ข้าดีใจจนออกนอกหน้าเพราะพลังของวรยุทธ์ชนิดนี้จะสามารถโจมตีระยะไกลได้ปกติแล้วพลังแบบนี้มันก็หายากอยู่แล้วยิ่งถ้าเป็วรยุทธ์ขั้นสุดยอดยิ่งไม่ต้องพูดถึงและที่สำคัญยังเป็สิ่งที่ข้า้าขณะนี้เพราะในฐานะผู้ฝึกฝนิญญาด้านการใช้กระบี่ การโจมตีแต่ละครั้งของข้าดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในระยะสามเมตรเท่านั้นไม่เหมือนของถังเชวียหรานที่มีอาวุธิญญาเป็ธนูที่สามารถยิงออกไปได้ไกลกว่าร้อยเมตรจนน่าเกรงขามแบบนั้น
เมื่อคราวที่ต้องประลองหรือสู้กับเหล่าสัตว์ิญญาในหุบเขาหลิงหยุนแต่ละครั้งก็พิสูจน์แล้วว่าข้าจะต้องรอให้พวกนั้นเข้ามาใกล้ถึงจะสามารถป้องกันตัวหรือจู่โจมได้แต่ถ้าข้าฝึกฝนวิชาคันศรอัคนีสำเร็จก็เท่ากับข้าไม่จำเป็ต้องรอให้ศัตรูเข้ามาใกล้ตัวก็โจมตีมันก่อนได้หรือบางทีอาจจะจัดการกับคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้ราบคาบหรือถึงตายโดยที่พวกนั้นยังเข้าไม่ถึงตัวข้าเลยด้วยซ้ำพอคิดได้แบบนี้ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าวิชาคันศรอัคนีนี้สำคัญขนาดไหน!
...
เมื่อพลังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วข้าก็หลับตาลงเพื่อให้จิตเข้าผสานจนเป็หนึ่งเดียวกับพลัง
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดความรู้สึกร้อนไหลเวียนอยู่ในเส้นเืทั่วร่างกายและเมื่อใช้ตาทิพย์มองลงไปก็พบว่ามีแสงสีทองก้อนหนึ่งกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างทว่าพลังของมันกลับน้อยนิดจนไม่อาจนำมาเทียบกับพลังิญญาในร่างกายได้เลย
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อใช้พลังิญญาในร่างกายเข้าไปควบคุมพลังของลำแสงสีทองก้อนนั้นแต่ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จเหมือนกับว่ามันกำลังกลัวและหลบซ่อนข้าอยู่
หลังจากพยายามมานับไม่ถ้วนก็เหมือนจะมีลางที่ดีเกิดขึ้นเมื่อพลังสีทองก้อนนั้นค่อยๆ ลดความเร็วและยอมให้จิตของข้าเข้าไปััแต่ถึงกระนั้นพลังของมันก็ยังอ่อนและมีน้อยนิดจนแทบจะหาไม่เจอเลยก็ว่าได้
ไม่นานฟ้าก็มืดลงส่วนข้ายังคงพยายามรับรู้ถึงพลังของวิชาคันศรอัคนีอยู่เหมือนเดิมจนเวลาของอาหารเย็นได้ผ่านพ้นไป อยู่ๆข้าก็รู้สึกถึงพลังของมันที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายจนได้!
ข้าลืมตามองมือซ้ายของตัวเองก็พบว่ามีพลังที่เหมือนกับเส้นสีทองกำลังพยายามแผ่ซ่านออกมานอกชั้นิัก่อนจะรวมกันเป็กลุ่มพลังที่ทำให้รู้สึกว่าข้าจะต้องใช้มันออกมาให้ได้
“มาแล้วสินะ!”
ข้ารู้สึกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นพลางตวาดเสียงดังลั่นจนพลังของมันพุ่งออกมาจากร่างกายก่อนจะจับตัวรวมกันเป็คันธนูอยู่ในฝ่ามือทว่ามันเพิ่งจะรวมกันเป็รูปเป็ร่างได้เพียงครึ่งเดียวก็สลายหายไปดูเหมือนว่าพลังของข้าจะยังไม่เพียงพอที่จะใช้มันสินะ!
