“เื่สำคัญ?” มู่จื่อหลิงจมอยู่ในความคิดของนาง ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มแจ่มใส มีแสงที่บริสุทธิ์และไม่เป็อันตรายในดวงตาของนาง “เสด็จแม่ ท่านสอนสั่งหลิงเอ๋อร์มามากแล้ว ดังนั้น วันนี้หลิงเอ๋อร์จึงมาที่นี่เพื่อตอบแทนคำสอนสั่งอย่างเมตตาของท่าน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็มีพลังมากขึ้น
เมื่อครู่ที่เขาออกไปเดินเล่น ได้โรยผงยาหลอนประสาทที่ได้รับมาจากมู่จื่อหลิงไว้หน้าประตู
ผงยาหลอนประสาทไม่มีสีไม่มีกลิ่น แต่เต็มไปด้วยสรรพคุณทางยา
สามารถระงับจิตใจของผู้คนได้ในเวลาอันสั้น ทำให้คนหลงลืมไปชั่วขณะหนึ่งและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกทั้งภายในครึ่งชั่วยามผงยาหลอนประสาทจะไม่ระเหยไปแม้จะมีการปรับเปลี่ยนของอากาศ
ดังนั้น ยามนี้ภายในระยะสามจ้าง [1] นอกห้องอาหารจึงไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้ และไม่ว่าที่นี่จะเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ใดๆ ก็ตาม ก็ยังถือได้ว่าเป็การยากที่จะถูกพบเจอได้
ขั้นตอนนี้มีการหารือกันมานานก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่ตำหนักคุนหนิง เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกส่งเสียงดัง
การแสดงที่ดีจบลงในที่สุด และดูเหมือนว่าเพียงแค่ชิมก็สามารถรับรู้ได้ถึงความอร่อยแล้ว
อยากเห็นว่าพี่สะใภ้สามจะตอบแทนพระคุณของฮองเฮาสำหรับการสอนสั่งของนางอย่างไร หลงเซี่ยวเจ๋อนั่งไขว้ขาอย่างสบายใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ เขากำลังรอชมการแสดงที่ดีที่จะเริ่มต้นด้วยความสนใจ
ฮองเฮาที่ยังคงติดอยู่กับรสชาติของความตื่นตระหนกไร้การตอบสนองไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะถามอย่างว่างเปล่าว่า “หลิงเอ๋อร์ เ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด”
ทันทีที่คำพูดของฮองเฮาจบลง นางก็ได้รับคำตอบทันที
เมื่อครู่นางยังหมกมุ่นอยู่กับการควบคุมมู่จื่อหลิง ภายใต้ความฝันอันแสนหวานที่หลายสิ่งหลายอย่างสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่ยามนี้เองที่นางนึกถึงสิ่งที่มู่จื่อหลิงกล่าวออกมาว่า ทำเพื่อตอบแทนความเมตตาที่ช่วยสอนสั่ง
ความเมตตาที่ช่วยสอนสั่ง? เปลือกตาของฮองเฮาเปิดขึ้น นางนึกถึงคำพูดดื้อรั้นที่มู่จื่อหลิงบอกกับนางเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาได้
ช่างกล้า...ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้อวดดีนัก!
นางกล้ามาก!
ฮาฮา นางหนูผู้โง่งมที่รักแร้ยังไม่ทันมีขน [2] จะสามารถต่อกรกับนางได้อย่างไร? ไร้สาระยิ่งนัก!
