“คนชั่วร้าย?” เหอตังกุยเลิกคิ้ว
“ใช่” เฟิงอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก “คุณหนูเหออย่าถูกหลอกเพียงเพราะรูปลักษณ์ของนาง นอกจากการพูดโกหก นางยังชอบการต่อสู้ การทำร้ายหรือแม้กระทั่งการฆ่า หากท่านเห็นนางก็จงรีบวิ่งหนีโดยเร็วที่สุด อย่าได้พูดคุยด้วยแม้แต่คำเดียว และ...อย่าได้เอ่ยถึงคุณชายหนิง ข้าขอร้องล่ะ”
หลังเหอตังกุยครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม “สำเนียงการพูดของนางเหมือนมาจากเมืองหลวง หรือ...หลิงเมี่ยวอี้รู้จักคุณชายเฟิงและคุณชายหนิง? พวกเขามาจากที่ใดกัน?”
เฟิงอวี้เสียใจในสิ่งที่พูดยิ่งนัก ก่อนเอ่ยด้วยมือสั่นเทา “ไม่ ๆ ๆ คุณชายของพวกข้าไม่เคยไปเมืองหลวงกับคุณชายหนิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายเฟิงของข้า เขาเป็คนหยางโจวแท้ ๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา นอกจากเขาอู่ตังก็ไม่เคยไปที่ใดเลย… แม้เขาจะรู้จักหลิงเมี่ยวอี้แต่ก็ไม่ได้สนิทกับนางถึงเพียงนั้น พวกเขาไม่เคยพบกันที่เมืองหลวงมาก่อน เพราะพวกเราแทบไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย” ยิ่งพูดก็ยิ่งลนลาน ไม่รู้ว่าเผยความลับอะไรไปบ้างจึงเกาแก้มด้วยความร้อนใจ
เหอตังกุยหัวเราะพลางจัดทรงผมให้เรียบร้อยด้วยนิ้วเรียวเล็กพลางเอ่ย “พี่ชายมิต้องร้อนใจ ข้าเพียงถามเรื่อยเปื่อย มิได้สนใจเื่คุณชายทั้งสองหรอก หากเ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็ไร จริงสิ ข้ายังมิได้ขอบใจที่วันนั้นพวกเ้าช่วยฉานอีของข้า ข้าซาบซึ้งใจนัก”
ขณะเฟิงอวี้จะตอบกลับ ทันใดนั้นเสียงแหลมเสียดแก้วหูก็ดังขึ้น “อ๊ะ คุณหนูสาม เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่? เหล่าไท่ไท่ตามหาท่านอยู่” เหอตังกุยหันกลับไปเห็นฮวามามาบ่าวรับใช้ข้างกายเหล่าไท่ไท่
ฮวามามาวิ่งเตาะแตะมาที่นี่ นางไม่สนใจเฟิงอวี้แม้แต่น้อย พลันลากแขนเหอตังกุยออกไปทันทีพลางพูดอย่างรวดเร็ว “เหล่าไท่ไท่จะแนะนำแขกให้ท่านรู้จัก งานเลี้ยงวันนี้ยังมีแขกชั้นสูงเป่าติ้งเมิ่งชานมาร่วมงานด้วย ได้ยินว่าคุณชายใหญ่ตระกูลกวนก็มาเช่นกัน” นางมองเหอตังกุยั้แ่หัวจรดเท้าพลางเอ่ยถาม “คุณหนูสาม ชุดของท่านธรรมดาเกินไปหรือไม่? วันนี้ล้วนเป็แขกพิเศษทั้งสิ้น”
เหอตังกุยส่ายหัวพลางถาม “เป่าติ้งเมิ่งชาน? เหตุใดใต้เท้าตำแหน่งใหญ่โตเพียงนี้จึงมาที่นี่ ข้าไม่รู้มาก่อนเลย คิดว่าเป็เพียงงานเลี้ยงครอบครัวทั่วไปเท่านั้น เหตุใดจึงเป็งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้เล่า” โดยทั่วไปจวนตระกูลหลัวจะใช้เวลาจัดเตรียมงานเลี้ยงระดับกลางสามวัน บรรยากาศสามวันนั้นเสมือนอยู่ในเทศกาล งานเลี้ยงระดับใหญ่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ฮวามามาอธิบาย “เป็เพราะกองทัพของเป่าติ้งผอเดินทางผ่านหยางโจว เขาจึงมาเยี่ยมนายท่านผู้เฒ่า แต่หลายวันมานี้นายท่านผู้เฒ่าออกท่องเที่ยวไปทั่ว เหล่าไท่ไท่จึงชวนเขาและเหล่าคุณชายรับประทานอาหารที่จวน เื่นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ตอนนี้พ่อครัวกำลังเตรียมอาหารเ้าค่ะ” นางกล่าวขณะดึงเหอตังกุย “คุณหนูสาม ชุดของท่านธรรมดาเกินไป มีชุดของคุณหนูสี่ในห้องเหล่าไท่ไท่ ท่านลองเลือกเปลี่ยนดูก่อนดีหรือไม่?"
