่วแคว้นได้!" เขากระแทกกำปั้นลงบนขอบหน้าต่างอย่างแรง ความอิจฉาริษยาแผดเผาในอกจนแทบจะกระอักออกมาเป็เื
"อาเปียว!" เขาะโเรียก "วันนี้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด! ต่อให้ต้องไปจ้างนักเลงมาเปิดทาง! เ้าจะต้องซื้อชาไข่มุกนั่นมาให้ข้าให้ได้! ข้าไม่เชื่อว่าพ่อครัวเทวดาของข้าจะแกะสูตรของมันออกมาไม่ได้!"
อาเปียวรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งออกไปทันที วันนี้เขาเตรียมตัวมาอย่างดี พกเงินมามากกว่าเดิมและเตรียมพร้อมที่จะใช้กำลังหากจำเป็
ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงจอแจที่หน้าร้าน ไป๋ฟางซินกลับไม่ได้ปรากฏตัวออกมา นางมอบหมายหน้าที่บริหารจัดการหน้าร้านทั้งหมดให้แก่ผู้จัดการซุนและทีมงานที่ตอนนี้ทำงานกันอย่างคล่องแคล่วและเปี่ยมด้วยพลังใจ ส่วนตัวนางมีเื่สำคัญกว่าที่ต้องทำ
นางกลับมายังจวนเสนาบดีั้แ่่สาย เพราะวันนี้คือวันที่ท่านพ่อ ไป๋ชิงซาน จะกลับมาจากการตรวจราชการที่หัวเมืองชายแดน
ในชาติก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบิดาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ไป๋ชิงซานเป็ขุนนางตงฉิน ยึดมั่นในหลักการและเกียรติยศของบัณฑิตยิ่งกว่าชีวิต เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่บุตรสาวของตนวิ่งไล่ตามองค์ชายรัชทายาทอย่างไม่รักนวลสงวนตัว แต่เพราะความรักที่มีต่อบุตรสาว เขาก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจและคอยตามเก็บกวาดปัญหาที่นางสร้างขึ้นเงียบๆ จนกระทั่งวาระสุดท้าย ภาพของบิดาที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็ฏและถูกลากตัวไปปะาทั้งที่ยังสวมชุดขุนนาง ยังคงเป็ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนางไม่เคยจาง
ชาตินี้ นางจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด!
ณ ห้องโถงใหญ่ของตระกูลไป๋
ไป๋ชิงซานในวัยสี่สิบต้นๆ นั่งอยู่ในตำแหน่งประมุขของโต๊ะอาหาร ใบหน้าของเขายังคงความหล่อเหลาและดูภูมิฐาน แต่กลับฉายแววเหนื่อยล้าจากการเดินทางและแฝงไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจบางอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ข้างกายเขา ในขณะที่ไป๋จื่อเซวียนนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ส่วนไป๋ฟางซินนั่งอยู่ถัดจากน้องชาย
"ท่านพ่อ เดินทางมาเหนื่อยๆ ทานปลานึ่งมะนาวนี่สิเ้าคะ หลานให้ห้องครัวทำเป็พิเศษเพื่อบำรุงกำลังท่าน" ไป๋ฟางซินคีบเนื้อปลาชิ้นโตใส่ลงในถ้วยของบิดาด้วยท่าทีนอบน้อมและห่วงใยอย่างแท้จริง
ไป๋ชิงซานชะงักไปเล็กน้อย เขามองบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วนางแทบไม่เคยแสดงความกตัญญูเช่นนี้กับเขาเลย ส่วนใหญ่จะเอาแต่พูดเื่ขององค์ชายรัชทายาทจนน่าปวดหัว
"อืม ขอบใจ" เขาตอบรับเสียงเรียบ ก่อนจะวางตะเกียบลงแล้วหันไปทางมารดา "ท่านแม่ขอรับ ข้าได้ยินข่าวลือประหลาดๆ ั้แ่ยังไม่ทันจะเข้าประตูเมือง...ชาวบ้านลือกันว่าโรงน้ำชาเก่าแก่ของตระกูลเรากลับมาเปิดใหม่อย่างยิ่งใหญ่ แถมยังขายเครื่องดื่มอะไรสักอย่างในราคาที่แพงกว่าทองคำเสียอีก...เื่นี้มันเป็มาอย่างไรกันขอรับ?"
