บุรุษผู้ครองบัลลังก์ัทอดสายตาลงมาจากที่ประทับสูงสุด ดวงเนตรสีทองจับจ้องไปยังสตรีที่ก้าวเข้ามาในพระราชฐานของเขาอย่างสงบนิ่ง
นางมาในอาภรณ์อย่างทางการขององค์หญิงแห่งเจียงหนาน งดงาม สง่างาม น่าเกรงขามในแบบที่ควรเป็ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเฟิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเขาหยุดหมุน
สิ่งที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ คือใบหน้านั้น ใบหน้าที่เขาคิดว่าคงไม่มีวันได้พบเห็นอีก ใบหน้าของสตรีที่เขาไม่อาจลืมได้ตราบชั่วชีวิต
"เซียว... หยางมี่..."
ริมฝีปากของจักรพรรดิขยับเล็กน้อย แต่เสียงนั้นเบาราวกับลมหายใจ ไม่มีผู้ใดได้ยินคำพูดของพระองค์ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในชั่วพริบตาเดียว ดวงเนตรขององค์จักรพรรดิไหวระริกเพียงใด
องค์หญิงแห่งเจียงหนานยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทีสง่างามและเยือกเย็น ไม่มีแววตัดพ้อ ไม่มีความเจ็บช้ำ มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางรังเกียจเขา...ัที่อยู่ตรงหน้าของนาง
หลังจากที่มู่หรงเซียวถวายบังคมตามธรรมเนียมแล้ว เหล่าขุนนางของต้าชิงต่างเริ่มซุบซิบกันเบาๆ และแล้วขุนนางาุโผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นมาเอ่ยวาจา
"ทูลองค์จักรพรรดิ ฝ่าาทรงพระเมตตา รับรององค์หญิงแห่งเจียงหนานด้วยพระองค์เอง สมแล้วที่แคว้นเรายึดมั่นในไมตรีและเมตตาธรรม"
คำพูดนั้นฟังดูเป็เพียงการกล่าวยกย่องทั่วไป แต่มู่หรงเซียวกลับััได้ถึงนัยที่ซ่อนอยู่
"ไม่ทราบว่าองค์หญิงพำนักที่ต้าชิงแล้วเป็เช่นไร พระองค์ทรงมีสิ่งใดไม่พอพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
มู่หรงเซียวแย้มรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ต้าชิงเป็แคว้นที่ยิ่งใหญ่ ข้าซาบซึ้งในความเมตตาของฝ่าาที่ให้การต้อนรับเป็อย่างดี"
"แต่ถึงกระนั้น เจียงหนานก็คือบ้านเกิดของข้า ไม่ว่าอยู่ที่ใด ก็ไม่มีที่ใดงดงามเท่าบ้านของตนเอง"
นางตอบกลับไปอย่างชัดเจนว่าตนไม่มีความคิดจะอยู่ที่นี่นานเกินไป
"องค์หญิงกล่าวได้อย่างน่าฟังนัก" ขุนนางอีกคนหนึ่งกล่าวต่อ "อย่างไรเสีย แคว้นต้าชิงและแคว้นเจียงหนานก็มีไมตรีต่อกันมาเนิ่นนาน"
"และยิ่งไปกว่านั้น..." เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
"แคว้นต้าชิงยังมิได้มีหงส์เคียงบัลลังก์ หากเป็องค์หญิงที่สูงศักดิ์และงดงามเช่นนี้ ย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว..."
คำพูดนั้นชัดเจนว่าจงใจโยงเข้าสู่ประเด็นที่พวกเขาหวังอยู่
บรรยากาศภายในท้องพระโรงเงียบลงทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ทุกคนต่างเฝ้ารอปฏิกิริยาของมู่หรงเซียว รวมถึงบุรุษที่อยู่บนบัลลังก์สูงสุด แต่นางกลับเพียงยกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ
"หงส์นั้นเป็ดั่งผู้นำของเหล่าสตรีในวังหลวง" นางกล่าวอย่างราบเรียบ "ต้องเป็ผู้ที่เหมาะสมที่สุดจึงจะคู่ควรกับตำแหน่งนั้น และสำหรับข้า..."
