ในเนื้อแท้แล้ว ครอบครัวตระกูลหลิงยังรู้สึกว่าตนเองเป็เพียงคนธรรมดาไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมากนัก
ดังเช่นในตอนนี้ที่พี่น้องตระกูลโจวได้ล่วงเกินองค์ฮ่องเต้แล้ว โจวฉี่รุ่ยถึงขนาดกล่าวออกมาโดยตรงว่า้าเปลี่ยนฮ่องเต้ ทว่าสำหรับคนในตระกูลหลิงแล้ว หัวข้อสนทนานี้น่ากลัวเกินไป และพวกเขาไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอันใดออกมา
อย่างไรเสียโจวฉี่รุ่ยก็ยังไม่ได้ถูกความเกลียดชังเข้าครอบงำ หลังจากเขาสงบสติลง ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางกล่าว "ขออภัยด้วยขอรับ พวกข้าพี่น้องสร้างความลำบากให้กับทุกท่านแล้ว รอให้พี่ชายฟื้นตัวขึ้นมา พวกข้าจะไปจากที่นี่ ทุกท่านก็ทำเสมือนไม่เคยพบพวกข้าสองพี่น้องมาก่อน หากผู้อื่นถามถึงก็อย่าได้ยอมรับถึงการมีอยู่ของพวกข้า"
“เ้าเด็กหนุ่มรุ่ย พวกเ้าจะไปที่ใดล่ะ? ญาติพี่น้องของพวกเ้าล้วนไม่มีแล้ว”หยางซื่อใจอ่อนลง ครั้นได้เห็นชะตาชีวิตที่ลำบากของพี่น้องคู่นี้ ในใจของนางก็รู้สึกเป็ทุกข์
“อาสะใภ้อย่าได้กังวล แม้ว่าครอบครัวพวกข้าจะถูกฆ่าล้างตระกูล แต่ก็ยังมีญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ไม่อยากเข้าไปเป็ภาระให้กับพวกเขา ดังนั้นจึงไม่เคยตามหาพวกเขา บัดนี้พวกข้า้าจะแก้แค้น จึงจำเป็ต้องติดต่อกับพวกเขาแล้วขอรับ" โจวฉี่รุ่ยหลุบตาลงพลางกล่าวว่า "เพียงแต่ว่า การแยกจากกันในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกับทุกท่านอีกเมื่อไร บางทีชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้กระมัง! ความเมตตาที่ทุกท่านมีต่อพวกข้าพี่น้อง พวกข้าก็ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณ หวังเพียงว่าจะตอบแทนในชาติหน้าแล้วขอรับ”
“กล่าวคำพูดหมดกำลังใจอันใดกัน?” หลิงต้าจื้อตบไปที่มือของเขา "ทานข้าวเถิด"
อาหารมื้อนี้ ทุกคนทานอย่างไม่รู้รสชาติ พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเป็เวลานาน มีความรักความผูกพันต่อพี่น้องตระกูลโจว เื่ราวที่พี่น้องตระกูลโจวได้ประสบพบเจอนั้น พวกเขาก็เป็ทุกข์เช่นกัน ทว่า ถ้าพวกเขา้าก่อฏจริงๆ นั่นก็จะต้องฝ่าฟันอันตรายเพื่อเอาชีวิตรอดมาให้ได้ ต่อให้วรยุทธ์ของพวกเขาสองพี่น้องจะสูงส่งมากเพียงใด แต่พวกเขาจะสามารถฝ่าด่านกองทัพทหารส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ได้หรือ?
