เซี่ยยวิ่นชินสีหน้าเป็กังวล เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่ชิงเหอออกมาต้อนรับ เขาพลันรีบก้าวเข้าไปประคองนางด้วยท่าทีระมัดระวังในทันใด ทั้งยังแลดูกังวลอย่างยิ่ง
เซี่ยยวิ่นชินคอยประคองจัดแจงให้องค์หญิงชิงเหอนั่งลง เขายื่นมือออกไปลูบท้องโค้งนูนขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ “หลายวันมานี้ เขาขยับพลิกตัวในท้องของเ้าบ้างหรือไม่?”
ยามที่เอ่ยถึงทารกในครรภ์ ใบหน้าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอพลันฉายแววอ่อนโยน “สองสามวันมานี้ไม่ขยับพลิกตัวเลย มีแค่...”
ครั้นองค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยถึงตรงนี้ วงคิ้วนางพลันขมวดมุ่น ทว่าเพียงพริบตาเดียว นางยกยิ้มหัวเราะให้เซี่ยยวิ่นชินอย่างปลอบประโลม “มิเป็ไร นายท่าน ท่านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด ลี่เอ๋อร์และบรรดาพี่น้องอีกสองคนน่าจะหิวมิต่างกันแล้ว”
ขณะพูดองค์หญิงใหญ่ชิงเหอชำเลืองมองเซี่ยลี่ จากนั้นจึงเบนสายตาหันมองอนุตู้ข้างกาย “อนุตู้ เ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายท่านเถิด”
อนุตู้ตะลึงงันไปเล็กน้อยราวกับถูกทำให้ใ ครั้นตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ นางจึงรีบร้อนกลับมามีท่าทีปกติ ลุกขึ้นและย่อเข่าโค้งคำนับให้องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ “เพคะ หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ”
อนุตู้ติดตามเซี่ยยวิ่นชินเข้าไปในลานโถง ท่าทีตอบสนองเมื่อครู่นี้ของอนุตู้อยู่ในสายตาของเหนียนยวี่ นางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เพียงครู่เดียว อนุตู้กับอัครเสนาบดีเซี่ยเดินออกมาจากในโถงและนั่งลงตรงตำแหน่งที่นั่งของตนเอง เหนียนยวี่พินิจมองอัครเสนาบดีเซี่ย บุรุษอายุสี่สิบกว่า ท่วงท่าสง่างาม ความหล่อเหลาของชายหนุ่มเยาว์วัยเลือนรางหายไปอย่างเห็นได้ชัด เป็เพราะอายุที่เพิ่มขึ้น ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเผยให้เห็นถึงเสน่ห์แบบผู้ใหญ่และในดวงตาคู่นั้นเงียบสงบ แต่กลับฉายให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดที่น้อยคนจะเทียบได้
การดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี ความฉลาดเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้
ไม่เพียงเท่านี้ ชาติก่อนหลังจากที่จ้าวเยี่ยนได้ขึ้นเป็ฮ่องเต้ อัครเสนาบดีเซี่ยผู้นี้ยังคงดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีต่อและจ้าวเยี่ยนยังปฏิบัติกับเขาอย่างสุภาพยิ่ง
ระหว่างที่เหนียนยวี่ครุ่นคิด เซี่ยยวิ่นชินและองค์หญิงใหญ่ชิงเหอกำลังพูดคุยกันอยู่ ทั้งเขายังตักโจ๊กให้นางด้วยตัวเอง ระหว่างสามีภรรยาสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียว
“โอ๊ย...”
ทันใดนั้น องค์หญิงใหญ่ชิงเหอร้องออกมาด้วยความเ็ป ใบหน้างดงามที่ยังคงยิ้มแย้มก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับบิดเบี้ยวเหยเก ดูเ็ปอย่างยิ่ง
เหนียนยวี่เห็นองค์หญิงใหญ่ชิงเหอใช้มือจับหน้าท้องของตนเอง หัวใจของนางพลันสั่นสะท้าน เซี่ยยวิ่นชินลุกขึ้นอย่างเร็วรี่ พร้อมกับเข้ามาประคององค์หญิงใหญ่ชิงเหอทันที “เ้าเป็อะไร?”
"ไม่...ไม่มีอะไร..."
“องค์หญิง จะไม่เป็อะไรได้เยี่ยงไรเพคะ?” จือเถาตัดบทคำพูดขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ นางรีบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างร้อนใจ “นายท่าน หลายวันมานี้ พระครรภ์ขององค์หญิงมักจะรู้สึกไม่ดีบ่อยๆ บางครั้งบางคราวก็รู้สึกปวดมากเช่นนี้ เราได้ให้หมอหลวงตรวจแล้ว ทว่ากลับไม่มีอาการแต่อย่างใด ทว่ายามนี้ร่างกายขององค์หญิงผิดปกติอย่างยิ่ง ทั้งยังทรงเจ็บท้องน้อยอีกด้วย องค์หญิงกลัวว่าท่านจะกังวล จึงไม่ยอมบอกเ้าค่ะ ทว่าบ่าวคิดว่าเื่นี้สิ่งเป็สิ่งที่จะละเลยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว หาก...หากเกิดเื่ไม่ดีขึ้นกับพระครรภ์ขององค์หญิง เช่นนั้น...”