นางเงยหน้าขึ้น สบตากับขุนนางที่ตั้งคำถามก่อนจะกล่าวอย่างแน่วแน่
"ข้าเกิดมาเพื่อเป็อิสระ มิใช่เพื่อเป็ของผู้ใด"
"ไม่ว่าเป็แคว้นใด ข้ามิได้เกิดมาเพื่อเป็หงส์เคียงข้างบัลลังก์"
ทั่วทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงัน
หลิวหงหลันซึ่งนั่งอยู่ข้างบัลลังก์จิกเล็บลงบนฝ่ามือ ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างข่มอารมณ์
ขณะที่เหล่าพระสนมและขุนนางบางส่วนต่างพอใจในคำพูดของนาง แต่ขุนนางที่้าผลักดันนางให้ขึ้นเป็จักรพรรดินีกลับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
แต่สิ่งที่มู่หรงเซียวสนใจมากกว่านั้นคือปฏิกิริยาของหวังเฟิ่ง นางเงยหน้าขึ้นมององค์จักรพรรดิสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทอง
แต่พระองค์กลับนิ่งเงียบ ริมฝีปากหยักลึกของจักรพรรดิยกขึ้นเป็รอยยิ้มบาง ๆ แต่ดวงเนตรสีทองกลับลึกล้ำจนมิอาจหยั่งถึง
มู่หรงเซียวรู้ดีว่า...เขาย่อมจะไม่มีวันยอมให้ทุกอย่างจบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
ยามราตรีเงียบงัน แต่เสียงฉินที่ดังแว่วไปทั่วตำหนักกลับทำลายความเงียบสงบ ลำนำที่ถูกบรรเลงช่างอ่อนหวานปนเศร้าโศก เหมือนเสียงเพรียกจากอดีตอันไกลโพ้น กรีดลึกลงกลางใจของผู้ฟัง
มู่หรงเซียวขมวดคิ้วแน่น
“ดึกดื่นป่านนี้ ใครกันที่มาเล่นฉิน?”
เสียงฉินดึงดูดให้นางออกจากตำหนัก นางก้าวย่างไปตามทำนองเพลง ราวกับถูกดึงเข้าไปในวังวนของเสียงนั้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อเดินมาถึงลานกว้างของตำหนักใหญ่ นางก็พบกับ คนที่นางไม่อยากพบเป็ที่สุด
บุรุษบนบัลลังก์สูงส่ง นั่งอยู่เพียงลำพังท่ามกลางความเงียบสงบ ฉินตัวงามวางอยู่บนตัก ปลายนิ้วยังค้างอยู่บนสายดุจดั่งเพิ่งบรรเลงทำนองสุดท้ายจบลง
ดวงเนตรสีทองเหลือบขึ้นมามองผู้มาใหม่อย่างไม่วางตา
"เ้า... ลืมไปแล้วหรือ ว่าบ้านเกิดของเ้าคือที่ใด?"
น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่น ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย ราวกับมีความหมายซ่อนเร้น
มู่หรงเซียวชะงัก ฝีเท้าของนางพลันหนักอึ้ง
"..."
"ที่นี่คือบ้านของเ้า ใยถึงยังไม่ชิน?"
บ้านของข้า...?
เขาหมายความว่าอย่างไร?
มู่หรงเซียวขบคิด นางไม่เคยมายังต้าชิงมาก่อน เหตุใดเขาจึงกล่าวเช่นนั้น?
"ข้าเป็คนเจียงหนานโดยกำเนิด" นางกล่าวเสียงเรียบ
"ที่นี่จะเป็บ้านเดิมของข้าได้อย่างไรกัน?"
หวังเฟิ่งยกยิ้มบาง ดวงตาเปล่งประกายราวกับอ่านนางออกทุกอย่าง
"ถ้าเ้ายังเชื่อเช่นนั้นอยู่ ก็ตามใจของเ้า"
น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบ แต่แฝงด้วยความหมายบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึง
มู่หรงเซียวไม่้าสนทนากับเขาต่อ นางรู้ดีว่าทุกครั้งที่พูดคุยกัน นางมักเป็ฝ่ายถูกดึงเข้าไปในวังวนของเขาโดยไม่รู้ตัว
"เช่นนั้น ข้าขอทูลลาเพคะ"
"ยามค่ำคืน ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน"
คำพูดนั้นทำให้หวังเฟิ่งเปลี่ยนสีหน้าในทันที
มู่หรงเซียวหันหลังเดินจากไป นางตั้งใจกล่าวเช่นนั้นเพื่อตัดรอนเส้นแบ่งระหว่างกัน
แต่เพียงแค่นางหมุนกายจากไป หวังเฟิ่งกลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังจะหลุดลอยไปจากมือ
ไม่ได้...คราวนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เ้าหายไปอีก...