"มู่เอ๋อร์..." หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะเข้าไปในห้อง หยางซื่อก็มาเคาะประตูห้องของนางแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังนั่งอยู่หน้าคันฉ่องเพื่อถอดเครื่องประดับ แม้ว่านางจะไม่ได้แต่งหน้า แต่เครื่องประดับบนผมก็จะต้องถอดออก
“ท่านแม่ ประตูไม่ได้ลงกลอนเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบรับ
หยางซื่อยกกาน้ำชาเข้ามา "น้ำชาในห้องของเ้าเย็นไปนานแล้ว แม่เปลี่ยนกาน้ำชาใบใหม่ให้เ้า"
“ท่านแม่ คืนนี้ไม่ต้องมาเปลี่ยนให้แล้วนะเ้าคะ ข้าไม่ดื่มชาเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์สางเส้นผมสีดำขลับของตน ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย
หยางซื่อเดินเข้าไปหาหลิงมู่เอ๋อร์ ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วทอดมองนางในกระจก หลังจากผ่านการบำรุงร่างกายใน่เวลานี้ ตอนนี้หยางซื่อดูอายุน้อยลงมาก ดูเหมือนหญิงสาวออกเรือนในวัยสามสิบต้นๆ เดิมทีนางที่มีผมขาวสีดอกเลาเป็จำนวนมาก แต่เนื่องจากเทียบยาของหลิงมู่เอ๋อร์ที่จัดให้ เส้นผมบนศีรษะนั้นจึงกลายเป็สีดำสนิทและเงางาม ทำให้หยางซื่อมีหน้าตาสดใสเปล่งประกายมีสง่าราศี
“มู่เอ๋อร์ของแม่สวยขึ้นเรื่อยๆ เสียจริง ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องตาเด็กหนุ่มสกุลใดบ้าง” หยางซื่อรับหวีในมือของนางมา แล้วสางเส้นผมของนางอย่างอ่อนโยน
หลิงมู่เอ๋อร์ััได้ถึงความรักของหยางซื่อ ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยความสุข
เช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน!
นางเป็ที่รักใคร่ของท่านพ่อท่านแม่ เป็ที่โปรดปรานของพี่ชาย และเป็ที่เคารพของน้องชาย ถึงแม้ว่าจะให้นางใช้ชีวิตธรรมดาแบบนี้ต่อไปชั่วชีวิต นางก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ
“ท่านแม่ ท่านนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเื่ของพวกพี่ใหญ่โจวหรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ใจหยางซื่อดีเกินไปแล้ว นางก็เป็เพียงคนใจอ่อนคนหนึ่ง
“ชะตาชีวิตของเด็กสองคนนั้นช่างลำบากนัก แม่สงสารพวกเขาจริงๆ” หยางซื่อส่ายศีรษะพลางเอ่ย “น่าเวทนาเด็กสองคนนั้นจริงๆ เพียงแต่ เส้นทางที่พวกเขาเลือกในตอนนี้คือเส้นทางที่มองไม่เห็นแสงตะวัน ช่างยากลำบากเหลือเกิน จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายเพื่อเอาชีวิตรอดมาให้ได้ แม่เป็ห่วงพวกเขาจริงๆ ”
“ท่านแม่ อย่าเสียใจไปเลยเ้าค่ะ พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่ๆ ฮ่องเต้รัชสมัยนี้อายุไม่น้อยแล้ว จะช้าหรือเร็วก็จะต้องสิ้นพระชนม์ในสักวัน เวลานั้นความแค้นของพวกพี่ใหญ่โจวก็จะลดลงไป” หลิงมู่เอ๋อร์พิงอยู่ในอ้อมแขนของหยางซื่อ “ใช่แล้ว อีกสักระยะหนึ่งข้าจะต้องไปเมืองหลวงสักเที่ยวนะเ้าคะ”
