อาการป่วยของกู้ฉีแม้แต่หมอหลวงต่างก็สิ้นไร้หนทางรักษา
เมื่อต้นปีที่แล้ว ท่านหมอหลวงหม่าได้บอกเป็การส่วนตัวว่าเป็การยากที่กู้ฉีจะอดทนให้ผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้
แต่ตอนนี้ไม่เพียงอดทนผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บมาได้เท่านั้น แต่สภาพจิตใจและสีหน้ากลับดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
คนชราใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิต เื่ที่ประสบพบเจอมีมากมาย จึงยิ่งเชื่อว่าชีวิตถูกลิขิตโดย์ โชคชะตาที่ท่านหมอหลวงล้วนยอมแพ้ แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง โชคชะตากลับสามารถพลิกแปรเปลี่ยนได้ นี่ไม่ใช่ว่าเป็ลิขิตแห่งโชคชะตาหรือ?
กู้ฉีออกจากบ้านไปท่องเที่ยว ไม่มีแผนการเดินทางอย่างละเอียดแน่นอน เพียงเดินๆ หยุดๆ มุ่งลงไปทางทิศใต้ อาณาจักรต้าสยาอาณาเขตกว้างใหญ่ ความเป็ไปได้ที่จะบังเอิญพบเข้ากับหนึ่งครอบครัวเช่นนี้จะมีสักเท่าไรกันเชียว?
โชคชะตาลิขิตมาให้มีชีวิต ์ย่อมช่วยเหลือ
ฮูหยินชราสกุลกู้ดื่มยาเสร็จและผล็อยหลับไป
อันซื่อจูงบุตรชายกลับมาถึงที่พักไท่อัน เหล่าคนใช้หญิงยกของว่างและน้ำชาเข้ามา
อันซื่อมองสีหน้าที่ยังคงขาวซีดจากอาการป่วยเล็กน้อยของกู้ฉี ปวดใจจนเบ้าตาแดงรื้นขึ้น “ฉีเอ่อร์ เ้าพักสักหน่อยก่อน บิดากับพี่ชายเ้ายังไม่กลับบ้าน รอตอนเย็นพวกเราค่อยมารวมตัวครอบครัวกันเสียหน่อย”
กู้ฉีอมยิ้มและพยักหน้า ขณะนี้เขาเหนื่อยแล้วจริงๆ
“เด็กสาวอวี่เวยนั่นก่อความวุ่นวายเล็กน้อย แต่นางไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เ้าออกไปข้างนอกครึ่งค่อนปี นางล้วนถามถึงเ้าอยู่หลายครั้ง” อันซื่ออดกล่าวคำดีๆ เพื่อโหยวอวี่เวยไม่ได้
ั้แ่เด็กกู้ฉีไม่ค่อยชอบโหยวอวี่เวยเท่าไร ไม่ชอบที่นางพูดมากเอะอะโวยวายเสียงดังและหยิ่งยโสเอาแต่ชอบร้องไห้ ตอนมารับเขาที่ศาลาสิบลี้ นางถามซอกแซกเสียงดัง ตำหนิเขาที่ไม่เขียนจดหมายหานางต่างๆ นานา กู้ฉีรู้สึกปวดหัว จึงไล่ให้นางกลับบ้านไปออกมาตรงๆ
คิดถึงสายตาขมขื่นก่อนจากไปของนางขึ้น กู้ฉีอดถอนหายใจอยู่ข้างในหนึ่งทีไม่ได้ “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วขอรับ”
“แม่รู้ นางถูกท่านน้าของเ้าเลี้ยงมาอย่างพะเน้าพะนอ นิสัยเอาแต่ใจเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็จริงใจและเป็ห่วงเ้า เ้าดูสิ พี่น้องหญิงชายสกุลกู้มากมายเพียงนี้ จะมีสักกี่คนที่จริงใจคิดถึงเ้าได้” ใบหน้าที่บำรุงรักษามาอย่างดีของอันซื่อมีความขุ่นเคืองและไม่พอใจเล็กน้อย