หลังจากร่างบางลับสายตาไป หวังเฟิ่งจึงค่อย ๆ วางฉินลง
มือแกร่งหยิบ กริชเล่มหนึ่ง ออกมา ใบกริชงดงามวิจิตร ประดับด้วยอัญมณีเม็ดเล็ก ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดมันเป็ของแทนใจจากใครบางคนอีกเช่นเคย...
หวังเฟิ่งก้มลง จุมพิตลงบนใบกริช ราวกับเป็สมบัติล้ำค่าที่สุดของเขา
จากนั้นเขาลุกขึ้น เดินไปยังด้านในสุดของตำหนัก ซึ่งมีแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่
"หนึ่งหยาดโลหิตแลกกับผู้เป็ที่รัก ข้ายินดีแลกด้วยชีวา..."
เขากล่าวเสียงแ่เบา ก่อนจะใช้กริชกรีดลงบนฝ่ามือตนเอง โลหิตสีแดงสดหยดลงบนหินศักดิ์สิทธิ์
"ขอให้พิธีคืนิญญาสัมฤทธิ์ผล ของรักจงกลับสู่ผู้เป็เ้าของ"
ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าพวยพุ่งออกมาจากแท่นหิน ลำแสงแห่งพลังโบราณพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะไหลย้อนกลับไปยังตำหนักราชทูต ที่ซึ่งสตรีผู้หนึ่งกำลังหลับใหลอยู่...
เซียวมู่หรงเกิดนิมิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง…
“ปวดท้อง...”
ร่างบอบบางสั่นสะท้านด้วยความเ็ปราวถูกกรีดลึกไปถึงกระดูก มือเรียวซีดขาวกดแน่นลงบนหน้าท้องที่กำลังเติบโต ความปวดแสบปวดร้อนแล่นพล่านไปทั่วร่าง ทว่าหนักหนาที่สุดคือความทรมานในจิตใจ หยาดเหงื่อเย็นเยียบไหลซึมจากขมับ แรงกายของนางราวกับถูกสูบหายไปจนสิ้น
“ไม่...” เสียงกระซิบสั่นเครือ นางกุมหน้าท้องแน่นขึ้น รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังหลุดลอยไปจากร่าง
ชีวิตน้อยในครรภ์... นางปกป้องเขาไว้ไม่ได้
ดวงตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง เซียวหยางมี่เฝ้าสงสัยมาเนิ่นนานว่ามีบางสิ่งผิดปกติภายในจวนองค์ไท่จื่อ ทว่าสวามีของนางกลับหลงใหลพระสนมคนใหม่จนไม่สนใจฟังคำเตือนของนางเลย จนกระทั่งวันนี้ที่นางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทุกอย่างจึงปรากฏชัด
เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
“เ็ปมากใช่หรือไม่?”
เงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ แววตาที่มองลงมามีแต่ความเย้ยหยันกับความพึงพอใจ หลิวหงหลันในอาภรณ์งดงามย่อตัวลงช้าๆ เอียงคอเล็กน้อย ก่อนเอื้อมนิ้วเรียวเย็นเฉียบเชยคางของคนที่นอนจมกองเืขึ้นมา
“แต่ข้าสามารถทำให้เ้าเ็ปได้มากกว่านี้อีกนะ พระชายา”
เซียวหยางมี่กัดฟันแน่น แววตาฉายชัดถึงความตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าผู้ที่อยู่เื้ัเื่ทั้งหมดคือคนผู้นี้
“เ้า... เ้าทำสิ่งนี้ลงไปทำไม” เสียงของนางแหบพร่าเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน
“ข้าเคยทำอะไรให้เ้ากัน?”
พระสนมคนงามแย้มรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับเ็า
“เ้าตั้งครรภ์บุตรขององค์ไท่จื่อ แล้วจะไม่ให้ข้าคิดกำจัดเ้าได้อย่างไร?”