"เหตุใดเพิ่งกลับมาก็จะไปอีกแล้วเล่า" ครั้นหยางซื่อได้ยิน ไหนเลยจะจำเื่ของผู้อื่นได้ รู้แค่ว่าความสามารถของบุตรสาวยิ่งนานวันยิ่งเก่งกาจมากขึ้นเรื่อยๆ และโอกาสที่นางจะได้เจอบุตรสาวก็น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน หยางซื่อคิดว่าอายุของบุตรสาวก็ไม่น้อยแล้ว ผ่านไปอีกสองปีก็ต้องแต่งงาน ถึงตอนนั้นก็ยิ่งเป็คนของสกุลอื่น พอคิดเช่นนี้ ในใจของนางก็ยิ่งเ็ป
“ข้าสัญญากับคนผู้หนึ่งไว้แล้ว ว่าจะช่วยเขารักษาท่านย่าของเขาเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ พลางกล่าว “หลังจากข้ารักษาคนเสร็จแล้วก็จะกลับมาเ้าค่ะ”
“น้ำในเมืองหลวงนั้นลึกมาก [1] ข้าเป็ห่วงว่าเ้าจะถูกผู้อื่นรังแก” หยางซื่อทอดถอนหายใจเบาๆ “มู่เอ๋อร์ ตอนนี้ครอบครัวของพวกเราไม่ต้องกังวลเื่อาหารหรืออาภรณ์แล้ว ไม่เช่นนั้น… เ้าอย่าเป็หมอเลย เ้าเป็เพียงสตรีนางหนึ่ง ถ้าหากถูกผู้อื่นรังแก แม่จะต้องเสียใจหนักเป็แน่ พวกเราแค่ทำการค้าเหลาอาหารสกุลหลิงให้ดีก็พอแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านดูพี่ใหญ่โจวสิเ้าคะ ครอบครัวของพวกเขานับว่าเป็ตระกูลสูงศักดิ์ใช่หรือไม่? แม้แต่คนที่มีฐานะเช่นนั้นก็ยังโชคร้ายตกลงมาจากท้องฟ้า [2] ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนธรรมดาอย่างพวกเรา” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ “อยากมีชีวิตที่มั่นคง ก็ต้องยืนให้สูงกว่านี้ ด้วยวิชาแพทย์ของข้า ย่อมมีคนจำนวนมากมาขอร้องกราบกราน ในบรรดาคนเ่าั้ต้องมีขุนนางผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ ข้าอยากใช้วิชาแพทย์ของข้าออกไปท่องใต้หล้าช่วยชีวิตผู้คน ท่านแม่คอยดูเถิดเ้าค่ะ! ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
“เ้าเติบใหญ่แล้ว มีความคิดเป็ของตนเอง แม่โน้มน้าวเ้าไม่ได้แล้ว” หยางซื่อทอดมองบุตรสาวของตนเองอย่างรักใคร่
เพราะพวกเขาในฐานะบิดามารดานั้นไร้ประโยชน์ จึงทำให้นางต้องประคับประคองเลี้ยงดูครอบครัวนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีนางก็เป็เพียงแม่นางน้อยที่ไร้เดียงสา แต่ตอนนี้กลับผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เพียงแต่ว่า พวกเขาจำเป็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่นางตัดสินใจมักจะดีที่สุดเสมอ ทุกคนในครอบครัวก็เต็มใจที่จะเชื่อฟังการจัดแจงของนาง
หมอหญิงเทวดากลับมาแล้ว ข่าวคราวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ในทุกวันๆ วัน โชคดีที่นางไปหาพ่อค้านายหน้าและซื้อสาวใช้ที่มีความรู้วิชาแพทย์มาสองคน พอมีพวกนางเป็ลูกมือ หลิงมู่เอ๋อร์ถึงพอหายใจหายคอได้บ้างเล็กน้อย สาวใช้สองนางนั้นมีนามว่าซางจือและเจี้ยงเซียง
ซางจือและเจี้ยงเซียงเคยเป็สาวใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ รับหน้าที่ดูแลห้องโอสถโดยเฉพาะ ตระกูลสูงศักดิ์นั้นถูกศัตรูทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาด พวกนางจึงถูกขายออกไป