จวนสกุลกู้ไม่ได้แยกบ้าน พี่น้องผู้ชายสามบ้านล้วนอาศัยอยู่ด้วยกัน กู้หลินเป็บุตรชายคนโตที่จัดการครอบครัว ตำแหน่งในราชสำนักใหญ่โต อันซื่อเป็ลูกสะใภ้คนโต ควบคุมการหุงหาอาหารทั้งหมดในจวนสกุลกู้ กล่าวตามหลักแล้ว นางน่าจะควบคุมน้องสะใภ้สองบ้านไว้ได้มั่นคง แต่น้องสะใภ้ของนางทั้งสองคนล้วนไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน [1] พี่น้องผู้ชายสองบ้านร่วมมือกันและใช้อำนาจของผู้เป็พี่ชายคนโตของพวกเขา ช่วยทำให้การค้าดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค หลายปีมานี้ได้กำไรเป็อ่างเป็โถ
เมื่อถุงเงินนูนขึ้นแล้ว คนก็เริ่มฮึกเหิมขึ้นด้วย ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักฐานะที่ต่ำที่สูง เชอะ อันซื่อพ่นลมหายใจกระแทกหนึ่งที บุตรชายคนเล็กร่างกายอ่อนแอป่วยบ่อยั้แ่เด็ก ไม่รู้ว่าในที่ลับน้องสะใภ้สองคนจะพากันถักทอถ้อยคำแย่ๆ ขึ้นกันเท่าไร พาให้หลานชายและหลานสาวล้วนเ็าไม่ให้ความสนใจต่อกู้ฉีอย่างมาก
กู้ฉีนวดระหว่างคิ้ว ภายในวงศ์ตระกูลใหญ่โตไม่เพียงมีเื่ยุ่งยากซับซ้อนมากมาย แต่ความสัมพันธ์ของคนที่แตกแยกสลับซับซ้อนยิ่งกว่า
กู้จี้ท่านอาคนรองเป็ครอบครัวที่สอง มีบุตรชายสามคนและบุตรสาวเจ็ดคน กู้เซียวท่านอาคนที่สามเป็ครอบครัวที่สาม มีบุตรชายสี่คนบุตรสาวห้าคน
รวมกับบุตรชายสามคนและบุตรสาวห้าคนของครอบครัวพี่ชายคนโต ทุกครั้งเมื่อทั้งหมดมารวมตัวกันในวันฉลองเทศกาล เพียงอาหารบนโต๊ะเลี้ยงอย่างเดียวล้วนจัดวางเต็มห้าโต๊ะแล้ว
แม้กู้ฉีเจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอมาตลอด แต่วันรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาล ย่อมต้องติดตามออกมาร่วมงานด้วยเสมอ แม้ลูกพี่ลูกน้องผู้ชายเ่าั้ของเขาไม่ถึงกับเหน็บแนม แต่ต่างกล่าวด้วยถ้อยคำเกรงอกเกรงใจอย่างไม่สนิทและเ็า ส่วนลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงมีระยะกั้นห่าง ทำให้แต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้ไปมาหาสู่ปรองดองกัน
อันที่จริงกู้ฉีไม่ได้ให้ความสนใจ ขนาดพี่น้องร่วมสายเืของตัวเขาเองล้วนยังไม่ใกล้ชิดอะไร ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงความห่างเหินกับลูกพี่ลูกน้องของครอบครัวเหล่านี้
ชิงเหมยสาวใช้มีอายุของอันซื่อเดินเข้ามา ในมือยกถาดรองเคลือบเงาสีแดงฉลุลายสีทอง
“ฮูหยิน นี่เป็น้ำแกงไก่ที่แม่ครัวตั้งใจเคี่ยวเป็พิเศษเ้าค่ะ” ชิงเหมยวางถ้วยเคลือบลายครามสีฟ้าขาวลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
อันซื่อรีบเดินไปยังข้างโต๊ะ ยกถ้วยเคลือบที่ใส่น้ำแกงไก่ไว้ขึ้นสำรวจดูอย่างละเอียด นางอยากรู้มากว่าน้ำแกงไก่ถ้วยนี้มีส่วนพิเศษอย่างไร ถึงได้สามารถคลายอาการเจ็บป่วยของบุตรชายลงได้