สายตาของเขาตวัดมามองที่ไป๋ฟางซิน แฝงไปด้วยคำถามและการตำหนิอย่างชัดเจน
ยังไม่ทันที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะได้เอ่ยปาก ไป๋จื่อเซวียนก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยความตื่นเต้น "ท่านพ่อ! ท่านยังไม่รู้หรือขอรับ! ท่านพี่เก่งกาจที่สุดในโลกเลย! ชาไข่มุกของท่านพี่อร่อยเหาะไปเลยนะขอรับ! ตอนนี้คนทั้งเมืองหลวงอยากจะลิ้มลองกันจนแทบจะเหยียบกันตายอยู่หน้าร้านแล้ว! ท่านพี่หาเงินได้ตั้งเยอะแน่ะ!"
คำพูดไร้เดียงสาของบุตรชายยิ่งทำให้ใบหน้าของไป๋ชิงซานดำคล้ำลงไปอีก
"น่าขัน!" เขาตบโต๊ะเสียงดังปัง! จนทุกคนสะดุ้ง "หาเงินรึ! ตระกูลไป๋ของเราเป็ตระกูลขุนนางสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน! พวกเรายึดมั่นในเกียรติยศและศักดิ์ศรี! เหตุใดจึงต้องลดตัวลงไปทำการค้าขายเยี่ยงพ่อค้าวาณิชชั้นต่ำด้วย! นี่เ้ากำลังทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต้องมัวหมอง! ฟางซิน! เ้าคิดอะไรอยู่กันแน่!"
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นเยียบลงในบัดดล
'แย่แล้ว ท่านพ่อโกรธจริงจังเสียแล้ว ท่านพี่จะทำอย่างไรดี?' ไป๋จื่อเซวียนหดคอลงด้วยความกลัว
ไป๋ฟางซินกลับไม่แสดงอาการหวาดกลัวแม้แต่น้อย นางวางตะเกียบลงช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับบิดาโดยตรง แววตาของนางสงบนิ่งและลุ่มลึกเกินกว่าเด็กสาววัยสิบสี่ปีทั่วไป
"ท่านพ่อเ้าคะ" นางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ในสายตาของท่าน เกียรติยศของบัณฑิตนั้นยิ่งใหญ่เพียงใดหรือเ้าคะ?"
คำถามนี้ทำให้ไป๋ชิงซานขมวดคิ้ว "เ้าหมายความว่าอย่างไร? เกียรติยศคือสิ่งที่บัณฑิตพึงยึดถือไว้ชั่วชีวิต! มันคือความซื่อสัตย์! คือความเที่ยงธรรม! คือการไม่คดโกง!"
"ถูกต้องเ้าค่ะ" ไป๋ฟางซินพยักหน้ารับ "แต่ลูกขอถามท่านพ่ออีกครั้ง เกียรติยศเ่าั้ มันสามารถเปลี่ยนเป็อาหารให้เรากินยามอดอยากได้หรือไม่? มันสามารถเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าให้เราใส่ยามหนาวเหน็บได้หรือไม่? และที่สำคัญที่สุด มันสามารถปกป้องครอบครัวของเราจากคมดาบของศัตรูทางการเมืองได้หรือไม่เ้าคะ!"
"บังอาจ!" ไป๋ชิงซานลุกพรวดขึ้น ชี้หน้าบุตรสาวด้วยมือที่สั่นเทา "นี่เ้ากำลังดูิ่วิถีแห่งบัณฑิตอย่างนั้นรึ! เ้ากำลังจะบอกว่าเงินทองนั้นสำคัญกว่าเกียรติยศอย่างนั้นรึ!"
"ลูกไม่ได้ดูิ่เกียรติยศเ้าค่ะ!" ไป๋ฟางซินกล่าวสวนขึ้นมาทันที น้ำเสียงของนางดังขึ้นและแฝงไปด้วยความเ็ปที่ไม่มีใครเข้าใจ "แต่ลูกกำลังจะบอกว่า เกียรติยศที่ปราศจากพลังอำนาจค้ำจุนนั้น ช่างเปราะบางราวกับแก้วใส! ท่านพ่อเป็ขุนนางตงฉิน ลูกภาคภูมิใจในตัวท่านยิ่งนัก แต่ความตงฉินของท่านก็ได้สร้างศัตรูไว้มากมายในราชสำนัก! หากวันใดวันหนึ่ง มีคนคิดจะใส่ร้ายป้ายสีตระกูลของเรา ท่านพ่อคิดว่าเกียรติยศที่ท่านสั่งสมมาทั้งชีวิตจะช่วยให้เรารอดพ้นจากหายนะได้หรือเ้าคะ!"