เหอตังกุยยิ้มพลางพูด “ฮ่า ๆ เหล่าไท่ไท่ต้องต้อนรับแขกในงานเลี้ยง ข้าเพียงนั่งกินอาหารริมโต๊ะก็พอ เหตุใดมามาจึงให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าของข้าถึงเพียงนี้?”
ฮวามามายิ้มเขินอายก่อนเอ่ย “เป็คำสั่งของเหล่าไท่ไท่ คุณชายตระกูลเผิงทั้งสองท่านก็มา...”
ที่แท้ก็วางแผนเื่นี้นี่เอง เหอตังกุยยิ้มพลางคิดในใจ “คนแก่ชอบจับคู่อย่างบ้าคลั่งเช่นนี้จริง ๆ หรือ? หลัวไป๋ฉยงแสดงความรักต่อเผิงสือจนไม่สนใจชื่อเสียงของนางด้วยซ้ำ เหล่าไท่ไท่ควรจับคู่พวกเขาสองคนจึงจะถูก
ขณะพวกนางเดินเข้าเรือนฝูโซ่วก็เห็นโคมไฟหลากสีสัน ทุกคนต่างยิ้มราวกับเป็เทศกาลปีใหม่แสนคึกคัก งานเลี้ยงจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ซินหรง ทว่าขณะนี้งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม หยางมามาวิ่งจากห้องครัวไปห้องโถงใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเห็นคุณหนูสามมาถึงก็ดีใจมากพลางเอ่ย “คุณหนูสามมาแล้ว เหล่าไท่ไท่กำลังพูดคุยกับแขกในห้องโถง คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองยังมาไม่ถึง ฮวาซานเหนียง พาคุณหนูสามเข้าไปก่อนเถิด”
เหอตังกุยปฏิเสธคำแนะนำให้เปลี่ยนเสื้อผ้าสีสดใสของฮวามามา ก่อนเดินเข้าห้องข้างของห้องโถงใหญ่ซินหรง ในใจเกิดสนใจเผิงสือที่สามารถทำให้หลัวไป๋ฉยงะโลงน้ำด้วยความเต็มใจ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของชายหนุ่ม “ฮ่า ๆ ท่านพี่ ก้าวนี้ของท่านช่างแย่นัก ฮ่า ๆ ท่านไม่มีโอกาสก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังแล้ว อีกไม่นานข้าจะทำให้ท่านแพ้”
ขณะเหอตังกุยยืนข้างประตูก็พบชายแต่งตัวดูดีสองคนกำลังเล่นหมากรุก ชายในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนเอนกายบนเก้าอี้นวมพลางหาว ชายอีกคนในชุดคลุมสีเขียวเข้มนั่งตัวตรง ขณะนางมองเขา จู่ ๆ เขาก็รู้สึกตัวพลันเงยหน้ามองนางเช่นกัน ชายในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนเห็นมืออีกฝ่ายถือหมากแข็งค้างกลางอากาศ สายตาจับจ้องทางซ้าย เขาจึงหันตามพลางหาว ทว่าเมื่อเห็นเหอตังกุยก็ตะลึงงันทันที ก่อนดีดตัวลุกจากที่นั่งด้วยความดีใจ
เหล่าไท่ไท่ที่นั่งในที่นั่งเ้าภาพมองเห็นเหอตังกุยจึงโบกมือพลางเอ่ย “เสี่ยวอี้ มานี่เร็วเข้า รีบมาเจอลูกพี่ลูกน้องของเ้า” นางชี้ชายทั้งสองก่อนกล่าว “พวกเขาเป็ลูกชายของป้าเ้า คุณชายเจี้ยนอายุมากกว่าเ้าสองปี คุณชายสืออายุมากกว่าเ้าสี่ปี พวกเขาทั้งสองล้วนเป็เด็กอนาคตไกล (เ้าลองดูว่าชอบคนไหน) ” นางใช้สายตากล่าวประโยคสุดท้ายกับเหอตังกุย ก่อนชี้เหอตังกุยพลางบอกชายทั้งสอง “คุณชายสือ คุณชายเจี้ยน นี่คือน้องสามของพวกเ้า นางจะไปเรียนที่สำนักศึกษากับพวกเ้าด้วย พวกเ้าต้องดูแลนางให้ดีล่ะ”
ชายในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าไท่จวิน ข้าเคยพบน้องสาวผู้นี้มาก่อนขอรับ”
เหล่าไท่ไท่มองเหอตังกุยด้วยท่าทีสนใจก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวอี้ พวกเ้าเคยเจอกันมาก่อนหรือ?”
