พานซานกับโจวกั๋วปินคุยอะไรกันนั้นไม่มีใครรู้
แต่หลังพานซานปรากฏตัว โจวกั๋วปินก็เหมือนมั่นใจมากขึ้น เขาบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลาน ‘รอ’
“โจวเฉิงจะไม่เป็ไร พานเป่าหัวไม่ได้ค้าของเถื่อนในอาณาเขตของแผ่นดินใหญ่”
ประโยคนี้ฟังดูแล้วทะแม่งๆ ไม่ได้ค้าของเถื่อนที่แผ่นดินใหญ่ เช่นนั้นหมายความว่าทำที่ต่างประเทศอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่าโจวกั๋วปินไม่ชอบคนทำผิดกฎหมาย จุดยืนของโจวกั๋วปินเป็ข้อยืนยันในเื่นี้ แต่ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้วเหมือนจะไม่ได้เกลียดพี่พานซานแม้แต่น้อย
หรือโจวกั๋วปินจะเก็บอารมณ์เอาไว้ เซี่ยเสี่ยวหลานฟังไม่ออกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีหรือร้าย
เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกว่าตนเป็คนฉลาด ตอนเพิ่งเกิดใหม่เธอรู้สึกย่ามใจ ทั้งฉลาดแถมรู้อนาคต จะเอาชนะคนรอบข้างในยุค 80 ก็เป็เื่ที่สมควรแล้วมิใช่หรือ
ตอนหลังเื่ของติงอ้ายเจินถือว่าเป็การให้บทเรียนกับเธอ
กระดูกมือขวาร้าวก่อนสอบเกาเข่าก็เป็อีกหนึ่งบทเรียน
บทเรียนครั้งที่สามคือการไปหน่วยงานของโจวเฉิง
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าตนนั้นขาดอะไรบางอย่าง ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับการเกิดใหม่ แต่คนระดับโจวกั๋วปินและทังหงเอินคือคนที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยรู้จักในชาติที่แล้ว เธอทำธุรกิจได้ ทว่าเื่อื่นเธอยังต้องเรียนรู้จากใครอีกหลายคน!
เกิดใหม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจแต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วอย่างลึกซึ้ง เป็คนแบบไหนก็ย่อมเป็คนแบบนั้น การเกิดใหม่คือโอกาสที่เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น หาใช่ทุกอย่างจะราบรื่นไปตลอด ความสำเร็จเกิดจากการเรียนรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด และจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านมา
โจวกั๋วปินไม่บอก เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่ถาม
พานซานมาปักกิ่งเงียบๆ ตอนกลับก็กลับไปอย่างเงียบเชียบเช่นกัน ไม่มีท่าทีหวาดกลัวแต่ก็ไม่โหวกเหวกโวยวาย เขาสวมเสื้อกันหนาวสีเขียวทหารไม่ต่างอะไรกับสหายผู้ชายที่เดินอยู่ตามท้องถนนทั่วไป แต่ใครจะไปคิดเล่าว่าเขาคืออดีตทหารผู้แข็งแกร่งที่ปลดประจำการแล้ว
ตอนนี้เื่ของโจวเฉิงคงคลี่คลายแล้ว
ทางวิทยาลัยทหารบกรักษาความลับได้อย่างเฉียบขาดยิ่งนัก บอกว่าเข้าเยี่ยมไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าพวกนักศึกษาใหม่แบบโจวเฉิงไม่ได้อยู่ที่นั่น ถ้าโจวกั๋วปินไม่บอกเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานคงถูกปิดหูปิดตา และไม่รู้ว่าจะสืบข่าวของโจวเฉิงจากที่ไหน นี่ก็คือสิ่งที่คนในครอบครัวทหารต้องพบเจอสินะ
ปีหนึ่งเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง ถ้ามีภารกิจลับทางครอบครัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน!