ถึงแม้ข้าจะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยแต่สามารถฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวอยู่เหมือนกัน
พอดูเวลาแล้วก็เลยกินข้าวก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังหุบเขาลั่วเซี่ยวิชาคันศรอัคนีเป็วิชาการจู่โจมในระยะไกลดังนั้นข้าจะฝึกฝนในสำนักไม่ได้เพราะมันอาจจะพุ่งไปทำร้ายศิษย์คนอื่นนอกจากนั้นยังเป็การบอกให้คนอื่นรู้ด้วยว่าข้ากำลังฝึกฝนวิชาอะไรอยู่ดังนั้นเก็บไว้เป็ความลับก่อนน่าจะดีที่สุด
ณ หุบเขาลั่วเซี่ย
“มาแล้วเหรอ?” เฉิ่นปู้หยุนอยู่ที่ในกระท่อมว่าพลางยิ้ม
ข้าพยักหน้ารับก่อนจะบอกไป “มาแล้วขอรับแต่ว่าวันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อเรียนวิชากับท่าน แต่มาเพื่อยืมสถานที่เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ใหม่ที่ข้าเพิ่งจะได้มาได้หรือไม่ขอรับ?”
เฉิ่นปู้หยุนพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“ตามใจ พื้นที่ของเขาลั่วเซี่ยเ้าสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบไม่มีใครว่าอะไรเ้าหรอกนะ ข้าต้มปลาหลีฮื้อหลงหลิงทิ้งไว้ตรงนี้ถ้าเ้าหิวเมื่อไรก็มากินได้เลยและถ้าจะกลับก็ไม่จำเป็ต้องบอกเพราะเดี๋ยวข้าก็จะไปเข้าฌานเพื่อฝึกฝนแล้วล่ะ”
“ทราบแล้วขอรับ ขอบคุณท่านอาจารย์มาก”
หลังจากที่บอกลากับเฉิ่นปู้หยุนแล้วข้าก็ใช้พลังภายในะโหายวับเข้าไปในป่าลึกของเขาลั่วเซี่ยอย่างรวดเร็วก่อนจะมาหยุดอยู่บนหน้าผาที่สำรวจแล้วว่าด้านล่างไม่มีคนมันเป็สถานที่รอยต่อของหุบเขาที่มีต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นรายล้อมติดกันเป็ทางยาวกว่าหลายลี้ซึ่งเป็สถานที่ที่ไม่มีคนมาพบเห็นอย่างแน่นอนและข้าเข้ามาใกล้ขนาดนี้ถึงจะสามารถได้ยินเสียงน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลอย่างแ่เบาแสดงว่าที่ตรงนี้เหมาะแก่การฝึกฝนเป็อย่างมาก เพราะคนด้านนอกไม่มีทางได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นข้างในนี้อย่างแน่นอน!
ข้านั่งขัดสมาธิลงอีกครั้งก่อนจะเข้าสู่การทำจิตให้รับรู้ถึงพลังของคันธนูอัคนีบริเวณรอบๆ เงียบสงัดจนได้ยินเสียงนกเสียงกาที่ส่งเสียงมาจากยอดไม้ไกลมันเงียบจนข้าสามารถได้ยินเสียงของก้อนดินที่แตกออก เพราะมีต้นอ่อนของไม้ใหญ่กำลังงอกเงยขึ้นมาผ่านไปไม่นานก็มีแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ในจุดประภพิญญาหมายความว่าจุดประภพิญญาของข้ากำลังรับรู้และเข้าใจความลับของวิชาคันศรอัคนีอยู่!
แสงสีทองส่องประกายก่อนจะกลายเป็ตัวอักษรคล้ายกับอักษรกระดองเต่าและโชคดีที่เมื่อครั้งข้ายังเป็เด็กก็ได้มีการเรียนรู้เื่พวกนี้อยู่บ้างจึงพอจะอ่านออกและเมื่อมันบวกกับพลังความสามารถในพร์ของข้าก็ยิ่งทำให้เข้าใจและรับรู้ตัวอักษรพวกนั้นอย่างถ่องแท้
กระบวนท่าคันศรอัคนีมีอยู่เก้ากระบวนท่าแบ่งเป็ศรทะลวงหาว ศรทะลวงพิภพ ศรจันทราตก ศรสนั่นฟ้า ศรยิงทิวากร ศรัแกร่งศรสะกดเวท ศรสายฟ้าทมิฬและศรข่มเวหาซึ่งแต่ละกระบวนท่าจะแข็งแกร่งกว่ากันขึ้นไปเป็ขั้นๆ ตามความยากของการฝึกฝนแต่ว่าเมื่อฝึกสำเร็จก็จะร้ายกาจจนผู้ฝึกฝนในขั้นเดียวกันยากที่จะต่อกรกับพละกำลังที่มีแต่ครั้งโบราณกาล!