คำพูดของนางเหมือนค้อนหนักที่ทุบลงกลางใจของไป๋ชิงซาน!
ภาพความทรงจำอันเลวร้ายในชาติก่อนฉายชัดขึ้นมาในมโนสำนึกของนาง ภาพที่ท่านพ่อคุกเข่าอยู่กลางลานปะา ะโก้องถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่กลับไม่มีใครรับฟัง ภาพของทหารที่บุกเข้ามาในจวนเพื่อยึดทรัพย์สินทั้งหมด ภาพของบ่าวไพร่ที่เคยภักดีกลับหันมาเหยียบย่ำซ้ำเติม น้ำตาหยดหนึ่งรินไหลลงมาอาบแก้มของนางโดยไม่รู้ตัว
"ท่านพ่อลูกไม่ได้้าจะเป็แค่พ่อค้า แต่ลูก้าสร้างโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดให้แก่ตระกูลของเรา" นางกล่าวเสียงสั่นเครือ "โล่ที่สร้างขึ้นจากเงินทอง โล่ที่จะทำให้เรามีอำนาจต่อรอง โล่ที่จะทำให้ศัตรูไม่กล้าแตะต้องเราโดยง่าย และโล่ที่จะปกป้องเกียรติยศอันสูงส่งของท่านพ่อ ไม่ให้ถูกใครมาทำลายลงได้ ท่านพ่อเข้าใจลูกหรือไม่เ้าคะ?"
ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบงัน...
ไป๋ชิงซานยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป เขามองน้ำตาบนใบหน้าของบุตรสาวด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เขาไม่เคยเห็นนางในมุมนี้มาก่อน นางไม่ใช่เด็กสาวเอาแต่ใจที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว คำพูดของนาง ความคิดของนาง มันลึกซึ้งและกรีดลึกลงไปในจุดที่เปราะบางที่สุดในใจของเขา ใช่แล้ว เขาเป็ขุนนางตงฉิน แต่เขาก็รู้ดีว่าในราชสำนักที่เน่าเฟะแห่งนี้ ความตงฉินเพียงอย่างเดียวไม่อาจปกป้องใครได้
ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งเงียบมาตลอดค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ในใจของนางกำลังเกิดคลื่นพายุโหมกระหน่ำเช่นกัน
'เด็กคนนี้...นางมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของอำนาจ! นางไม่ได้กำลังเล่นขายของ...แต่นางกำลังเดินหมากการเมืองที่แยบยลที่สุด! นางกำลังใช้คมดาบของพ่อค้า...เพื่อปกป้องเกียรติยศของบัณฑิต! ไป๋ชิงซาน...เ้าให้กำเนิดบุตรสาวที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!'
"ฟางซิน" ไป๋ชิงซานเอ่ยขึ้นเสียงแ่ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง "สิ่งที่เ้าพูด มัน..."