ต่อให้เด็กหน้าเหม็นพวกนี้เข้ามาพร้อมกันแล้วจะอย่างไร? ยามนี้นางดื่มน้ำแกงเมล็ดบัวแล้ว แม้แต่เทพเซียนก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้แล้ว
ตอบแทนนางหรือ? นาง้าที่จะดูว่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ยังจะสามารถเล่นกลอะไรได้อีก? ฮองเฮาเยาะเย้ยด้วยความรังเกียจและดูถูกอยู่ในใจ
“โอ้ สอนสั่งหรือ?” ฮองเฮาถามย้ำ เงยหน้าขึ้นมอง แสร้งทำเป็งุนงง สายตาที่อ่อนโยนของนางสบตากับมู่จื่อหลิง...แต่นางก็เหลือบมองเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่แค่ชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว ดวงตาที่สงบและไม่สั่นคลอนของมู่จื่อหลิงก็ดูเหมือนจะเปล่งประกายด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่หลบซ่อนอยู่ ซึ่งมันทำให้ฮองเฮาเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
เฝ้ามองการหลบตาของฮองเฮาที่สั่นสะท้าน ปากของมู่จื่อหลิงก็ยิ้มเยาะเย้ย
ดูเหมือนว่าฮองเฮาผู้อยู่ใต้เพียงผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น...ก็ทำได้เพียงเท่านี้เอง
“ใช่” มู่จื่อหลิงกะพริบตาสีเข้มของนางและทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะจงใจพูดบางอย่างที่หนักหน่วง “ใช่ มันคือการสอนสั่ง”
คำว่า ‘การสอนสั่ง’ ของมู่จื่อหลิงถูกจงใจทำให้รุนแรงขึ้นราวกับเป็การเตือนความจำ
น่าเสียดาย...ฮองเฮาสงบลงและไม่สังเกตเห็นคำพูดที่มู่จื่อหลิงจงใจทำให้รุนแรงขึ้น
ยิ่งกว่านั้น มู่จื่อหลิงยังเอ่ยถึงมันบ่อยครั้งมาั้แ่ต้นจนถึงบัดนี้ แม้กระทั่งเื่ของซุนมามาที่นางเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ฮองเฮาก็ไม่มีเวลาคิดถึงมัน
เพื่อซ่อนความตื่นตระหนกในใจของนาง ฮองเฮาจึงหลับตาลงครู่หนึ่ง นิ้วเรียวยาวที่ผ่านการตกแต่งเป็อย่างดีชี้ส่ายไปมาอย่างไร้ทิศทาง
“หลิงเอ๋อร์พูดเสมอว่าเปิ่นกงสอนสั่งเ้า เปิ่นกงสอนอะไรเ้าบ้างหรือ” เสียงของฮองเฮายังคงนุ่มนวล แต่กลับแฝงความเยือกเย็นและความเย่อหยิ่งในการแสดงออกของนาง
มู่จื่อหลิงคงกำลังพูดถึงการปะาชีวิตนางในตำหนักโซ่วอันในครั้งนั้น ฮองเฮาเดาอย่างไม่แน่ชัดด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
การยืมมือของผู้อื่นเพื่อขจัดปัญหาในวันหน้า นางไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวเช่นนี้ และยามนี้นางต้องสอนบทเรียนให้กับยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ก่อน
ผู้ใดจะไปรู้ ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ยังคงไม่รู้จักสำนึกผิดและแก้ไข เข้าขัดขวางในทุกย่างก้าว สิ่งกีดขวางที่ขวางทางนาง นางย่อมต้องกำจัดมันออกไปอย่างเร่งด่วน
ในเวลานี้ ฮองเฮายังเดาไม่ได้ว่ามู่จื่อหลิงจะพูดอะไรมากกว่าเื่ในครั้งนั้นได้ เพราะยังมีการสมคบคิดและกลอุบายทั้งหมดที่นางวางแผนไว้ทำลับหลัง และมู่จื่อหลิงไม่มีทางรู้
เพียงเพราะฮองเฮามีความมั่นใจมากเกินไป นางยังคงคิดว่านางสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ และคิดว่าการกระทำของนางราบรื่นไร้ที่ติ
หาได้นึกไม่ ั้แ่่ต้นของแผนการสมรู้ร่วมคิดของนาง กลอุบายแต่ละขั้นตอนล้วนได้รับการเปิดเผยมานานแล้ว
ฮองเฮาผู้นี้ช่างหยิ่งผยองราวกับนกยูง [3] ยามนี้เมื่อเห็นว่าตนเองได้ประโยชน์แล้ว แม้แต่สมองก็ไม่ทำงานอีกต่อไป
มู่จื่อหลิงส่ายหัวให้กับเื่นี้อย่างลับๆ จนปัญญาแล้วจริงๆ นางเตือนมาั้แ่ต้นจนถึงบัดนี้ว่า ซุนมามาได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนจนหมดแล้ว
น่าเสียดาย...ฮองเฮาเปี่ยมเมตตาผู้นี้กลับรนหาที่ตายด้วยตนเอง ทั้งยังขุดหลุมทีละนิดและเตรียมะโลงไปด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรแล้ว
มู่จื่อหลิงเดินเข้ามาใกล้ โดยเหลือระยะห่างเพียงสองก้าว มุมปากกระตุกราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะถามอย่างไร้เดียงสาว่า “เสด็จแม่ไม่รู้หรือว่าการสอนสั่งที่หลิงเอ๋อร์กล่าวนั้นคือสิ่งใด?”
