หอเชื่อมดาราเป็สถานที่ที่พิเศษมาก
ดูจากภายนอก มันเป็เพียงหอคอยธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในซูฉางอันถึงพบว่ามันเป็สถานที่ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เขายืนตระหง่านท่ามกลางหมอกหนา รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยหมอกสีขาว ทำให้มองเห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น
เขาลองเดินไปข้างหน้าเพื่อสำรวจสถานที่ และพบว่าที่แห่งนี้กว้างใหญ่มากจริงๆเขาเดินอยู่นานเกือบสิบห้านาที แต่ก็ยังไม่พบจุดสิ้นสุดของห้อง
นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อวี้เหิงบอกให้เขาเข้ามาในหอเชื่อมดาราบอกว่าจะได้รับพลังที่มากพอจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นแต่กลับไม่ยอมบอกว่าซูฉางอันต้องทำอย่างไรหลังเข้ามาในนี้
เขายืนนิ่งอยู่อีกราวสิบห้านาที และในที่สุดเขาก็เริ่มหมดความอดทนแล้ว
จะปล่อยให้เป็แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ใช่เื่... ซูฉางอันคิดขึ้นในใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขายืดตัวตรง แล้วเริ่มขับเคลื่อนปราณดาราในร่างขึ้นส่งให้พลังิญญากระจายออกไปรอบด้านในพริบตา
เขาส่องประกายแสงคมเฉียบขึ้นในดวงตา พลางอ้าปากขึ้นทันที
“มีคนอยู่ไหม!?”เขาะโเข้าไปในม่านหมอก
พลังิญญาภายในร่างขายให้เสียงของเขาดังกึกก้องราวกับระฆังั์ และเสียงนั้นกระจายไปรอบด้านในพริบตา
มันดังก้องอยู่นานประมาณสิบอึดใจ ก่อนจะเงียบลงในที่สุดจากนั้นซูฉางอันก็เอาแต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกำลังรออะไรบางอย่างเช่นนั้น
น่าผิดหวังที่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ไม่มีทั้งเสียงตอบกลับ หรือการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงให้เห็นถึงปัญหาสองอย่าง ประการที่หนึ่งที่นี่กว้างใหญ่มากและประการที่สอง ไม่มีใครอยู่ที่นี่
ทำเอาเขากลัดกลุ้มขึ้นมาทันที
แต่เขาก็ยังเชื่อว่าอวี้เหิงไม่มีทางโกหกตนแน่ จึงทำใจให้สงบอีกครั้งแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่
ในเมื่อหาไม่เจอ เช่นนั้นก็รอให้อีกฝ่ายมาหาเองก็แล้วกัน ซูฉางอันคิดเช่นนั้น
แต่หลังจากนั้น เขากลับพบกับเื่ที่น่ายินดีคือภายในหอเชื่อมดาราแห่งนี้มีปริมาณพลังิญญาที่หนาแน่นมากกว่าข้างนอกหลายเท่า
ถือว่ามาฝึกพลังก็แล้วกัน เขาคิดแบบนั้น และเริ่มดูดซับพลังิญญาจากรอบด้าน
เวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปนานถึงสามชั่วยามแล้ว
“เฮ้อ” เสียงถอดถอนใจของใครบางคนดังขึ้นท่ามกลางไอหมอก
ซูฉางอันเบิกตาขึ้นกะทันหัน เขารีบลุกพรวดด้วยความรวดเร็ว ดึงดาบที่สะพายบนหลังออกมาถือมองสำรวจไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
“ใครกัน!? ” เขาถามด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“เ้าช่างเป็คนที่ประหลาดเสียจริง” เสียงนั้นดังขึ้นจากทุกสารทิศโดยมีความจนปัญญาและตกตะลึงแฝงอยู่ในน้ำเสียง
เมื่อสิ้นเสียง ไอหมอกรอบด้านเริ่มสลายไปเล็กน้อย แล้วร่างของใครบางคนก้าวเดินออกมาจากม่านหมอกในที่สุด
ซูฉางอันเพ่งมองไปที่ร่างนั้น แต่เพราะอยู่ห่างกันหลายจั้ง เขาจึงมองไม่เห็นรูปโฉมของคนผู้นี้เขาแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่านั่นเป็ร่างของหญิงหรือชาย ใช่เพราะหมอกหนามากเกินไปแต่เพราะร่างนั้นเป็เพียงเงาเลือนรางอยู่แล้วต่างหาก
เขาไม่เคยเจอสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน ทำเอาซูฉางอันรู้สึกตื่นตระหนกกว่าเดิมขณะที่ดาบในมือก็ส่งเสียงกังวานขึ้น ราวอะไรบางอย่างได้เช่นนั้น
“เฮ้ เ้าหนุ่ม เ้าเองรึ เราเจอกันอีกแล้วนะ” แม้ร่างนั้นจะไม่มีรูปโฉมชัดเจนแต่ซูฉางอันก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังทักทายดาบในมือของเขา ไม่ใช่เขา
“เ้าเป็ใครกัน? ” ในที่สุดซูฉางอันก็ถามออกไป
“ข้าเป็ใครอย่างนั้นรึ? ” ร่างนั้นส่งเสียงหัวเราะขึ้นเบาๆราวเพิ่งฟังเื่น่าขันเข้าเช่นนั้น
และในตอนนั้นเอง จู่ๆ หมอกที่ปกคลุมอยู่ทุกสารทิศสลายไปในพริบตา ทำให้เขาพบว่าตนกำลังอยู่ในมิติว่างเปล่าอันแสนมืดมนแห่งหนึ่ง
เสียงหนึ่งดังขึ้นทันที “ข้าคือวู๋ถง”
สตรีเท้าเปลือยในชุดสีแดงทะยานลงมาจากทาง้าแล้วมายืนอยู่ข้างเขาในเสี้ยววินาที
“เป็มั่วทิงอวี่! ”
ชายผู้แบกดาบเอาไว้บนหลังพุ่งมาจากทางเบื้องบนแล้วมาหยุดยืนอยู่ทางด้านขวาของเขา
“เป็ฉู่ซีฟง!”