น้ำแกงใสหนึ่งถ้วย ขิงฝานสองแผ่น เนื้อไก่สามชิ้น น้ำแกงไก่อุ่นๆ โชยกลิ่นอายหอมสดชื่นขึ้นมา
“ท่านแม่ แม่ครัวเคี่ยวไก่ทั้งตัว ไม่เช่นนั้น ท่านตักมาชิมดูสักถ้วยสิขอรับ” กู้ฉีเห็นความอยากรู้อยากเห็นของมารดา อดหัวเราะแล้วกล่าวออกมาไม่ได้
“ไม่ๆ นี่เป็ของฉีเอ่อร์ ผู้ใดล้วนแตะต้องไม่ได้” นำไก่และกระต่ายสิบกว่าตัวกลับมาจากที่ไกลโพ้น เคี่ยวหนึ่งหม้อทานได้เพียงสองวัน หากผู้ใดกล้าแตะต้องวัตถุดิบอาหารของกู้ฉี อันซื่อจะฉีกเขาเป็ชิ้นๆ อย่างแน่นอน
“ไม่ใช่เื่เสียหายอะไร ท่านแม่ ทางนั้นต้องคิดวิธีส่งวัตถุดิบอาหารมาได้แน่ขอรับ” ครั้งนี้นำสัตว์มาด้วยสิบกว่าตัว เลี้ยงไว้บนรถม้ามาด้วยกันระยะยาว แม้ไม่มีเจ็บป่วยล้มตายแต่ก็ผอมลงไม่น้อย คิดๆ ดูแล้วพวกสัตว์เหล่านี้ก็ทนการสั่นะเืจากการเดินทางไกลที่ยากลำบากไม่ได้เช่นกัน
“จะไม่ใช่เื่เสียหายได้อย่างไร ข้าได้ยินกู้จงกล่าว ไก่กับกระต่ายเหล่านี้ผอมลงไปหน่อยแล้ว โคลงเคลงอยู่บนรถม้าทุกวัน ท่าทางดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา หากไม่เลี้ยงให้ดีเสบียงอาหารของเ้าก็จะไม่มีแล้ว” อันซื่อรีบวางถ้วยกลับไปบนโต๊ะ “ฉีเอ่อร์ เ้าถือโอกาสดื่มน้ำแกงเสียตอนที่มันกำลังร้อน แม่จะไปดูห้องครัวเล็กของเ้าหน่อย”
กล่าวจบอันซื่อรีบไปจัดหาที่พักเสบียงอาหารของบุตรชายทันที
กู้ฉีเดินมานั่งลงที่ข้างโต๊ะ ยกถ้วยเคลือบขึ้นและค่อยๆ ตักน้ำแกงไก่ซดลงไปหนึ่งช้อน
กระแสไออุ่นที่คุ้นเคยไหลลื่นลงไปในลำคอ ชโลมลำไส้และกระเพาะให้ชุ่มชื้นอย่างเงียบๆ กู้ฉีผ่อนลมออกมาด้วยความสบาย นึกถึงดวงตาเ้าเล่ห์ที่สดใสหนึ่งคู่ขึ้นมาได้โดยไม่คาดคิด
นาง... ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ?
เจินจูกำลังปีนขึ้นบนยอดเขาอยู่
ไอ๊หยา ถูกเสี่ยวฮุยหลอกแล้วจริงๆ หน้าผาสูงและชันเช่นนี้ เป็ที่ที่คนปีนขึ้นไปได้หรือ
เช้าตรู่ของวันนี้ นางไปสำรวจยังท้ายหมู่บ้านตามปกติ แล้วถือโอกาสเพิ่มอาหารให้กระต่ายไปด้วย ตอนออกมาจากบ้านพบเสี่ยวฮุยะโออกมาตรงหน้า
ครั้งนี้มันไม่ได้ล้วงเอาของระยิบระยับอะไรออกมา เพียงชี้ไปทางหลังเขาแล้วเอาแต่ร้อง “จี๊ดๆ”
เจินจูพยายามเข้าใจความหมายของมัน หลังูเามีของอะไรถึงให้นางตามมันไปดู
ตามที่เสี่ยวฮุยแสดงออกในยามปกติ น่าจะเป็การค้นพบสิ่งของอะไรที่ระยิบระยับเข้ากระมัง?
เจินจูดวงตาเป็ประกาย ของระยิบระยับไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากของจำพวกแก้วแหวนเงินทองแล้ว หรือเ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กนี่จะค้นพบสมบัติล้ำค่า?