"ชิงซาน" ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขัดขึ้นเป็ครั้งแรก "ให้ฟางซินได้ลองทำในสิ่งที่นาง้าเถิด"
นางวางถ้วยชาลงแล้วมองบุตรชายด้วยแววตาที่มั่นคง "ข้าเป็คนอนุญาตให้นางทำเอง และข้าได้ให้สัญญากับนางไว้แล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็เวลาหนึ่งเดือนเต็มเ้าในฐานะบิดา ก็ควรจะเชื่อมั่นในตัวบุตรสาวของเ้าเช่นกัน"
คำพูดของมารดาเปรียบดังคำตัดสินสุดท้าย ไป๋ชิงซานทำได้เพียงแค่ถอนหายใจยาว เขามองไป๋ฟางซินอีกครั้งด้วยสายตาที่ซับซ้อน มีทั้งความไม่เห็นด้วย ความกังวล แต่ก็แฝงไปด้วยความทึ่งและความหวังอยู่ลึกๆ
มื้ออาหารที่แสนอึดอัดจบลง
ไป๋ฟางซินกลับมายังเรือนของตนเองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง แม้ท่านย่าจะเข้าข้างนาง แต่การไม่ได้รับการยอมรับจากบิดาก็ยังคงสร้างรอยแผลเล็กๆ ในใจของนาง
"คุณหนู อย่าเสียใจไปเลยนะเ้าคะ" ชิงเหอกล่าวปลอบ "สักวันหนึ่งท่านเสนาบดีจะต้องเข้าใจในตัวคุณหนูแน่นอนเ้าค่ะ"
ไป๋ฟางซินปาดน้ำตาทิ้ง แววตาของนางกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม "ข้าไม่ได้เสียใจ ข้าแค่รู้สึกว่าเวลาของข้ามีน้อยเหลือเกิน ข้าต้องรีบ ต้องรีบสร้างอาณาจักรของข้าให้แข็งแกร่งกว่านี้!"
นางลุกขึ้น "ชิงเหอ ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปที่โรงน้ำชา!"
"ตอนนี้เลยหรือเ้าคะ? นี่มันยามค่ำแล้วนะเ้าคะ"
"ใช่! ตอนนี้แหละ!" นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว "ศัตรูของเราไม่เคยหลับใหล ข้าก็จะหยุดพักไม่ได้เช่นกัน!"
ณ โรงน้ำชาสดับวสันต์ ยามไฮ่ (สี่ทุ่ม)
แม้ร้านจะปิดให้บริการไปแล้ว แต่ในห้องครัวกลับยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
ไป๋ฟางซินกำลังยืนอยู่หน้าเตาไฟขนาดใหญ่ ในกระทะเหล็กมีน้ำมันเดือดพล่านอยู่เต็มกระทะ ข้างๆ นางมีมันฝรั่งที่ถูกหั่นเป็แท่งยาวๆ และเนื้อไก่ที่ถูกหมักด้วยเครื่องเทศสูตรลับวางอยู่
"เถ้าแก่เนี้ย ท่านจะทำอะไรหรือขอรับ?" ผู้จัดการซุนถามด้วยความสงสัย เขาและพนักงานคนอื่นๆ ถูกเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด่วน
ไป๋ฟางซินไม่ตอบ แต่คีบมันฝรั่งแท่งหนึ่งหย่อนลงไปในน้ำมันเดือด
"ซู่!"
เสียงน้ำมันเดือดดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมที่เป็เอกลักษณ์ เมื่อมันฝรั่งเปลี่ยนเป็สีเหลืองทองกรอบน่ากิน นางก็ตักขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วโรยด้วยเกลือและผงเครื่องเทศบางอย่าง
"นี่คือมันฝรั่งแท่งทองคำ" นางกล่าว "ลองชิมดู"
ผู้จัดการซุนและคนอื่นๆ หยิบมันฝรั่งที่ยังร้อนๆ อยู่เข้าปาก
วินาทีแรกที่ฟันกระทบกับผิวนอกที่กรอบ ตามด้วยเนื้อในที่นุ่มละมุน และรสชาติเค็มๆ มันๆ ที่ผสมกับกลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน!
'์! นี่มันอะไรกัน! อร่อย! อร่อยจนลิ้นแทบละลาย! มันคือสุดยอดของกินเล่น! ถ้าได้กินคู่กับชาไข่มุกเย็นๆ โอ้โห ข้าไม่อยากจะจินตนาการเลย!'
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะหายใ ไป๋ฟางซินก็หยิบชิ้นไก่ที่หมักไว้ลงไปทอดต่อ ไม่นานนัก กลิ่นหอมที่ยั่วยวนยิ่งกว่าเดิมก็โชยตลบอบอวลไปทั่วห้องครัว ไก่ที่ทอดจนเป็สีเหลืองทองกรอบถูกตักขึ้นมาวางเรียงกันบนจาน
"และนี่คือ ไก่ทอดหอมหมื่นลี้"
ครั้งนี้ไม่มีใครรอให้สั่ง พวกเขารีบหยิบไก่ทอดเข้าปากทันที!
"กร๊อบ!"
