“อั้ก!” ฝ่ามือของกุ่ยเตาทะลวงพันธนาการก่อนจะโจมตีฉู่หาน ทำให้ฉู่หานโอดครวญพร้อมร่างกระเด็นไปกระแทกกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล หินก้อนนั้นเกิดรอยร้าว ฉู่หานถึงกับกระอักเื
“อ่อนหัด!” กุ่ยเตาแสยะยิ้มเดินมา จากนั้นโจมตีฉู่หานอีกครั้ง ฉู่หานถูกซัดจนล้มลงไปกองกับพื้น สีหน้าซีดลงเืลมในกายแปรปรวน
“ก็แค่คนไร้ค่า ริอ่านช่วยคนอื่น” กุ่ยเตามองฉู่หานด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งขยี้ศีรษะของฉู่หานพร้อมกล่าว “ข้าจะถามเ้าอีกครั้ง ฉินเยียนหรานคือผู้หญิงของใคร?”
ฉู่หานเผยสีหน้าเย็นเยียบ เืไหลตรงมุมปากเป็ทางยาว แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความอับอาย เขากล่าวพลางกัดฟัน “แน่นอนว่าเป็ผู้หญิงของศิษย์น้องเย่ข้า เ้ากุ่ยเตาไม่มีวันเทียบเคียงกับศิษย์น้องเย่ได้!”
“ตุบ!” กุ่ยเตาตาเผยประกายชั่วร้าย ก่อนจะใช้เท้าเตะไปที่หน้าอกของฉู่หานเข้าเต็มแรง จนฉู่หานโอดครวญพลางมีสีหน้าเ็ป
อย่างไรก็ตามดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววแน่วแน่อันแรงกล้า ในใจของฉู่หาน ฉินเยียนหรานคู่ควรกับศิษย์น้องเย่ของเขา ต่อให้กุ่ยเตาฆ่าเขา ความคิดนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ข้าไม่รังเกียจที่จะฆ่าเ้านะ!” กุ่ยเตากล่าว
“กุ่ยเตา เ้ารังแกผู้อ่อนแอเช่นนี้หมายความว่าไง? ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้” แม้ฉินเยียนหรานที่ฉู่หานบอกว่าเป็ผู้หญิงของเย่เฟิง แต่นางก็กล่าวเช่นนั้น นางทนมองคนถูกรังแกไม่ได้
“ปล่อยเขาหรือ?” กุ่ยเตาเผยสีหน้าเย็นเยียบพร้อมกล่าว
“หากปล่อยเขา เ้าก็ต้องไปกับข้า”
“ไร้ยางอาย!” ฉินเยียนหรานตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “ถ้าเ้าไม่ปล่อยเขา ข้าจะไม่เกรงใจเ้าอีก!”
“เขาควรได้รับความอัปยศนี้ เ้าห้ามยุ่ง” ขณะนั้นชายหนุ่มตระกูลเฉินปราบเฉิงเฟยเสร็จก็เอาตัวมาขวางที่ด้านหน้าฉินเยียนหราน
ส่วนเย่เฟิงยังคงจมอยู่ในโลกแห่งหอก เขาย่อมไม่รู้เื่ราวของโลกภายนอก ก่อนหน้านี้ที่เฟิงเฉียนโจมตีเขาสามครั้ง มันส่งผลกระทบต่อเขาในระดับหนึ่ง โลกแห่งหอกจึงเปลี่ยนไป ทั้งแปรปรวนและอันตรายมากขึ้น แต่เย่เฟิงอาศัยความรู้ที่มีต่อพลังหอก โลกจึงกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง ในขณะเดียวกันภาพที่เฟิงเฉียนโจมตีเขาสามครั้งติดฉายขึ้นในหัว นี่ทำให้เขาไม่ชอบใจ แน่นอนว่าเขารู้จักเฟิงเฉียน ตอนที่เย่เฟิงอยู่ในที่พักของตัวเองก็บังเอิญเห็นเฟิงเฉียนมาหาฉินเยียนหราน แต่เย่เฟิงไม่คิดว่าเฟิงเฉียนผู้นี้จะมีนิสัยเลวทรามขนาดนี้ ฉวยโอกาสโจมตีในตอนที่เขาอยู่ในสภาวะเรียนรู้ ทว่าทั้งสองคนไม่เคยติดต่อกัน เย่เฟิงจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่าย้าอะไร
อย่างไรก็ตามเย่เฟิงเรียนรู้เกี่ยวกับเจตจำนงหอกใกล้จะจบแล้ว หาไม่แล้วการโจมตีสามครั้งของเฟิงเฉียนนั่นคงนำหายนะมาสู่เขา
เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ที่เย่เฟิงมีต่อเจตจำนงหอกยิ่งลึกซึ้งขึ้น เขาเริ่มตระหนักได้ว่าหอกไม่เพียงแต่เป็อาวุธใช้สังหารคนได้ แต่มันยังมีจิติญญา กระทั่งมีเืมีเนื้อ มีอารมณ์ความรู้สึกสุขทุกข์ หากเ้ามีความจริงใจและสื่อสารกับมันได้แล้วเรียนรู้ จะทำให้พลังโจมตีของหอกแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้เย่เฟิงรู้สึกว่าจากการเรียนรู้ในโลกแห่งหอกแห่งนี้ ทำให้ความรู้ของเขาที่มีต่อหอกลึกซึ้งขึ้น กระทั่งภายใต้การผลักดันของพลังนั้น เคล็ดวิชาหอกเงินประกายของเย่เฟิงก็ทะลวงสู่ระดับหก พลังก็กล้าแกร่งกว่าก่อน
“อำนาจ อำนาจแห่งหอก!” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเย่เฟิงฉับพลัน คล้ายเสียงของตัวเอง แต่ก็คล้ายคนอื่นส่งเสียงมาหา
ใช่แล้ว พลังเช่นนี้คืออำนาจในตำนาน อำนาจคืออาวุธหรือพลังบางอย่างที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับการบ่มเพาะ เมื่อสำแดงอำนาจในการโจมตี ระดับพลังจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และยกระดับพลังต่อสู้ให้กับผู้ฝึกยุทธ์ ซึ่งระดับการบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธ์นั้นแตกต่างกัน พลังแห่งอำนาจไม่เหมือนระดับการบ่มเพาะที่เมื่อพลังถึงระดับหนึ่งก็จะบรรลุสู่ขั้นต่อไป ส่วนอำนาจต้องพึ่งพิงสติปัญญาในการเรียนรู้ หากสติปัญญาไม่ถึง ต่อให้เ้ามีระดับการบ่มเพาะสูงส่งก็มิอาจเอื้อมถึงได้
ลือกันว่าเมื่อผู้ฝึกยุทธ์บรรลุขั้นรวมชี่ก็จะมีความหวังในการเรียนรู้พลังแห่งอำนาจ ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ไม่สามารถเอื้อมถึงพลังระดับนี้ได้ นี่เป็การพิสูจน์แล้วว่าการเรียนรู้พลังแห่งอำนาจยากเพียงใด
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ระยะเริ่มต้นที่สามารถเรียนรู้อำนาจได้ ถึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะ
ส่วนเย่เฟิงเพิ่งอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 ก็เรียนรู้อำนาจหอกผ่านกระแสน้ำตกเทียนเชี้ยนได้แล้ว นี่เป็การพิสูจน์ว่าพร์ของเย่เฟิงร้ายกาจเพียงใด
หลังจากเสียงนั้นจางหายไป โลกแห่งหอกที่อยู่เบื้องหน้าก็เริ่มสลายตัว ก่อนจะหายไปในที่สุด
ดวงตาของเย่เฟิงพลันเปิดกว้าง ก่อนจะพบว่าตัวเองยังยืนอยู่บนแท่นหินลำดับห้า กระแสน้ำตกไหลผ่านร่างกายเขาไม่หยุด กระทั่งมีไอเย็นปกคลุมร่าง จากนั้นสายตามองไปยังบางทิศ และนี่ก็ทำให้ดวงตาของเย่เฟิงมีแสงเยือกเย็นปะทุออกมา เย่เฟิงเห็นกุ่ยเตาทางด้านนั้น ทั้งยังวางท่าอวดดี ทว่าฝ่าเท้าของกุ่ยเตากำลังเหยียบย่ำฉู่หาน
ฉู่หานหน้าขาวซีดเืทะลักออกจากปาก แต่มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังฉายแววแน่วแน่ไม่ยอมแพ้
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้าย อ้อนวอนข้าและพูดว่าฉินเยียนหรานคือผู้หญิงของข้ากุ่ยเตา!” กุ่ยเตาตะคอกใส่ขณะที่ฝ่าเท้ายังขยี้ฉู่หาน สีหน้าของฉู่หานเต็มไปด้วยความโกรธ จ้องมองกุ่ยเตาตาเขม็ง พลางมีเสียงเยือกเย็นดังจากปาก “คนงามคู่ควรกับวีรบุรุษ แล้วเ้านับเป็สิ่งใด มีสิทธิ์อะไรคู่ควรกับฉินเยียนหราน!”