“เป็อวี้เหิง!”
“เป็ชิงหลุน!”
ผู้คนที่ซูฉางอันคุ้นเคยเป็อย่างดีปรากฏกายขึ้นคนแล้วคนเล่า พวกเขาหยุดยืนอยู่รอบกายเขาแต่กลับไม่ยอมพูดยอมจา เพียงมองมาทางเขาด้วยสายตาเ็าเท่านั้น
“เป็ท้องฟ้า!”
ท้องฟ้าสีครามปรากฏขึ้นเหนือหัวทันทีเมื่อสิ้นเสียง
“เป็ผืนดิน!”
ผืนหญ้าสีเขียวปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา และทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา
“เป็สรรพสิ่ง!”
หมู่เมฆปรากฏขึ้นบนท้องนภา ต้นไม้มากมายงอกจากพื้นดิน ทันใดนั้นนกตัวหนึ่งบินผ่านไปแต่เพียงไม่นานสัตว์ป่าที่ดักซุ่มอยู่ในพงไพรตะครุบนกตัวนั้นเอาไว้ แล้วดึงมันลงจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วแต่ยังไม่ทันที่สัตว์ป่าจะได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหาร ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งทะลุผ่านหัวของมันไปเสียก่อนเ้าสัตว์ร้ายส่งเสียงโหยหวนด้วยความเ็ป และล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดินอย่างไม่มีวันจะฟื้นคืนจากนั้นร่างของมนุษย์หลายคนเดินเข้ามาจากแดนไกล ใบหน้าของคนเ่าั้แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขพวกเขายกร่างของสัตว์ที่เพิ่งล่าขึ้นมาจากพื้นดินด้วยรอยยิ้มก่อนจะมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านซึ่งมีควันไฟอันเป็สัญลักษณ์ของชุมชนมนุษย์ลอยขึ้นไปบนอากาศในที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ซูฉางอันใจนพูดไม่ออกแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา...
เสียงแหลมๆ ของร่างอันแสนเลือนรางพลันถูกกดลงต่ำ
“และเป็ความว่างเปล่าเช่นกัน” เขากล่าวเช่นนั้น
ทันใดนั้น ทั้งท้องฟ้า แผ่นดิน และสรรพสิ่งที่เคยปรากฏขึ้นต่างสลายไปอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าไปรวมอยู่ในร่างอันแสนเลือนรางตรงหน้าในที่สุด
วินาทีนั้นดูเหมือนซูฉางอันจะเข้าใจแล้วว่าภาพทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นเป็ฝีมือของร่างตรงหน้านั่นทำให้เขารู้สึกโมโหเล็กน้อย “เ้าเป็ใครกันแน่!” ซูฉางอันพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่ใช่รึ? ข้าคือความว่างเปล่า”ร่างนั้นพูดขึ้น
“ความว่างเปล่า? เป็ชื่อที่ประหลาดจริงๆ”ซูฉางอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมเ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละที่นี่ไม่ใช่หอเชื่อมดารารึ? ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงอยู่ที่นี่แต่ข้าก็อยู่ที่นี่มาโดยตลอด อยู่เพื่อรอคอยทุกคนที่เข้ามาในหอเชื่อมดารา”
“รอทุกคนที่เข้ามาในหอเชื่อมดาราอย่างนั้นรึ? เหตุใดต้องรอพวกเขาด้วยละ?”