เมื่อเข้าฌานได้นานหลายนาที พลังิญญาสีทองก็ค่อยๆรวมกลุ่มกันมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งมีความดุดันและแข็งแกร่งกว่าเมื่อ่บ่ายเป็อย่างมากแถมกระบวนท่าที่หนึ่งของมันข้าก็เรียนรู้จนอยากจะลองปลดปล่อยพลังของมันออกมาสักครั้ง
ข้าลืมตาขึ้นมาก่อนจะให้พลังิญญารวมกันอยู่ที่แขนทั้งสองข้างแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเพียงแค่แขนซ้ายสะบัดเบาๆ ก็เกิดเส้นพลังสีทองแผ่ซ่านออกมาและจับกลุ่มกันจนปรากฏเป็คันศรสีทองแวววาวอันน่าเกรงขามที่แผ่ซ่านพลังออกมาไม่หยุดข้าใช้มือขวาค่อยๆ ดึงสายธนูนั้นออกก่อนที่เม็ดเหงื่อจะผุดออกมาจนเต็มหน้าผากเพราะพลังของมันช่างแข็งแกร่ง แม้ยังไม่ทันได้ดึงสายให้ได้หนึ่งในสามส่วนพลังลมปราณในร่างกายก็ถูกใช้ไปจนเกือบหมด ให้ตายเถอะ!ข้าว่าวิชานี้มันจะกินพลังมากเกินไปหรือเปล่า? หรือเพราะข้ายังไม่คุ้นชินกับมันแน่ๆและเมื่อกี้ข้ายังใช้เวลาฝึกฝนนานพอสมควรจึงทำให้สูญเสียพลังลมปราณไปมากไม่อย่างนั้นคงไม่กลายเป็แบบนี้
ข้าไม่คิดรีรอจึงรีบกลับมาที่กระท่อมหลังเล็กและพบว่าซุปปลาหลีฮื้อหลงหลิงเย็นหมดแล้วดูเหมือนว่าข้าจะฝึกจนดึกดื่นค่อนคืนโดยไม่ทันได้รู้ตัวอีกแล้วสินะ
ข้ารีบกินซุปนั่นจนหมดก่อนจะกลับไปฝึกฝนที่เดิมอีกครั้งข้าไม่เชื่อหรอกว่าฝึกฝนมาทั้งคืนแล้วจะยังดึงสายคันศรนั้นออกไม่ได้!
เมื่อคิดได้แบบนี้จึงพักผ่อนให้ร่างกายกลับมามีพลังลมปราณเต็มเปี่ยมอีกครั้งและลองอีกสักตั้ง!
และครั้งนี้ก็ได้ผลจริงๆเมื่อคันศรเกิดเสียงดังจากการที่ข้าดึงสายให้ตึงจนกลายเป็รูปพระจันทร์ครึ่งดวงพละกำลังของมันช่างรุนแรงจนบรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยพลานุภาพของคันศร
หวึ่ง หวึ่ง...
หลังจากที่เสียงของพลังิญญาดังขึ้นลูกศรที่คมกริบก็ปรากฏออกมาตรงกลางของคันศรและยังเป็ลูกศริญญาที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งมันดูเหมือนจริงมากทีเดียวหรือนี่จะเป็กระบวนท่าที่หนึ่งอย่าง ‘ศรทะลวงหาว’ อย่างนั้นเหรอ?
ข้ากัดฟันฝืนง้างสายคันศรกับพลังที่แข็งแกร่งของมันก่อนจะเล็งเป้าไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปกว่าร้อยเมตรแล้วยิงไป!
ฟิ่ว!