่ระยะนี้หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเื่ฆ่าล้างตระกูลติดต่อกันอยู่หลายครั้ง และได้ตระหนักรู้ถึงเื่อำนาจและอิทธิพลมากขึ้น นางยิ่งรู้สึกว่าควรจะมีกำลังเป็ของตนเอง เช่นนี้ก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าครอบครัวที่ตนเองห่วงใยจะถูกผู้อื่นทำเหมือนเป็วัชพืชที่จะถอนเมื่อใดก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดก็มีการรังแกผู้อ่อนแอ และเกรงกลัวต่อผู้แข็งแกร่งกว่าเสมอ
หลังจากผ่านการอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์พบว่าซางจือและเจี้ยงเซียงมีพร์ด้านการแพทย์เป็อย่างยิ่ง จึงรับพวกเขาเป็ลูกศิษย์และให้พวกเขาเรียนรู้วิชาแพทย์ ครั้นสาวใช้ทั้งสองนางนั้นได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์ยินยอมที่จะสอนพวกนาง ก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณนัก คนภายนอกดูแคลนสตรีที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์ เพราะคิดว่านั่นเป็อาชีพของหมอตำแย พวกนางอาศัยอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์รู้ว่าการเรียนรู้วิชาแพทย์นั้นสำคัญเพียงใด นอกจากนี้ หากพวกนางมีวิชาแพทย์ติดตัว ไม่ว่าอยู่ที่แห่งหนใดก็สามารถมีชีวิตรอดได้
"คุณหนู ด้านนอกโรงหมอของพวกเรามีหญิงแก่นางหนึ่งล้มอยู่เ้าค่ะ ดูจากท่าทางของนางแล้วเหมือนเป็โรคลมชักกำเริบที่ท่านกล่าวถึงเลยเ้าค่ะ" ซางจือเดินเข้ามาจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์เขียนเทียบยาเสร็จแล้ว ก็ยื่นเทียบยาส่งให้เจี้ยงเซียงที่อยู่ด้านข้าง "จัดยาสามสำรับให้ท่านปู่ผู้นี้ ทั้งหมดห้าสิบอีแปะเ้าค่ะ"
“ขอบคุณท่านหมอเทวดา” ชายชราที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ
“กลับไปพักอีกครึ่งเดือน ในระยะครึ่งเดือนนี้อย่าได้ลงจากเตียงทำงานที่ไร่นานะเ้าคะ อาการป่วยของท่านจะต้องพักรักษากายให้หายดีก่อน ไม่อาจทำงานเช่นนี้ได้อีกแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กำชับผู้ป่วย
หญิงที่อยู่ด้านข้างรีบร้อนเอ่ย "ได้ยินหรือไม่ตาแก่? ทุกครั้งข้าเตือนเ้า เ้ามักจะไม่ฟัง ตอนนี้หมอเทวดากล่าวแบบนี้แล้ว เ้าคงเชื่อฟังแล้วกระมัง?"
ชายชรายิ้มอย่างเขินอาย
สามีภรรยาชราคู่นั้นต่างประคองกันและกันแล้วเดินจากไป
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นไปมองที่ซางจือ "ไม่เห็นตัวคนป่วย คาดว่าเ้าน่าจะจัดการเรียบร้อยแล้ว หญิงชราท่านนั้นไปแล้ว?"
"เ้าค่ะ ข้าช่วยนางตามวิธีที่คุณหนูบอก หลังจากที่นางฟื้นก็ตกรางวัลให้บ่าวสิบตำลึงเงินเ้าค่ะ" ซางจือนำก้อนเงินหยวนเป่าหนึ่งก้อนวางลงบนโต๊ะ “นางรีบร้อนไปทำธุระอันใดสักอย่าง ยังบอกว่าจะกลับมาที่โรงหมอให้คุณหนูตรวจโรคอย่างละเอียด นางยัง้าการรักษาที่ต้นเหตุเ้าค่ะ"
เชิงงอรรถ
[1] น้ำในเมืองหลวงนั้นลึกมาก 京城那地方的水很深 (水很深 น้ำลึกมาก) หมายถึง บุคคลในเมืองหลวงนี้มีแผนสูง ความคิดซับซ้อน วางแผนเยอะ เ้าเล่ห์ มีความคิดที่ลึกซึ้งยากแท้หยั่งถึง โดยทั่วไปจะใช้เป็คำเตือนให้ระแวดระวังผู้อื่น
[2] โชคร้ายตกลงมาจากท้องฟ้า 祸从天降 หมายถึง เกิดเหตุร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิดมาก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้