“ตุบ!” กุ่ยเตาไม่รอให้ฉู่หานพูดจบ เขาเตะร่างฉู่หานอย่างเต็มแรงจนฉู่หานกระอักเือีกครั้ง
“สวะ ปากเ้านี่มันแข็งเสียจริง!” กุ่ยเตาบันดาลโทสะ จึงระบายความโกรธใส่ฉู่หาน
เมื่อเห็นฉากนี้ผู้คนต่างก็เบิกตาโพลงด้วยความใ กุ่ยเตาผู้นี้จิตใจอำมหิตยิ่งนัก เขาเหยียดหยามฉู่หาน โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าเขาเสียอีก
“ตูม!”
เพลิงพิโรธปะทุออกจากร่างเย่เฟิง ดวงตาแดงก่ำ ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอเย็นไร้จุดสิ้นสุด
หลังจากเื่ตระกูลหนานกง เย่เฟิงไม่เคยเกลียดใครเท่านี้มาก่อน กุ่ยเตาทำอะไรเขาไม่ได้จึงไปลงกับศิษย์พี่ฉู่หาน ส่วนศิษย์พี่เฉิงเฟยก็หน้าขาวซีดไม่ต่างจากกระดาษ เห็นได้ชัดว่านางได้รับความอัปยศแบบที่ให้อภัยไม่ได้ แล้วเช่นนี้เขาเย่เฟิงจะอดทนได้อย่างไร!
“ตายซะเถอะ!” เย่เฟิงแผดเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวพร้อมก้าวออกไป ร่างทะยานลงจากแท่นหินลำดับห้า ในขณะเดียวกันฝ่ามือภูผาพิฆาตที่อัดแน่นด้วยพลังหอกซัดไปที่กุ่ยเตา พลางสายลมพัดโหม พลังแห่งการทำลายล้างราวกับฉีกกระชากทุกสิ่งให้แหลกเป็ผุยผง!
ทางด้านกุ่ยเตา เขารับรู้ได้ว่ามีสัญญาณอันตรายมาเยือน เขาจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นเย่เฟิงพุ่งลงมาจากฟากฟ้าพร้อมโจมตีเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นี่ทำให้กุ่ยเตาเืขึ้นหน้า เย่เฟิงเป็ฝ่ายหาเื่ก่อน ตอนนั้นเองเงาพรายส่งเสียงคำราม พลังฝ่ามือถูกปล่อยฉับพลันราวกับมีเงาพรายนับหมื่นรายล้อม ก่อนจะเข้าปะทะกับการโจมตีของเย่เฟิง
“ตูม!!!” เสียงะเิดังสนั่นทั่วฟ้าดิน คลื่นทำลายล้างแผ่กระจายกลายเป็พายุลูกใหญ่พร้อมบดขยี้ทุกอย่าง
ภายใต้พลังสะท้อนกลับที่รุนแรงนั่น กุ่ยเตาเซถอยหลังไปหลายก้าว พลางสีหน้าดูไม่สู้ดี
“สุดท้ายเ้าก็มารนหาที่ตายจนได้!” กุ่ยเตากล่าวเสียงเย็น
เย่เฟิงปรายตามองกุ่ยเตาแวบหนึ่งโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ จากนั้นก็ประคองร่างฉู่หานขึ้นพร้อมกล่าว “ศิษย์พี่ฉู่หาน ศิษย์น้องทำให้ท่านลำบากแล้ว”
“ศิษย์น้องเย่ ข้าไม่เป็ไร ได้เห็นศิษย์น้องลงมาจากแท่นหินลำดับห้า ศิษย์พี่คนนี้ดีใจแทนเ้าเหลือเกิน” ฉู่หานกล่าวทั้งที่ใบหน้าซีดไร้สีเื ถูกกุ่ยเตาทำร้ายอย่างต่อเนื่อง อวัยวะภายในและเส้นลมปราณของเขาต้องได้รับาเ็สาหัส ทว่าเขายังคงดีใจกับเย่เฟิงพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง
นั่นคือศิษย์น้องของเขา แม้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ที่ลานกว้างแท่นศิลาเทียนเสวียน เย่เฟิงล่วงเกินเจิ้งเชาผู้อยู่อันดับที่ 10 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาอย่างไม่กลัวตาย ทั้งยังล่วงเกินผู้าุโเหลียง ต่อมาถูกผู้าุโเหลียงลงโทษ ทั้งหมดนี้เป็เพราะเขาฉู่หานที่ไม่อดทนต่อคำพูดดูถูกของพวกเจิ้งเชา ั้แ่นั้นมาเขาจึงเห็นเย่เฟิงเสมือนน้องชายแท้ ๆ
“ศิษย์พี่ฉู่ ท่านกินยาเม็ดนี้ก่อนเถิด เดี๋ยวศิษย์น้องกลับมา” เย่เฟิงใส่ยาฟื้นฟูเข้าปากของฉู่หาน ส่วนเฉิงเฟยที่าเ็เพียงเล็กน้อยก็มาถึงด้านนี้ ก่อนจะเข้าไปดูแลฉู่หาน