ฮองเฮานั่งยกขาชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง ยกมือขึ้นกอดอกแล้ววางศอกไว้บนเข่า ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสง่างาม แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เปิ่นกงควรรู้สิ่งใดหรือ? พูดมาสิ...”
ก่อนที่ฮองเฮาจะพูดจบ นางก็เห็นว่ามู่จื่อหลิงเข้ามาใกล้นางแล้ว นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่กลับเห็นเพียงเงาสีม่วงอ่อน
ในยามนี้ ระยะห่างระหว่างมู่จื่อหลิงและฮองเฮาอยู่ใกล้มาก ห่างกันเพียงสองก้าวเท่านั้น
การจ้องมองของฮองเฮายามที่มองขึ้นไปยังมู่จื่อหลิง กลับกลายเป็ทนเงยหน้าขึ้นมองไม่ไหว
เห็นท่าทีที่หยิ่งทะนงและสงบของมู่จื่อหลิง ไม่วู่วามหรือใจร้อน ดูมีความสงบเยือกเย็น แต่ก็ยังให้อารมณ์ที่สูงส่ง
ชุดกระโปรงยาวธรรมดาที่มีแขนเสื้อแคบ แต่กลับส่งผลให้นางมีอารมณ์ที่แตกต่าง ทำให้ฮองเฮาที่อยู่ข้างๆ ซึ่งแต่งกายด้วยชุดที่งดงามหรูหรา ภายใต้ชุดผ้าไหมเนื้อดีดับวูบไปในทันใด
กลิ่นอายที่ทรงพลังและบรรยากาศสูงส่งดังกล่าว ส่งให้นางมีความสง่าและสูงส่งกว่าองค์หญิงที่มีการศึกษา
ในยามนี้เมื่อมู่จื่อหลิงยืดตัวขึ้น ยกมือขึ้นกอดอก ก้มลงมองฮองเฮา ราวกับว่านางกำลังมองคนที่ไม่โดดเด่นและไม่มีความสำคัญ
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นและพยายามเปิดเปลือกตาออกกว้างเมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงกล้าที่จะวางตัวและจ้องมองนางอย่างเ็าราวกับนางเป็เพียงมดแมลง
มารดาผู้สง่างามแห่งแผ่นดินผู้หนึ่งมองขึ้นไปยังเด็กหน้าเหม็นผู้หนึ่ง ทั้งยังถูกสายตาดูถูกเหยียดหยามกดดันอีกด้วย
ทันใดนั้น ฮองเฮาก็รู้สึกเพียงว่าฐานะอันสูงส่งที่สุดของนาง รวมถึงสง่าราศีและความยิ่งใหญ่ในตำแหน่งที่เหนือกว่านั้นกำลังถูกดูิ่
ความโกรธในหัวใจของฮองเฮาเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และในที่สุดนางก็พูดด้วยความโกรธว่า “มู่จื่อหลิง เ้ากล้าหาญยิ่งนัก”
ไม่เคยมีผู้ใดกล้ามองนางเช่นนี้...อย่างน้อยก็ไม่กล้าที่จะมองนางอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
มู่จื่อหลิงยกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “เสด็จแม่ ท่านไม่รู้หรือ หลิงเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาด้วยการกินน้ำดีเสือ [4]”
“เ้าช่างกล้า...” ฮองเฮายกมือขึ้นเตรียมจะตบลง แต่...