แม้ร่างนั้นจะไม่มีใบหน้าแต่ซูฉางอันก็มั่นใจว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งจะมองบนใส่ตนไป
“คนที่เข้ามาในหอเชื่อมดารา ก็ต้องมาฝึกจิตใจน่ะสิ และข้าก็รอพวกเขาเพื่อฝึกจิตใจให้คนเ่าั้อย่างไรละ” ร่างนั้นตอบกลับมา
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูฉางอันก็ะเิความดีใจขึ้นมาทันที“เ้าเป็ผู้ฝึกจิตรึ?รีบฝึกจิตให้ข้าเถอะ” เขาพูดราวทนรอไม่ไหว
“ข้าก็อยากฝึกจิตให้เ้าเหมือนกัน แต่ว่า...”น้ำเสียงของร่างนั้นเปลี่ยนจากกลัดกลุ้มมาเป็โมโหในพริบตา
“่ที่ผ่านมา สำนักเทียนหลานคิดจะทำอะไรกันแน่ทำไมถึงส่งแต่คนประหลาดๆ เข้ามาอยู่เรื่อย”
“คนที่เข้ามาครั้งก่อนโน้น เป็นักดาบที่มีพลังอยู่ระดับคุมพิภพคนหนึ่งเขาเอาดาบเข้ามาด้วย และทันทีที่เข้ามาถึง คนๆนั้นก็ใช้ดาบฟันจนจิตมารของเขาแหลกสลายลงไปแทบจะทันที”
“คนที่มาครั้งก่อนก็เหมือนกัน เขาเป็นักพรตคนหนึ่งแต่จิตมารของเขากลับเป็หญิงที่ไม่มีพลังเลยสักนิด สองคนนั้นลีลาโอ้เอ้อยู่ตั้งครึ่งปีกว่าชายคนนั้นจะใช้กระบี่สังหารหญิงผู้นั้นลงได้”
“ครั้งนี้ยิ่งแล้วใหญ่! คนที่มาดันเป็เด็กหนุ่มที่มีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตแถมยังไม่มีจิตมารอีก แล้วจะให้ข้าฝึกจิตเ้าได้อย่างไรละ!? ”
“แล้วยังมีครั้งก่อนนู้น...”
ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่าเขากำลังบ่นเื่อะไรกันแน่แต่เขากลับรู้สึกว่าความอัดอั้นของร่างตรงหน้าคล้ายจะมีความเกี่ยวข้องกับตนเช่นนั้นนั่นทำให้เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย ซูฉางอันเก็บดาบ นิ่งอยู่กับที่รอให้ร่างตรงหน้าระบายความอัดอั้นออกมาจนหมดอย่างเงียบๆ
ทว่าร่างตรงหน้าดูจะแค้นสำนักเทียนหลานเบาเลย เขาบ่นฉอดๆ อยู่นานเท่าไรก็ไม่ทราบแต่ซูฉางอันที่ตั้งใจนับอย่างจริงจังพบว่าเขาระบายเื่ราวที่ไม่พอใจออกมาประมาณสองร้อยกว่าเื่เห็นจะได้ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจกับเื่ที่พูดออกมาเป็อย่างมาก แน่นอนซูฉางอันเป็คนที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจที่สุด
ในที่สุด หลังผ่านไปหลายชั่วยาม ร่างนั้นก็หันกลับมามองซูฉางอันราวระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจออกมาจนหมดแล้วเช่นนั้น
“เฮ้ เ้าหนุ่ม เ้าชื่ออะไรรึ” เขาถาม
“ซูฉางอัน”
“นี่ ซูฉางอัน ฟังให้ดีล่ะ” เขากระแอมเพื่อปรับเสียง “เ้าไม่มีจิตมารอยู่ในตัวข้าจึงไม่อาจฝึกจิตให้เ้าได้”
“หา? ”ซูฉางอันชะงักไปเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านัก “แล้วข้าควรทำเช่นไร? ข้ายังกลับไปได้หรือเปล่า? ”
“เมื่อเข้ามาในหอเชื่อมดารา มีทางเลือกเพียงสองอย่าง หนึ่งตาย สองฝึกจิตสำเร็จแต่หากเ้าทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง เช่นนั้นเ้าก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้”ร่างนั้นพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี? ” ซูฉางอันตื่นตระหนกขึ้นมาในพริบตาเขาไม่อยากอยู่ในที่ที่มีแต่ความมืดมนร่วมกับร่างที่ไม่มีใบหน้าที่ชัดเจนแบบนี้ไปจนแก่ตายหรอกนะ
“เ้าหาทางฝึกเอาเองเถอะ!” ร่างนั้นพูดด้วยท่าทางราบเรียบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้