อดทนระงับความลิงโลดในใจไว้ ผู้คนต่างไม่มีทางไม่ชอบทรัพย์สินเงินทอง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เื่ที่นางจำเป็ต้องใช้เงินค่อนข้างมีมาก
มองสีท้องฟ้าเพื่อดูเวลานับว่ายังคงเช้าอยู่ หากเดินไปหลังูเาหนึ่งรอบ ก่อนเที่ยงน่าจะรีบกลับบ้านทัน
ด้วยเหตุนี้จึงเรียกเสี่ยวเฮยที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก ให้ตามอยู่ข้างหลังหนูขนเทาและขึ้นูเาไปด้วยกัน
เดินมาถึงครึ่งูเา มองเห็นเสี่ยวจินบินฉวัดเฉวียนอยู่ไม่ไกล
เจินจูเรียกเสียงดังด้วยความดีใจ เสี่ยวจินหูตาว่องไวปราดเปรียวจึงบินร่อนถลาลงมาอยู่ข้างกายนาง
รูปร่างของเสี่ยวจินสูงกว่าเจินจูไม่น้อย ขนปีกเรียบลู่เป็มันขลับแวววาวเรืองรองอยู่ภายใต้แสงแดด เจินจูลูบขนปีกนุ่มด้วยความอิจฉา
หนูขนเทาหลบอยู่ในซอกหินตัวสั่นงันงก แมวกับนกอินทรีล้วนเป็ศัตรูโดยธรรมชาติของหนู กว่าจะคุ้นหน้ากับแมวได้ไม่ง่ายเลย แล้วยังมีนกอินทรีทองสูงใหญ่ท่าทางดุร้ายอีกหนึ่งตัวมาอีก
มองไปยังเสี่ยวฮุยที่หลบศีรษะไปด้วยความหวาดกลัว เจินจูหัวเราะเบาๆ “เสี่ยวจิน นั่นเป็เสี่ยวฮุย เพื่อนตัวน้อยของพวกเรา ต่อไป เ้าห้ามตาลายเผลอจับเสี่ยวฮุยมากินเป็มื้อค่ำล่ะ”
เสี่ยวจินชำเลืองไปทางหนูขนสีเทาระหว่างซอกหินแวบหนึ่ง ตอบรับหนึ่งที ”แว้ก” อาหารเย็นของมันเต็มไปทั่วทั้งูเาและที่ราบ พวกหนูทั้งผอมทั้งเล็กแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่อาหารของมัน
“เสี่ยวฮุย มานี่ มารู้จักกันหน่อย เ้าสบายใจได้ มันไม่มีทางกินเ้าแน่นอน” นางกวักมือไปทางมันอย่างยิ้มแป้น
เสี่ยวฮุยมองมาทางนางด้วยความขี้ขลาด แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองนกอินทรีทองที่สูงสง่าแข็งแรงและองอาจทีหนึ่ง ลังเลและไม่กล้าก้าวออกมา
“มานี่ ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าตอนที่เสี่ยวจินเห็นเ้า จะไม่เกรงใจเ้านะ” เจินจูกล่าวหยอกเล่น
เสี่ยวฮุยสั่นอย่างขี้ขลาด ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าและค่อยๆ ย่องออกมาจากรอยแยกของหิน หยุดลงข้างหน้าพวกเจินจูและเสี่ยวจินไกลสิบเมตร มองตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง หากมีลมพัดเล็กน้อยหรือใบไม้สั่นไหวสักนิด [2] ก็พร้อมวิ่งหนีทันที
เจินจูอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ ก้มตัวลงเรียกมันให้มาข้างกาย
เสี่ยวฮุยเข้าใกล้อย่างหนักอึ้งไปทุกฝีก้าว
เจินจูลูบหัวเล็กสีเทาของมันเบาๆ พร้อมกับยิ้มคลายกังวลให้มัน
ยื่นมือออกไปดึงปีกของเสี่ยวจินเข้ามา และตบบนหัวของเสี่ยวฮุยเบาๆ นับว่าเป็การทำความรู้จัก
เสี่ยวฮุยตัวสั่นเทาไม่กล้าขยับ หลังผ่านไปพักหนึ่งมันถึงเงยหน้าร้อง “จี๊ดๆ” ด้วยความเครียด
ส่วนเสี่ยวเฮยนั่งอยู่เฉยๆ บนหินที่ไม่ไกลออกไป เชิดศีรษะขึ้นสูงด้วยความหยิ่งทะนง มองไปยังพวกมันด้วยหางตา ท่าทางเหยียดหยามที่จะต้องคลุกคลีกับพวกมัน
“…”
เจินจูกุมหน้าผาก ท่าทางนายท่านแมวทำให้คนปวดหัวจริงๆ
หนึ่งคนสามสัตว์เดินทางไปข้างหน้าขึ้นบนูเา
ความเร็วของเสี่ยวฮุยเร็วมาก ะโขึ้นลงด้วยเวลาไม่นานก็วิ่งไปไกลมากแล้ว
เสี่ยวเฮยยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ะโสองสามทีก็ห่างไปห้าสิบเมตรแล้วเช่นกัน
ส่วนเสี่ยวจินบางครั้งวนเวียนอยู่บนศีรษะนาง บางครั้งหยุดพักบนต้นไม้เก่าแก่ที่เจริญงอกงามต้นหนึ่ง
มีเพียงนางที่ตะกายปีนขึ้นไปอย่างหนึ่งก้าวทิ้งหนึ่งรอยเท้าเอาไว้ [3]
“เสี่ยวฮุย เ้าจะพาข้าไปที่ไหนกันแน่เนี่ย?” เจินจูปีนข้ามเนินสูงหนึ่งแห่ง ถามอย่างหายใจเหนื่อยหอบ
ข้างหน้าไม่มีถนนของูเาแล้ว เมื่อเงยหน้ามองไปต่างก็เป็กำแพงหินของูเา นางตามหนูขนสีเทาลอดผ่านทางระหว่างซอกกำแพงหิน ช่างเดินทางได้ยากลำบากนัก
“จี๊ดๆ” เสี่ยวฮุยปีนขึ้นไปบนหิน ทำท่าทางชี้ไปทางยอดเขาพักหนึ่ง
เจินจูขมวดคิ้วขึ้น ยอดเขาจะมีของอะไรได้?