“พอได้แล้ว ท้องของเปิ่นกงสบายดีแล้ว จะมีเื่ไม่ดีอะไรได้เยี่ยงไร?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอปรายตามองจือเถา ยามที่นางเงยหน้ามองเซี่ยยวิ่นชิน นางกำลังฝืนทนต่อความเ็ป นางฉีกยิ้มเสี้ยวหนึ่ง “นายท่าน หมอหลวงไม่พบอะไร ก็หมายความว่าไม่ใช่เื่ร้ายแรงอะไร”
“ไม่ได้ จือเถาเอ่ยถูกต้องแล้ว ร่างกายของเ้าผิดปกติเกินไป” เซี่ยยวิ่นชินสีหน้าเคร่งเครียด “เหตุใดแม้แต่หมอหลวงก็มิรู้เล่า?”
“บ่าว...บ่าวได้ยินว่า...” จือเถากัดฟัน เอ่ยอึกๆ อักๆ อย่างลังเล แต่ก็กลัวว่าองค์หญิงใหญ่ชิงเหอจะตำหนิ
“เ้าได้ยินอะไรมา ไม่เป็ไร กล่าวออกมาเถิด” เซี่ยยวิ่นชินเอ่ยอย่างเ็า
จือเถาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดวงตาลุกวาว “บ่าวได้ยินว่า มีมนตร์ดำบางอย่างที่ทำร้ายคนได้...”
ครั้นจือเถาเอ่ยจบ สีหน้าของทุกคนในเหตุการณ์พลันแปรเปลี่ยน
มนตร์ดำหรือ?
มนตร์ดำเคยเป็ที่นิยมในเป่ยฉี ทว่าทักษะมนตร์ดำเ่าั้โหดร้ายเกินไป ยามนั้นไทเฮาเซี่ยวหนิงยังทรงพระเยาว์ นางได้รับความทุกข์ทรมานจากมนตร์ดำ ทำให้นางแท้งเด็กในครรภ์ที่อายุได้สามเดือนจนเกือบจะเสียชีวิต ยามนั้นฮ่องเต้ทรงพิโรธมาก จึงรับสั่งให้กวาดล้างครั้งใหญ่
การกวาดล้างมนตร์ดำครานั้น ตระกูลสูงศักดิ์หลายตระกูลถูกทำลายในชั่วข้ามคืน เป็เวลานานหลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องมนตร์ดำอีกเลย
ทว่ายามนี้ กลับมีคนกล้าใช้ลูกไม้นี้ในเป่ยฉีอย่างนั้นหรือ? ทั้งยังใช้กับองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ
แม้แต่เซี่ยยวิ่นชินยังรู้ว่าเื่นี้หนักหนาเกินไป เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที ทว่ามิได้เอ่ยอะไร
ทุกสิ่งอย่างอยู่ในสายตาของเหนียนยวี่ ในใจนางพลันแจ่มแจ้ง เขากำลังกังวลอะไรอยู่งั้นหรือ?
แต่จือเถาจะเอ่ยถึงเื่มนตร์ดำออกมาอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้ได้อย่างไร?
คนฉลาดเช่นเหนียนยวี่ เพียงเหลือบมองสองนายบ่าว พลันจับเบาะแสเล็กน้อยบางอย่างได้ ทันใดนั้น นางเอ่ยร้องอย่างใ “สิ่งที่จือเถาจะบอกคือ อาการปวดพระครรภ์ของเสด็จแม่ยามนี้ มีคนใช้มนตร์ดำทำร้ายเสด็จแม่หรือ?”
“ยวี่เอ๋อร์ เ้าเชื่อเื่ไร้สาระของสาวใช้ผู้นี้ได้อย่างไร?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยตำหนิออกมาอย่างแ่เบา “มนตร์ดำนั่นถูกห้ามใช้มานานแล้ว ผู้ใดยังจะกล้าใช้อีก? ถึงขึ้นไม่้าชีวิตตัวเองเชียวหรือ? สาวใช้นางนี้ นางกังวลเื่สุขภาพของเปิ่นกงมากเกินไป จึงคาดเดาไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“องค์หญิงเพคะ บ่าว...” จือเถาคุกเข่าลงบนพื้น วิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม “บ่าวไหนเลยจะแค่คาดเดาเพคะ? สุขภาพร่างกายขององค์หญิงต่างไปจากปกติมาก มิอาจประมาทได้เลยแม้แต่น้อยเพคะ หากมิใช่มนตร์ดำ เช่นนั้นอาการปวดพระครรภ์ขององค์หญิงจะมาจากสาเหตุใดได้อีกเล่าเพคะ?”