ให้เซี่ยเสี่ยวหลานเดาก็คงเดาไม่ถูก ว่าพวกนักศึกษาใหม่ของวิทยาลัยทหารบกถูกส่งไปปราบปรามการค้าของเถื่อน
มันดูผิดจากความรู้ทั่วไป ผิดจากความรู้ที่มีอยู่อย่างจำกัดของเซี่ยเสี่ยวหลาน เ้าหน้าที่แถบชายฝั่งควรเป็ผู้รับผิดชอบการปราบปรามการค้าของเถื่อน เป็หน้าที่ของทหารเรือและศุลกากร เมื่อไรกันที่นักศึกษาของวิทยาลัยทหารบกต้องถูกส่งไปปราบปรามการค้าของเถื่อนเช่นนี้?
อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีอำนาจตัดสินใจ ที่เบื้องบนให้ทำเช่นนี้อาจจะมีเหตุผล
เซี่ยเสี่ยวหลานจำได้ว่า่ปลายยุค 90 มณฑลิ่มีคดีลักลอบค้าของเถื่อนที่ะเืไปทั้งประเทศ ไม่เพียงมีมูลค่ามหาศาล อีกทั้งยังมีคนท้องถิ่นเข้าไปพัวพันอีกจำนวนมาก หัวหน้าแก๊งค้าของเถื่อนสามารถหลบหนีไปสิบกว่าปีกว่าจะถูกส่งตัวข้ามแดนมาเพื่อรับโทษ... หรือบางทีอาจจะมีเบาะแสบางอย่าง วิทยาลัยทหารบกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท้องถิ่น จึงกลายเป็หน่วยงานที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่?
เซี่ยเสี่ยวหลานเลิกคิดเื่ที่เธอไม่สามารถหาคำตอบได้ เธอให้คังเหว่ยไปตามหาพานซาน เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าโจวเฉิงนั้นปลอดภัย
เหมือนที่โจวกั๋วปินกล่าว ตอนนี้สิ่งที่ทำได้มีแค่การรอเท่านั้น
ความห่วงใยที่เซี่ยเสี่ยวหลานมีให้โจวเฉิงไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด ทว่าเื่ประเภทนี้เธอไม่สามารถช่วยอะไรโจวเฉิงได้ ก็เหมือนที่โจวเฉิงคงไม่อาจช่วยเธอทำการบ้าน ไม่อาจลงแข่งภาษาอังกฤษแทนเธอ ต่อให้เขาจะรู้สึกสงสารเซี่ยเสี่ยวหลานที่ต้องอดหลับอดนอนเพื่อทบทวนบทเรียน แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยเื่การเรียนของเซี่ยเสี่ยวหลานได้
แม้เธอจะเป็ห่วงโจวเฉิง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังต้องรวบรวมสมาธิทุ่มเทให้กับการแข่งภาษาอังกฤษและการสอบปลายภาคที่ใกล้จะถึงนี้
จะช่วยย่าอวี๋ตามหาคนในครอบครัวได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันภาษาอังกฤษในครั้งนี้เท่านั้น
เดิมทีมันคือการแข่งขันที่ไม่จำเป็ต้องจริงจังด้วยซ้ำ ทว่ายิ่งใกล้วันแข่งเซี่ยเสี่ยวหลานก็ยิ่งตั้งใจมากกว่าเดิม
—------------------------------------------
กรุงปักกิ่งปี 1985 ไม่ต่างจากที่ตู้เ้าฮุยคิดไว้สักเท่าไร
ไม่ได้บอกว่ามันดูเก่าทรุดโทรม ทว่าบรรยากาศของเมืองนี้ดูตึงเครียดเหลือเกิน แม้จะบอกว่าอยากทำให้ประเทศเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ปักกิ่งนั้นดูหรูหรากว่าเผิงเฉิงที่เต็มไปด้วยโครงการก่อสร้างยิ่งนัก ในขณะที่เกาะฮ่องกงนั้น ใจกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คน แม้แต่ที่จอดรถยังหายาก ทว่าในปักกิ่ง บริเวณที่กว้างที่สุดของถนนฉางอันมีขนาด 120 เมตร และบริเวณที่แคบที่สุดมีขนาดเพียง 60 เมตร ต่างจากฮ่องกงที่ถนนหกเลนนั้นมีน้อยมาก โดยปกติมีแค่สองเลนเท่านั้น