“กล้าดีอย่างไร?” มู่จื่อหลิงเลิกคิ้วและจ้องไปที่ฮองเฮาราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เพียงสบดวงตาคู่นั้น คำพูดของฮองเฮาก็ชะงักลงทันที มือของนางหยุดนิ่ง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจบรรยายได้
เพียงแต่นี่มัน...มีความผิด ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะฏหรือ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปยังมู่จื่อหลิงที่สงบนิ่ง ความโกรธในหัวใจของฮองเฮาก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก นางนั่งตัวแข็งบนเก้าอี้ไม่กล้าขยับ
แม้กระทั่งหลงเซี่ยวเจ๋อที่เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ก็ยังรู้สึกกลัวกับการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญของมู่จื่อหลิง เขาจึงยืดหลังตรง และนั่งบนเก้าอี้ด้วยความงุนงง
หลงเซี่ยวเจ๋อจ้องมองอย่างว่างเปล่าด้วยดวงตาที่บริสุทธิ์ราวกับน้ำ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย
บ้าแล้ว! พี่สะใภ้สามจะเอะอะเื่อะไรกันแน่?
นางบอกว่านางสามารถหยุดฮองเฮาได้ด้วยคำพูดของนาง และนางพึ่งพาเพียงวาจาของนางจริงๆ!
แต่ การใช้เพียงวาจานั้นน่าเชื่อถือได้หรือ?
ไม่ว่าจะปากแกร่งกล้าเพียงใด ก็ไม่น่าจะใช้เช่นนี้ได้!
นี่ นี่มันเื่อะไรกัน ป่าเถื่อน! บ้าไปแล้ว
เดินตรงเข้าไปจ้องหน้าฮองเฮาโดยไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว ทั้งดูถูกและยั่วยุให้ฮองเฮา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างน่าสะพรึงกลัว
ยังกล่าวว่าเติบโตขึ้นมาด้วยการกินน้ำดีเสืออีกหรือ? หลงเซี่ยวเจ๋อ รู้สึกเวียนหัวในทันใด จิตใจของเขาว่างเปล่า มันเหมือนกับความฝัน
คนผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา นี่คือมารดาแห่งแผ่นดิน เป็ผู้ที่สูงส่ง เป็ฮองเฮาของใต้หล้า แม้ว่านางจะเป็ฉีหวางเฟย นางก็ไม่สามารถหยิ่งผยองต่อหน้าฮองเฮาได้!
และยามนี้พวกเขาก็ไม่ได้จับจุดอ่อนของฮองเฮาได้ ไม่อาจใช้ขนไก่มาเป็ลูกศรได้ [5] ทำเช่นนี้จะดีจริงหรือ?
พี่สะใภ้สามแน่ใจว่าจะสามารถใช้เพียงทักษะทางวาจาในการจัดการกับฮองเฮาได้จริงๆ หรือ?
หากไม่แน่ใจ หากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อย เช่นนั้นทุกสิ่งคงจบสิ้นแล้ว!
หากคืนนี้พูดคุยกันจนเกิดแตกหักกับฮองเฮา แม้จะรอดไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็จะไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขได้ในหลังจากนั้น!
แต่นี่มันถือว่าแตกหักแล้ว! จะทำอย่างไร? หลงเซี่ยวเจ๋อแทบจะร้องไห้โฮออกมาแล้ว เกือบจะวิ่งเข้าไปหามุมแล้วยึดเกาะผนังไว้
หลงเซี่ยวเจ๋อ กลืนน้ำลายอย่างไม่อยากเชื่อ น้ำตาเริ่มรินไหลอยู่ภายใน ก่อนที่เขาจะถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงว่า “พี่...พี่สะใภ้สาม ท่าน...” ท่านจะฏหรือ?