“ศิษย์น้องเย่ เ้าระวังตัวด้วย กุ่ยเตาแข็งแกร่งมาก” หลังจากฉู่หานได้รับยาก็ไม่ลืมที่จะกำชับเย่เฟิง กลัวว่าเย่เฟิงจะเป็ฝ่ายเสียเปรียบ
เหล่าผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็สนใจกันขึ้นมา พวกเขารู้ว่าครั้งนี้ศึกระหว่างเย่เฟิงกับกุ่ยเตาไม่มีทางจบสวย
เย่เฟิงลุกขึ้นยืนช้า ๆ ขณะมองไปยังกุ่ยเตาและชายหนุ่มตระกูลเฉินคนนั้นด้วยสายตาเยือกเย็น ซึ่งเขาพบว่าตัวเองไม่เคยเจอใครที่มีจิตใจอำมหิตเช่นนี้มาก่อน
“เ้าอยากตายแบบไหน?” เย่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ตอนที่กุ่ยเตาทำร้ายร่างกายฉู่หาน มันก็ถูกกำหนดแล้วว่ามีเพียงคนเดียวที่จะได้อยู่บนโลกใบนี้
“วาจาโอหัง! เป็แค่สวะขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 กลับไม่เจียมตัว! ในเมื่อเ้าอยากตายมากนัก เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์เ้า!”
กุ่ยเตายิ้มอย่างดูถูก แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็มีน้อยคนที่จะเป็คู่ต่อสู้ของเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับเย่เฟิง
“สงเคราะห์ข้าเนี่ยนะ?” เย่เฟิงแสยะยิ้มพร้อมกล่าว
“ตอนนี้ข้าเย่เฟิงขอท้าเ้ากุ่ยเตา ศึกเป็ตาย เ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?” เสียงของเย่เฟิงดังกังวานะเืไปถึงแก้วหูของทุกคน ทำให้รูม่านตาของพวกเขาหดแคบลง และอดใจเต้นแรงไม่ได้
“ชายผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก หรือเขาไม่รู้ว่ากุ่ยเตาแข็งแกร่งแค่ไหน?”
“บ้าไปแล้ว หมอนี่ต้องบ้าไปแล้ว! เขาอยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 แต่คนที่เผชิญหน้าด้วยคือกุ่ยเตาที่อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัว แต่ยังเป็ฝ่ายท้าก่อน ด้วยการใช้ศึกเป็ตายตัดสินกับกุ่ยเตา นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ”
“นั่นน่ะสิ ข้าว่าเขาถูกกุ่ยเตาฆ่าตายภายในห้ากระบวนท่าแน่นอน!” ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ซึ่งไม่มีใครคิดว่าเย่เฟิงจะเอาชนะกุ่ยเตาได้เลยสักคน อย่างไรเสียระดับการบ่มเพาะของทั้งสองคนก็ห่างกันมาก ไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน
ฉินเยียนหรานนิ่งงัน นางเองก็คิดว่าเย่เฟิงหุนหันพลันแล่นเกินไป ด้วยระดับการบ่มเพาะของเย่เฟิงในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกุ่ยเตา
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ ในใจของฉินเยียนหรานก็เกิดความวิตกกังวล นี่ทำให้นางอดตำหนิตัวเองในใจไม่ได้ ว่าทำไมถึงเป็ห่วงชายสารเลวผู้นี้
ศึกเป็ตายคือศึกที่จะมีผู้รอดชีวิตได้คนเดียว นั่นหมายความว่าระหว่างเย่เฟิงกับกุ่ยเตาจะมีเพียงคนเดียวที่ได้อยู่ต่อ ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายตกลง จะไม่มีใครเข้าแทรกแซงได้ นี่คือกฎที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้