ตึกสูงตระหง่าน ถนนคับแคบ ตู้เ้าฮุยคิดมาตลอดว่าฮ่องกงนั้นมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกอยู่ไม่ค่อยสบาย และตอนนี้เขาก็รู้แล้ว เป็เพราะฮ่องกงนั้นค่อนข้างแออัด
อึดอัด ไม่กว้างขวาง
ดังนั้นพวกคนรวยถึงชอบย้ายบ้านไปอยู่บนเขา เป็เหตุให้หมู่บ้านบนเนินเขามีราคาแพงเหลือเกิน เพราะมีเพียงการอยู่ในที่แบบนั้นจิตใจถึงจะผ่อนคลายได้
ฮ่องกงมีข้อจำกัดคือพื้นที่มีขนาดเล็กเกินไป
แน่นอนว่าหากพูดถึงความเป็เมืองสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า กรุงปักกิ่งปี 1985 ยังไม่อาจสู้ฮ่องกงได้
เศรษฐกิจของแผ่นดินใหญ่หยุดพัฒนามานานหลายปี แม้จะมีการปฏิรูปเศรษฐกิจแต่ก็ไม่สามารถชดเชยเวลาที่เสียไปได้
อย่างหนึ่งที่ตู้เ้าฮุยดีกว่าจอร์จก็คือ เขารู้ว่าตัวเองคือชาวจีนผมดำผิวเหลือง ในเมื่อประเทศจีนและอังกฤษได้เซ็นปฏิญญาร่วมไปแล้ว ช้าเร็วฮ่องกงก็จะต้องกลับสู่แผ่นดินจีนอยู่ดี
ตู้เ้าฮุยอยากทำเงินในแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นเขาจึงไม่รังเกียจกรุงปักกิ่ง ยิ่งเป็พื้นที่ที่ยังไม่พัฒนา ก็ยิ่งมีโอกาสให้ทำกำไรสูงยิ่งขึ้น ตู้เ้าฮุยนั่งอยู่บนรถพลางกวาดตาสำรวจสถานการณ์รอบเมืองหลวงแห่งนี้
รถคันนี้เป็รถที่เขาเช่ามา
ปี 1985 ก็สามารถเช่ารถได้แล้ว
อย่าว่าแต่ปี 1985 ย้อนกลับไปช่วยยุค 70 ปักกิ่งก็สามารถเรียก ‘รถรับจ้าง’ ได้ โดยรถยนต์ที่ใช้คือรถยี่ห้อฟอร์ดและวอร์ซอ 20 เป็หลัก บริเวณเขตเมืองจะมีสถานีจอดโดยเฉพาะ ทำให้สามารถโทรศัพท์หรือเดินมาเรียกรถได้ ทว่าสิ่งที่ไม่ค่อยสะดวกสบายก็คือค่ารถราคา 0.25 หยวนต่อหนึ่งกิโลเมตร ก่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจ ประชาชนทั่วไปคงไม่มีปัญญานั่งอย่างแน่นอน
รถรับจ้างเหล่านี้มักจะให้บริการแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐเป็หลัก
ตอนนี้รถยนต์ของฟอร์ดและวอร์ซอตกรุ่นไปแล้ว รถที่ดูมีระดับกว่าคือรถโตโยตาคราวน์และอาวดี้ 100 ขอเพียงกล้าจ่ายจะเช่ารถเบนซ์ก็ยังได้
ทายาทเศรษฐีอย่างคุณชายใหญ่ตู้ย่อมมีเงินแน่นอน เขาจ้างไกด์มาด้วยอีกหนึ่งคนเพื่ออธิบายสถานการณ์ของปักกิ่งให้เขาฟัง
ตู้เ้าฮุยคือนักลงทุนหลักร้อยล้านของเผิงเฉิง ไกด์ที่เขาขอให้ทางเทศบาลเผิงเฉิงประจำกรุงปักกิ่งหามาให้นั้นย่อมทำหน้าที่อย่างกระตือรือร้น พูดภาษากวางตุ้ง จีนกลาง และภาษาอังกฤษได้ คนแบบนี้อยู่ที่ไหนล้วนได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ ตู้เ้าฮุยเองก็ไม่มีทางรังเกียจ
ตู้เ้าฮุยอยากไปมหาวิทยาลัยหัวชิง ไกด์จึงเล่าข้อมูลให้เขาฟัง
“มหาวิทยาลัยหัวชิงก่อตั้งเมื่อปี 1911 แต่เดิมเป็สถานศึกษาหัวชิง...”