เหอตังกุยมองชายทั้งสองพลันะโในใจ “แย่แล้ว ตนเป็คุณหนู “เศรษฐี” เื่ที่เคยปลอมตัวเป็ชายไปร้านอาหารอาจเป็เื่ผิดร้ายแรง แต่ถึงจะไม่ร้ายแรง อย่างไรก็ต้องถูกเหล่าไท่ไท่ตำหนิ ตนจะยอมรับเช่นนั้นหรือ?”
ใช่แล้ว นางเคยพบชายสองคนนี้ที่ร้านอาหารฉวินเสียนโหลวในเมืองตู้เอ๋อร์ ชายในชุดคลุมเขียวเข้มอายุประมาณสิบสี่ปีอาจเป็เผิงสือ บุรุษเงียบขรึมที่กินข้าวคนเดียวในวันนั้น เขามีดวงตาทรงเสน่ห์สีดำขลับราวสีหมึก ดูไม่ยินดียินร้าย ทั้งยังหยิ่งผยอง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวและไม่กล้าสบตา
ชายในชุดคลุมสีฟ้าอ่อนอายุประมาณสิบสองปีน่าจะเป็เผิงเจี้ยน ชายผู้ชอบยุ่งเื่ของชาวบ้าน ทั้งยังตำหนิพวกนางว่ากินอาหารมากเกินไป รูปร่างหน้าตาของเขาละม้ายเผิงสือเล็กน้อย คิ้วบางเรียวยาว จมูกสูงโด่ง กรามงดงาม ริมฝีปากเชิดดูทะนงเล็กน้อย ขณะเดียวกันดวงตาสีดำขลับก็ส่องประกายความใระคนดีใจ
เหอตังกุยอดรำคาญไม่ได้พลางคิดในใจ “ฮึ เขาจะมีความสุขได้อย่างไร? เขาอาจบอกความลับของนางจนนางถูกเหล่าไท่ไท่ตำหนิ อีกทั้งพวกเขายังได้ยินนางบอกว่าแอบออกจากวัดเพื่อมากินดื่มให้อิ่มหนำที่โรงเตี๊ยม เหล่าไท่ไท่กังวลเกี่ยวกับอาหารในวัดสุ่ยซัง หากนางพาหลัวไป๋เส่ากลับมาก่อนเวลาที่นางวางแผนไว้ ทั้งหมดก็จะไร้ผล เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ถอนหายใจเงียบ ๆ ช่างบังเอิญเสียจริง เหตุใดตนต้องพบกับ “ลูกพี่ลูกน้อง” ในร้านอาหารเดียวกัน มิหนำซ้ำยังนั่งข้างโต๊ะพวกนางอีกด้วย”
ขณะนี้ชายในชุดคลุมเขียวเข้มเดินไปตบไหล่น้องชายพลางพูดด้วยความไม่พอใจ “เ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน? เราเคยเจอน้องสาวผู้นี้ั้แ่เมื่อใด? ดูสิ เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้จักเ้า” ขณะเดียวกันก็พยักหน้าให้เหอตังกุยก่อนกล่าว “สวัสดีน้องสาม ข้าชื่อเผิงสือ ดีใจที่ได้พบเ้าเป็ครั้งแรก!” เขาเน้นคำว่า “ครั้งแรก” อย่างหนักแน่น
เหอตังกุยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รีบเอ่ยกับเหล่าไท่ไท่ “เป็ครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน ข้าไม่เคยเจอพวกเขามาก่อนเ้าค่ะ”
ทุกคนพลันจับจ้องเผิงเจี้ยนที่เพิ่งถูกพี่ชายตบไหล่ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็คิดถึงเื่ที่พวกเขาตามหานักพรตไป๋หยางไป่ในเมืองตู้เอ๋อร์เพื่อขอเรียนรู้ทักษะ เื่นี้ไม่สามารถบอกใครได้เพราะเผิงเฮ่าก่วงผู้เป็บิดามีอคติต่อนักพรตอย่างมาก ดังนั้นเื่ที่พวกเขาพบ “หญิงสาวชาวบ้าน” ผู้นี้ในเมื่อตู้เอ๋อร์จึงไม่สามารถบอกทุกคนได้