ลูกศรพุ่งออกไปพร้อมกับพลังสีขาวที่แผ่ออกมาเป็ระลอกคลื่นและพุ่งเข้าชนเป้าอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงเหมือนกับอากาศกำลังจะแตกออกจากกันเสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวก่อนที่ต้นไม้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสามถึงสามเมตรขาดสะบั้นแล้วโค่นลงมารวมทั้งต้นที่อยู่ถัดไปด้านหลังก็ยังถูกศรลูกนี้ยิงทะลุตามไปด้วยก่อนจะเกิดเสียง‘เกร๊ง!’ ที่บ่งบอกว่าลูกศรพุ่งเข้าชนหน้าผาและเกิดเป็หลุมลึกเข้าไปกว่าสามเมตรซึ่งแรงของพลังนั้นยังทำใหู้เาทั้งลูกต้องสั่นะเื
ช่างเป็พลังแห่งการทำลายล้างที่น่ากลัวจริงๆ!
ข้าถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นว่าพลังความร้ายกาจของมันมีมากกว่าพลังธนูคลื่นมรกตของถังเชวียหรานด้วยซ้ำแต่ข้อเสียเพียงข้อเดียวของมันก็คือกินพลังิญญาและพละกำลังในร่างกายมากเกินไปขนาดว่าข้ายิงออกไปแค่ดอกเดียวแขนทั้งสองข้างยังรู้สึกเบาหวิวเหมือนพลังิญญาหายไปจนเกือบหมดข้าที่มีพลังอยู่ในขั้นการบำเพ็ญ ถ้าอยู่ในสภาพที่ร่างกายมีพลังเต็มเปี่ยมก็คงจะยิงได้มากที่สุดแค่สามดอกเท่านั้น
ทว่าเคยมีการจดบันทึกไว้ในตำราว่ายิ่งเราฝึกฝนจนชำนาญพลังที่สูญเสียไปจากการยิงจะยิ่งลดน้อยลงซึ่งเหมือนกับวรยุทธ์ทั่วไปและถ้าเกิดใช้ระดับความชำนาญมาวัดระดับละก็กระบวนท่าศรทะลวงหาวของข้าเมื่อครู่คงยังไม่ถึงระดับต้นของวิชาคันศรอัคนีนี้ด้วยซ้ำดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับกลางเลย
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะนั่งขัดสมาธิเพื่อรับรู้และเรียนรู้พลังของมันสักหน่อยก่อนจะกลับไปยังโรงเกลากระบี่เพื่อพักผ่อน
...
ชั่วพริบตาเดียวเวลาหนึ่งอาทิตย์ก็ผ่านไปซึ่งข้าหยุดการฝึกฝนทุกอย่างเอาไว้แล้วหันมาฝึกฝนแค่วิชาคันศรอัคนีเพียงอย่างเดียวขอเพียงแค่ข้าฝึกจนสำเร็จไม่ว่าจะเป็การัั ความว่องไวรวมไปถึงความแม่นยำก็จะเพิ่มมากขึ้นซึ่งประโยชน์ของมันถ้าจะให้บอกทั้งชาติก็คงไม่หมด!
ภายในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาพลังของกระบวนท่าศรทะลวงหาวของข้าก็เพิ่มขึ้นจนสามารถยิงทะลุก้อนหินที่มีความหนากว่าสิบเมตรได้ส่วนกระบวนท่าที่สองและสามอย่างศรทะลวงพิภพและศรจันทราตกก็ฝึกฝนจนอยู่ในระดับต้นแล้วส่วนอีกหกกระบวนท่าที่เหลือข้ายังไม่กล้าไปแตะต้องมันเพราะการบำเพ็ญของข้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอและไม่เหมาะแก่การฝึกฝนหากต้องฝืนทำก็จะเป็การเสียเวลาเปล่า
และแน่นอนว่าข้าไม่ได้บอกเื่ที่ตัวเองฝึกฝนวรยุทธ์นี้ให้ใครรู้เลยสักคนขนาดซูเหยียนกับตั้นไถเหยาก็ยังไม่รู้เพราะเื่นี้ยิ่งรู้น้อยคนเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
ในตอนเช้าหลังจากเรียนคาบทษฤษฎีจบแล้วอาจารย์หลันเท้อก็เดินเข้ามาก่อนจะกระแอมเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น“ปู้อี้เชวียนกับพวกอีกห้าคนอยู่ก่อน คนที่เหลือเลิกเรียนได้”
พอเขาพูดจบศิษย์แต่ละคนก็เดินออกไปเหลือเพียงพวกเราที่ยังคงอยู่ในห้อง
“มีเื่อะไรหรือเปล่าคะอาจารย์หลันเท้อ?” ถังเชวียหรานถามขึ้น
หลันเท้อยิ้มบางๆ ก่อนจะพูด“เวลาของการฝึกฝนด้วยตัวเองมาถึงอีกแล้วพวกเ้ากลับไปเก็บของเตรียมพร้อมและออกเดินทางกันใน่บ่ายโดยจุดหมายของครั้งนี้ก็คือหมู่บ้านฮวงเจวี๋ยที่ห่างจากเมืองหลินเสี่ยเฉิงออกไปห้ารอยลี้ทางทิศตะวันตก”
ถังเชวียหรานที่เป็คนของตระกูลถังรู้จักสถานที่นั้นดีจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้น “หมู่บ้านฮวงเจวี๋ย? นั่นมันสถานที่ค้าขายของกองทหารและผู้ฝึกฝนิญญารับจ้างไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
หลันเท้อยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อ“บริเวณโดยรอบของหมู่บ้านฮวงเจวี๋ยเป็ป่ารกที่มีสัตว์ิญญาเกิดขึ้นและรวมฝูงกันอยู่มากมายทำให้สหพันธ์มีการรับจ้างทำภารกิจอยู่แถวนั้นมากมายซึ่งการออกเดินทางครั้งนี้พวกเราจะต้องทำภารกิจที่เบื้องบนสั่งการมาให้เสร็จสิ้นเอาเป็ว่าอย่าถามมากแล้วกันกลับไปเตรียมชุดเพื่อเปลี่ยนสักสองสามชุดเพราะพวกเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกว่าหนึ่งอาทิตย์”
ข้าได้ยินแล้วจึงถามขึ้น“ทำภารกิจสำเร็จแล้วจะได้เงินตอบแทนหรือเปล่า?”
หลันเท้อยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะพูดขึ้น “เื่นี้เ้าวางใจได้เพราะมันมีแน่นอนและยังเป็เงินรางวัลอย่างงามอีกต่างหาก”
“อืม! ทราบแล้วขอรับว่าแต่มีแค่พวกเราห้าคนเท่านั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่พวกเราแน่นอนเพราะการฝึกฝนครั้งนี้มีเพียงเดือนละครั้งนอกจากสำนักหมื่นิญญาของพวกเราแล้วยังมีพวกลูกศิษย์และอาจารย์ของสำนักอื่นเข้าร่วมด้วยดังนั้น...คู่แข่งอาจจะเยอะหน่อย อย่ามัวแต่ถามมากเลย รีบไปเตรียมตัวกันได้แล้วพอไปถึงที่นั่นก็จะเข้าใจเองแหละ ส่วนชุดที่เตรียมไปก็เอาเป็ชุดของสำนักไปแล้วกันอย่างน้อยจะทำให้สำนักอื่นมีความยำเกรงบ้าง”
“ขอรับ อาจารย์!”
...
หลังจากกลับมาที่โรงเกลากระบี่ก็เตรียมชุดของสำนักจวี๋ฉีไปสามชุดพร้อมกับปลาหลีฮื้อหลงหลิงและเนื้อเสือัตากแห้งของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็สิ่งของที่จำเป็ต่อการฝึกฝนของข้าทั้งนั้นดังนั้นจะขาดไม่ได้
หลังจากที่บอกลาซ้งเชียนกับจ้าวห้าวเรียบร้อยก็เริ่มออกเดินทางสู่จุดหมายพวกเราเดินทางโดยรถไฟ และเนื่องจากที่นี่ถึงจุดหมายมีระยะทางห่างกันถึงห้าร้อยลี้ ดังนั้นการเดินทางจึงต้องใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงซึ่งถ้าพวกเราไปถึงก็คงจะมืดแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้