ูเาที่ไม่รู้จักชื่อนี้ทั้งสูงใหญ่และชัน หินและกำแพงูเาโผล่ขึ้นไปทั่วไม่มีทางให้ไปต่อได้เลยสักนิด
นางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เงยหน้ามองซ้ายขวาอย่างละเอียด ระหว่างซอกหินมีพุ่มไม้เตี้ยและต้นไม้รกหลายชนิดเติบโตอยู่
เจินจูส่ายหน้าถอนหายใจ นอกเสียจากจะสามารถแปลงกายเป็ลิงคล่องแคล่วหนึ่งตัวถึงจะสามารถปีนป่ายขึ้นไปได้กระมัง
เสี่ยวจินร่อนปีกลงบนหินอย่างเกิดลม มันบินวนเวียนอยู่บนยอดูเาสองสามรอบแล้ว แต่นางยังหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ขยับเป็เวลานาน
หนูขนเทาถูกเงาดำขนาดมหึมาทำให้ใ จนะโพุ่งเข้าไปในซอกระหว่างหินทันที
เสี่ยวเฮยนั่งอยู่บนง่ามกิ่งไม้ไม่ไกลออกไป เลียอุ้งเท้าเล็กๆ ของตนเองอย่างสงบเยือกเย็น มันเพิ่งตบงูเขียวสีเขียวเป็มันขลับตัวเล็กหนึ่งตัวลอยไป
“…”
เจ้ไม่ใช่ลิงแล้วก็ไม่ใช่นกที่มีปีกด้วย ไม่ว่าบนยอดเขาจะมีของดีอะไร แต่ดูท่าแล้วล้วนไม่มีวาสนาต่อตนเอง
“พวกเรากลับกับเถอะ” นางกล่าวแล้วชี้ไปทิศทางด้านล่างูเาอย่างหมดแรง
ทันใดนั้นสายตาสามคู่ก็หันขวับมาอยู่บนตัวของนาง มองราวกับว่าล้วนไม่เข้าใจ
“…ข้าไม่ใช่พวกเ้า กำแพงูเาสูงและชันเพียงนี้จะปีนขึ้นไปได้อย่างไร” เจินจูกล่าวอย่างขุ่นเคือง
มนุษย์อ่อนแอจริงๆ “เหมียว” เสี่ยวเฮยร้องหนึ่งที แต่เจินจูกลับฟังความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นออก
นางข่มกลั้นอาการอยากมองบนที่ตีขึ้นมาไว้ หมุนกายไปด้วยความโกรธเคือง
“แว้ก” เสี่ยวจินโผมาอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาสว่างไสวมองที่นางอย่างประหลาดใจ
เสี่ยวจินรูปร่างสูงจริงๆ เจินจูเงยหน้ามอง รูปร่างของนางในตอนนี้น่าจะไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเิเ แต่เสี่ยวจินสูงกว่าศีรษะของนาง น่าจะสูงถึงหนึ่งร้อยหกสิบเิเแน่นอน ผนวกกับปีกสองข้างที่แข็งแรงกำยำและมีพลัง ดูแล้วช่างทรงพลานุภาพอีกด้วย
นางมองไปที่มันอย่างใจลอยสักครู่ แล้วความคิดอันกล้าหาญอย่างหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในสมอง
“เ้าให้ข้าค่อมขึ้นไปได้หรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ใช้ในการเปรียบเทียบคนที่เื่มาก มักจะสร้างความยุ่งยากให้กับผู้อื่น
[2] มีลมพัดเล็กน้อยหรือใบไม้สั่นไหวสักนิด หมายถึง มีการเปลี่ยนแปลงสักเล็กน้อย
[3] หนึ่งก้าวทิ้งหนึ่งรอยเท้าเอาไว้ หมายถึง กระทำการอย่างสงบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้