เซียวหยางมี่แข็งค้างไปทั้งร่าง
นางปกปิดเื่ครรภ์มาตลอด เพราะ้าสืบหาความจริงเกี่ยวกับพิษประหลาดที่ฮองเฮากำลังเผชิญ หวังว่าหากจัดการเื่นี้ได้แล้ว นางจะมีโอกาสแจ้งเื่บุตรแก่สวามีของตน
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า... นางจิ้งจอกเ้าเล่ห์ผู้นี้จะล่วงรู้ความลับก่อน!
บางที... ข้ารับใช้คนสนิทของเซียวหยางมี่คงถูกซื้อตัวไปแล้ว
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเร่งรีบ ก่อนที่เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งจะปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
“หลันเอ๋อร์!”
เสียงของหวังเฟิ่งเต็มไปด้วยความร้อนรนใจเป็อย่างมาก
เซียวหยางมี่ได้แต่มองดูเขาวิ่งเข้ามาด้วยสายตาเลื่อนลอย หัวใจของนางชาหนึบ ราวกับถูกแรงกดมหาศาลบีบจนแทบแตกสลาย
“เ้าหายไปไหนมา?” เสียงของเขาแฝงไปด้วยความเป็ห่วง
“ข้าตามหาเ้าทั่วจวน เ้ารู้ไหมว่าข้าเป็ห่วงเ้ามากเพียงใด?”
เขาวิ่งเข้ามาโอบร่างของหลิวหงหลันอย่างทะนุถนอม ไม่แม้แต่จะปรายตามองอีกคนที่นอนจมกองเือยู่ที่พื้น
ดวงตาสีทองคู่นั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนยามทอดมองสนมรักของตน แล้วกับนางเล่า เขามีเพียงสายตาเ็าให้เท่านั้นหรือ?
เมื่อสายตาของเขาเหลือบมองลงมา เห็นสภาพของพระชายาที่เืเปรอะเปื้อนเต็มพื้น ชายคิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง?”
แม้แต่คำว่า ‘พระชายา’ ก็ยังไม่เอ่ยออกมา
เซียวหยางมี่หลับตาลง พยายามกลั้นน้ำตา แต่มันก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
สิ้นสุดแล้ว...ทุกสิ่งที่เคยเป็มา ทุกความผูกพันที่เคยมี มันจบลงแล้วจริงๆ ใช่ไหม?
“พระชายาแท้งบุตรเพคะ” หลิวหงหลันกล่าวเสียงอ่อนหวาน
“ข้าตรวจพบว่านางใช้ยาทำร้ายบุตรในครรภ์ของตนเอง”
มือเรียวหยิบซองยาบางอย่างออกมายื่นให้ชายหนุ่ม เหมือนเตรียมการไว้ล่วงหน้า
หวังเฟิ่งรับมันไปพลิกดู แววตาทอประกายบางอย่าง ทว่าครู่ต่อมา น้ำเสียงของเขากลับเ็าลง
“ไม่จริง...”
เซียวหยางมี่ส่ายหน้า น้ำตาไหลริน
“ข้าไม่ได้ทำ...!”
“พระชายา” หลิวหงหลันแสร้งทอดเสียงอ่อนโยน
“หลักฐานแ่าขนาดนี้ ท่านยังจะโป้ปดอีกหรือ?”
ข้ารับใช้หลายคนเข้ามาค้นทั่วเรือนของเซียวหยางมี่ แล้วก็พบขวดยาพิษและพิษกู่ซุกซ่อนอยู่ในกล่องเครื่องสำอาง ทุกอย่างเหมือนถูกจัดฉากไว้อย่างแเีจนเถียงไม่ได้
หวังเฟิ่งหันไปมองหญิงที่เคยเป็ภรรยาในนาม ดวงตาสีทองของเขาแปรเปลี่ยนเป็เ็า ก่อนจะเอ่ยรับสั่งเสียงเรียบ
“กักตัวพระชายาไว้ที่ตำหนักเย็น”
เซียวหยางมี่หัวเราะเสียงแ่
สุดท้ายแล้ว เพราะไว้ใจผิดคน นางจึงกลายเป็เช่นนี้ ถูกจองจำในตำหนักร้างที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล ต้องสูญเสียบุตรในครรภ์ไปอย่างไม่มีวันได้กลับคืน และที่โหดร้ายที่สุดคือต้องสูญเสียสหายรักไปตลอดกาล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้