ทว่าเมื่อเผิงเจี้ยนมองหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่พอใจเล็กน้อย ฮึ เหตุใดนางต้องแสร้งไม่รู้จักตนด้วย? วันนั้นในร้านอาหารฉวินเสียนโหลวยังเรียกเขาว่า “คุณชายลิ้นยาว” แต่พี่ชายของเขาก็เร่งพาเขาตามรอยหลิงเมี่ยวอี้ที่ปรากฏตัวกะทันหัน หลังจากกลับมานางก็หายตัวไปเสียแล้ว เมื่อเผิงเจี้ยนเห็นเด็กสาวผู้นี้อีกครั้งจึงตื่นเต้นยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวที่พบในหมู่บ้านวันนั้นคือคุณหนูสามแห่งตระกูลหลัว ในที่สุดเขาก็มีโอกาสโต้แย้ง...ว่าเขามิใช่คุณชายลิ้นยาว
เผิงเจี้ยนไม่รู้ว่าตนมองผิดหรือไม่ เหตุใดหญิงสาวชาวบ้านที่เปล่งประกายราวไข่มุกในวันนั้น... จึงหม่นหมองลงในวันนี้? ใบหน้าของนางซีด...หรือนางหิว? ตาก็เล็กลง...หรือนางเหนื่อย? เหตุใดหน้าตาของนางจึงแตกต่างจากวันนั้นถึงเพียงนี้? ครั้งสุดท้ายที่พบกันในร้านอาหาร ทุกรอยยิ้มและการกระทำของนางเปรียบเสมือนแสงไข่มุกทอประกายยามค่ำคืน มีเสน่ห์เสียจนเขาไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าของนางได้ แต่คุณหนูสามที่นั่งไม่ไกลจากเขาในเวลานี้มีคิ้วต่ำ สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แม้ท่าทีดื่มชาจะเหมาะสมแต่อารมณ์อิสระเหมือนครั้งก่อนที่พบกลับเลือนหายไปเสียแล้ว...
“แค่ก ๆ ๆ ”
เผิงเจี้ยนลุกจากที่นั่ง เมื่อสายตาประสานขณะน้องสามเหลือบมองพวกเขา นางก็พลันสำลักน้ำกะทันหัน ภายใต้การดูแลเป็พิเศษของเผิงสือผู้เป็พี่ชาย เผิงเจี้ยนจึงนั่งลงอีกครั้งแต่ก็ยังอดถามด้วยความเป็ห่วงไม่ได้ “น้องสามเป็อะไรหรือไม่?”
เหอตังกุยหายใจเข้าลึกพลางยกมือทาบอก ก่อนหยิบเค้กดอกเบญจมาศขึ้นบดบังใบหน้า ในใจก็อดประหลาดใจมิได้ ชายที่นั่งชั้นหนึ่งคือเป่าติ้งเมิ่งชานอายุห้าสิบปี นางเคยเห็นเขาไม่กี่ครั้งในชาติที่แล้ว ทว่าชายชุดขาวที่นั่งข้างเขานั้น...เป็คนที่นางเคยช่วยชีวิตในวัดสุ่ยซังไม่ใช่หรือ?
เหล่าไท่ไท่ไม่ทันสังเกตเห็นเหอตังกุยสำลักน้ำ พลันเอ่ยกับสองคุณชายตระกูลเผิงและคุณชายเฟิงตัวปลอม รวมถึงคุณชายหนิงที่เพิ่งเดินเข้ามา “พวกเขาคือขุนนางเป่าติ้งผอจื่อเมิ่งและคุณชายเจ็ดเมิ่งเซวียน แม้เมิ่งเซวียนจะอายุเพียงสิบเอ็ดปีแต่ก็เป็แม่ทัพกองทหารม้าที่ฮ่องเต้พระราชทานยศ ทั้งยังเคยประจันหน้าข้าศึกในสนามรบอีกด้วย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้