ถ้อยคำที่จือเถาเอ่ย ทำให้ทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างเงียบงันไปชั่วขณะ
ทุกคนกลั้นหายใจ ราวกับกลัวเสียงหายใจของตนเองจะดังออกมาและดึงดูดความสนใจของทุกคน
“นายท่าน?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยเรียกอย่างแ่เบา วงคิ้วของนางยังคงขมวดเล็กน้อย
เซี่ยยวิ่นชินพลันหวนคืนสติ เขาหันมององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ “ชิงเหอ ยังเจ็บท้องอยู่หรือไม่? หมอหลวงในวังตรวจไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะให้หมอในจวนอัครเสนาบดีมาลองตรวจอาการเ้าดู”
เซี่ยยวิ่นชินจงใจหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึง “มนตร์ดำ” มุมปากขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอฉีกยิ้มเสี้ยวหนึ่ง พลางพยักหน้าให้เขา “เช่นนั้น คงต้องรบกวนนายท่านแล้ว นายท่าน ร่างกายของชิงเหอรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก เช่นนั้นต้องขอตัวกลับห้องก่อน ยวี่เอ๋อร์ เ้าอยู่ร่วมทานอาหารเช้าที่นี่ให้เรียบร้อยกับทุกคนแทนเปิ่นกงด้วย”
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยพลางเหลือบมองเหนียนยวี่ สองสายตาสบประสาน เพียงพริบตาเหนียนยวี่รับรู้อะไรบางอย่างได้ทันที นางลุกขึ้นและย่อกายคำนับองค์หญิงใหญ่ “เพคะ เสด็จแม่โปรดวางพระทัย ยวี่เอ๋อร์จะอยู่ร่วมทานอาหารเช้ากับทุกคนเองเพคะ”
“ข้าจะไปส่งเ้าที่เรือนเอง” เซี่ยยวิ่นชินเอ่ยปาก น้ำเสียงสงบนิ่งแฝงความกังวลเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอยกยิ้มอ่อนโยนและไม่ปฏิเสธ นางลุกจากที่นั่งโดยมีอัครเสนาบดีเซี่ยคอยประคอง
ในห้องโถงใหญ่ ครั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ผ่านพ้นไป แม้องค์หญิงใหญ่ชิงเหอจะลุกออกไปแล้ว ทว่าบรรยากาศที่โต๊ะอาหารยังคงเคร่งขรึมเช่นเดิม
“ท่านแม่ มนตร์ดำคืออะไรหรือ?” ทันใดนั้น เสียงของเด็กชายอายุแปดขวบตัวน้อยพลันเอ่ยขึ้น เสียงของเด็กชายเต็มไปด้วยความสงสัย พลางจ้องมองอนุฟางที่อยู่ด้านข้าง ทว่าทันทีที่คำถามนี้หลุดออกมา อนุฟางกลับรีบปิดปากของเด็กชาย ทั้งยังตำหนิออกมาอย่างแ่เบาว่า “เป็เด็กเป็เล็กจะถามมากไปทำไม? กินอิ่มแล้วหรือ? กินอิ่มแล้ว พวกเราก็กลับจวนกันเถิด”
ยามที่เอ่ย นางรีบดึงเด็กชายให้ลุกขึ้นและแย้มยิ้มให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ “พี่ตู้ น้องกุ้ย ข้าขอตัวกลับก่อน อีกประเดี๋ยวจิ่งเอ๋อร์ต้องไปเรียนคัดอักษรกับอาจารย์”
ครั้นเอ่ยจบ นางไม่รีรอคำตอบจากทุกคน รีบลากบุตรชายตนเองออกไปนอกห้องโถงใหญ่ทันที
หลังจากอนุฟางออกไป ไม่นานอนุกุ้ยก็รีบพาบุตรสาวของตนเองออกไปด้วย บนเก้าอี้เหลือเพียงสองแม่ลูก อนุตู้ เซี่ยลี่และเหนียนยวี่
“ท่านแม่ ข้ากินอิ่มแล้ว พวกเรายังไม่ต้องกลับกันอีกหรือ?” เซี่ยลี่เร่งเร้า แม้แต่เขายังรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก จากบรรยากาศเมื่อครู่นี้ เหนียนยวี่เหลือบมองอนุตู้ ในใจของนางเองก็มีคำถามเช่นเดียวกับเซี่ยลี่
พวกนางไปกันหมดแล้ว ทว่าอนุตู้ผู้นี้ยังไม่คิดกลับไปอีกหรือ?