ดูเหมือนว่าจะเข้าใจว่าหลงเซี่ยวเจ๋อหมายถึงอะไร มู่จื่อหลิงมองเขาอย่างมั่นใจ
ก็ได้ เพียงแค่มองมาเช่นนั้น หัวใจของหลงเซี่ยวเจ๋อก็ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในเวลานี้ ดวงตาที่โง่เขลาของเขาฉายแสงเป็ประกายโดยไม่รู้ตัว และหัวใจที่กำลังสับสนก็พลิกกลับมาได้ในทันที มีความชื่นชมอย่างไม่ปิดบังและยังมีความเคารพบูชาอย่างลึกซึ้งอยู่ในดวงตาของเขา
ฏก็ฏ ก่อนตายยังได้กระตุ้นและยั่วยุฮองเฮาสักครั้ง เช่นนั้นคงตายตาหลับแล้ว
เดิมคิดว่ามันเป็เพียงการแสดงที่น่าตื่นเต้น แต่ยามนี้มันทั้งน่าตื่นเต้นและระทึกอย่างไม่คาดฝัน ทำให้เืของสัตว์ร้ายในตัวคนเดือดพล่าน ตื้นตันอย่างสุดซึ้ง
โดยปกติ ไม่ว่าเขาจะหยิ่งทะนงและกล้าหาญเพียงใด ขีดจำกัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการแอบจัดการกับนางสนมในวังหลังอย่างลับๆ แต่ในวันนี้เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เห็นผู้ที่หยิ่งผยองยิ่งกว่าเขา
คำว่า...ูเาย่อมมีที่สูงกว่าเหมาะสมแล้วจริงๆ
พี่สะใภ้สามของเขาแตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะได้รับความกล้าหาญเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เขาก็ไม่กล้าที่จะดูิ่ความยิ่งใหญ่ของฮองเฮาด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้!
มู่จื่อหลิงเห็นว่าฮองเฮา้าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกนางทำให้กระอักกระอ่วน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “เสด็จแม่ ท่านเคยได้ยินคำพูดนี้หรือไม่? ถ้าไม่อยากให้ผู้ใดรู้ก็จงอย่าทำ [6]”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอีกครั้งว่า “หลิงเอ๋อร์ได้เห็นคนจำนวนมากที่ทำสิ่งเลวร้าย แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการชำระความจาก์”
ในยามนี้ มู่จื่อหลิงดูเหมือนจะเปล่งประกายด้วยกลิ่นอายที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ซึ่งทำให้ฮองเฮาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงดูเหมือนจะตัวเล็กลงมาก
ถูกมู่จื่อหลิงจ้องมองอย่างเย่อหยิ่ง ฮองเฮาอยากจะใช้เท้าเตะเก้าอี้แล้วลุกขึ้นยืนตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าเท้าของนางหนักราวพันจิน และนางก็ไม่สามารถใช้กำลังใดๆ ได้เลย
เพราะเมื่อร่างกายของมู่จื่อหลิงเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นไปอีก แค่ดูก็น่าเหลือเชื่อแล้ว มันทำให้คนไม่กล้ามองตรงเข้าไป และคนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันก็หายใจลำบาก
เป็เพราะฮองเฮามักจะรู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังควบคุมหัวใจของนางอยู่ และมันทำให้นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ฮองเฮาย่อมไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งหัวใจของนางจะถูกควบคุมโดยผู้อื่น
ดังนั้น......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] จ้าง (丈) เป็หน่วยวัดระยะ โดย 1 จ้าง ยาวประมาณ 10 ฟุต
[2] รักแร้ยังไม่ทันมีขน (毛都还没长齐) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ยังไม่โตเต็มวัยหรือยังไร้เดียงสา
[3] นกยูง (孔雀) เป็สัญลักษณ์ของบุคคลที่หลงตัวเอง ภาคภูมิใจในตนเองจนเกินพอดี
[4] การกินน้ำดีเสือ (吃豹子胆) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า กล้ามาก กล้าหาญ ส่วนมากจะใช้คำเต็มว่า 吃了熊心豹子胆 โดยภาษาไทยจะใช้เป็กินดีหมีหัวใจเสือ
[5] ขนไก่มาเป็ลูกศร (令箭的鸡毛) เป็คำอุปมา มีความหมายว่าคนไร้อำนาจออกคำสั่งกับผู้มีอำนาจมากกว่า ซึ่งมันอาจทำเช่นนั้นได้
[6] ถ้าไม่อยากให้ผู้ใดรู้ก็จงอย่าทำ (若要人不知 除非己莫为) เป็วลี มีความหมายว่าหากคุณทำสิ่งเลวร้าย ผู้คนจะได้ยินเื่นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วความชั่วจะถูกเปิดเผย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้