ข้อมูลต่างๆ พรั่งพรูออกมาเป็ชุดทว่ากลับไม่น่าเบื่อ และเหมือนกับที่ตู้เ้าฮุยคิดไว้ หัวชิงคือมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน
อัตราการสอบเกาเข่าของจีนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ตู้เ้าฮุยฟังคำยกย่องของไกด์อยู่ตลอดทาง ทว่าความจริงสมองของเขากำลังคิดเื่อื่นอยู่ ถ้าเซี่ยต้าจวินไม่ได้ช่วยชีวิตเขาถึงสองครั้ง เขาคงไม่มารับลูกสาวของเซี่ยต้าจวินด้วยตัวเองเช่นนี้
เขาอยากรู้มากว่า คนสติปัญญาอย่างเซี่ยต้าจวินจะมีลูกสาวที่สามารถสอบเข้าหัวชิงได้ด้วยจริงหรือ
นอกจากเื่นี้แล้วเขาไม่ตั้งตารออะไรทั้งนั้น
และเขาก็หวังว่าลูกสาวของเซี่ยต้าจวินจะไม่เข้าใจผิด ที่จู่ๆ ก็มีคุณชายจากฮ่องกงมาหาถึงที่แบบนี้ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจเธอสักนิด ตู้เ้าฮุยรู้สึกว่าตนเป็ที่นิยมในหมู่สาวๆ พอสมควร ส่วนที่ว่าผู้หญิงพวกนั้นชอบเงินของเขาหรือตัวเขามากกว่ากันแน่... ใครจะไปสนเล่า!
“ทางที่ดีพวกเราควรให้ทางมหาวิทยาลัยเป็คนออกหน้า คุณอาจจะไม่ทราบ พวกนักศึกษาระวังตัวกับเื่ลักษณะนี้มากครับ...”
ไกด์พยายามใช้คำที่เรียบง่ายที่สุดในการอธิบายสถานการณ์ของแผ่นดินใหญ่
มหาวิทยาลัยมีกฎระเบียบที่เข้มงวด และนักศึกษาทุกคนล้วนรักษากฎอย่างเคร่งครัด หากอยู่ๆ ก็มีชาวฮ่องกงโผล่มาบอกว่า ‘กลับฮ่องกงไปหาพ่อเธอกับฉัน’ สิ่งที่รอคุณชายใหญ่ตู้อยู่คงไม่ใช่นักศึกษาสาวที่ตื่นเต้นดีใจ แต่คงเป็เ้าหน้าที่ตำรวจ!
ประตูใหญ่ของหัวชิงเข้าสู่ครรลองสายตาจากที่ไกลๆ ตู้เ้าฮุยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของไกด์
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาทางมหาลัย... เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณว่าอย่างไรนะ มหาวิทยาลัยหัวชิงเก่งกาจมากที่สุดในประเทศจีนอย่างนั้นหรือ?”
มาเจอลูกสาวของบอดี้การ์ดคนหนึ่งสำคัญขนาดนั้นเสียที่ไหน ตู้เ้าฮุยเป็พวกฉวยโอกาสได้ทุกที่ทุกเวลา และมักจะคิดว่าตนสามารถมีตัวตนในปักกิ่งได้ ถ้าเขาอยากทำการกุศลเหมือนเศรษฐีอันดับหนึ่ง โดยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับรัฐบาล เช่นนั้นก็คงจะทำได้ใช่ไหม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้