“เ้ารอง เ้าสี่ ถ้าพวกเ้าอยากเลี้ยงหมูก็ได้ ข้อหนึ่ง เงินที่สร้างเล้าหมู พวกเ้าออกเอง คนในหมู่บ้านมีบ้านที่มีดินเหลือ ใช้เงินไม่มาก ที่เหลือก็ไปตัดไม้จากบนเขา ขอเพียงไม่ตัดต้นดีๆ โดยทั่วไปฝ่ายต้นไม้ในหมู่บ้านก็ไม่ได้สนใจ แล้วมุงด้วยหลังคาหญ้าฟาง ในบ้านยังมีเหลือ ข้อสอง เงินค่าลูกหมูพวกเ้าหารกันซื้ออย่างเท่าเทียม อนาคตเมื่อได้เงินมา พวกเ้าก็แบ่งกันอย่างเท่าเทียม ข้ากับแม่เ้าจะไม่เข้าไปยุ่ง ส่วนข้อสาม ข้าว่าพวกเ้าหาคนเชี่ยวชาญในการเลี้ยงหมูและดูแลหมูให้ดี เหมือนอย่างบ้านเ้าสาม หมูหนึ่งพันตัว มีคนดูแลโดยเฉพาะสามคน”
มีเพียงเวลานี้ที่หลิวต้าฟู่สามารถพูดทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เพราะเขาเข้าใจเื่เหล่านี้บ้าง อีกทั้งเวลาไม่มีอะไรทำ ก็มักจะหนีบปล้องยาสูบไปเดินเล่นที่บ้านของหลิวเต้าเซียง บางครั้งก็อยู่กินข้าวและดื่มกับหลิวซานกุ้ย วันเวลาผ่านไปช้าๆ เขาก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาทีละนิด
หลิวต้าฟู่หันไปหาหลิวฉีซื่อและกล่าวว่า “เ้าสามกตัญญูมากพอแล้ว ลูกชายตัวดีที่เหลือของเ้า ปีหนึ่งเคยส่งอะไรมาให้เ้าบ้าง?”
หลิวฉีซื่ออยากจะบอกว่าตอนนี้พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูภรรยาและลูกๆ จะมีเงินเหลือที่ไหนกัน
เพียงแต่ว่า คำพูดนี้ถูกหลิวต้าฟู่ถลึงตาใส่ นางจึงกลืนกลับเข้าไป
หลิวต้าฟู่กล่าวต่อว่า “ปีที่แล้วซานกุ้ยคนเดียวก็ใช้จ่ายที่บ้านเดิมไปยี่สิบถึงสามสิบตำลึง ฮึ นี่คือรายได้ของที่นาดีกว่ายี่สิบไร่ เ้ายังมีหน้าแบมือขออีก ขืนเ้ายังหาเื่ไม่หยุด ช้าเร็วจะทำให้ความสัมพันธ์นี้ขาดสะบั้นลง เฮอะ เ้ายังคิดหวังให้เ้าสองคนนี้ที่อกตัญญูมาเลี้ยงเ้าหรือ? ไม่แทะกระดูกเ้าจนหมดสิ้นก็นับว่ายังพอมีมโนธรรม”
หลิววั่งกุ้ยคิดในใจว่า เขายังไม่ได้เริ่มสร้างครอบครัว เขาเองก็ยังเรียนอยู่!
ส่วนหลิวเหรินกุ้ยคิดว่า มันหนักหนาเพียงนั้นที่ไหนกัน เขาก็แค่ไม่มีงานไม่ใช่หรือ? งานเหรัญญิกไม่มีแล้ว จึงยังไม่มีพื้นที่สร้างตัวได้ ก็ต้องพึ่งพาท่านแม่เพื่อให้มีชีวิตรอด ถึงอย่างไรเงินของท่านแม่เขาก็ไม่ได้ใช้ ส่วนพี่ชายใหญ่ น้องสี่ และน้องเล็กก็ต้องช่วยท่านแม่ใช้เงินหมดอยู่ดี เทียบกับการเสียเงินให้คนอื่น มาเสียให้เขาดีกว่า
แต่เขากลับไม่เคยคิดว่า ในมือของตนมีที่นาดีสามสิบไร่ ภรรยาและอนุก็ล้วนมีสินเ้าสาว
จะว่าไป ครอบครัวของเขามีที่นาดีตั้งห้าสิบถึงหกสิบไร่ ในละแวกนี้นับว่าเป็ผู้มั่งคั่งย่อมๆ แล้ว
หลิวฉีซื่อไม่รู้ว่าหลิวเหรินกุ้ยคิดอะไรอยู่ ในเวลานี้กำลังรู้สึกรำคาญหลิวต้าฟู่ที่ยื่นมือเข้ามายุ่ง
นางไม่้าเสียเปรียบให้หลิวซานกุ้ย หากเขายินยอม นางคงไม่ถูกตาเฒ่าทุบตี ยิ่งไม่มีทางต้องให้บุตรชายทั้งสองต้องเสียเงินไปเปล่าๆ
นางไม่เห็นแก่ความดีของหลิวซานกุ้ยแม้แต่น้อย หมูหนึ่งร้อยตัวก็ให้เขาออกเงินให้ก่อน
แต่ความหมายของหลิวต้าฟู่ก็คือเขาหาเงินได้จริง หากช่วยพี่น้องได้ก็ช่วย เพียงแต่เงินนี้ รอหลังจากที่ขายหมูก็ต้องคืนให้เขา
ข้อเสนอดังกล่าวหลิวซานกุ้ยเองก็ยอมรับได้
“น้องสาม ข้าได้ยินมาว่าธัญญาหารของครอบครัวเ้านั้นค้างชำระไว้ก่อนแล้วค่อยให้เงินทีหลังหรือ? หรือไม่ เ้าเป็คนดีก็ดีให้ถึงที่สุด ช่วยพวกข้าติดหนี้ไว้ด้วยดีหรือไม่?”
หลิวเหรินกุ้ยเคยชินกับการเป็เหรัญญิก เพียงแค่คำนวณคร่าวๆ ในใจ ก็รู้ว่าค่าอาหารเหล่านี้คงต้องทุ่มเงินอีกก้อนใหญ่
หลิวซานกุ้ยแอบมองไปที่บุตรสาวของเขาเงียบๆ และรู้ว่าบุตรสาวนั้นไม่ชอบคนในบ้านเดิม
หลิวเต้าเซียงยิ้มหวาน นางไม่สามารถเปิดร้านขายธัญญาหารได้ แต่หากขายให้หลิวเหรินกุ้ย นางก็พอใจ
“ท่านพ่อ ที่จริงท่านพิจารณาก่อนย่อมได้ บ้านป้ารองก็เชือดหมูอยู่แล้ว หากลุงรองกับอาสี่เลี้ยงหมู คงไม่พอให้บ้านพี่ชายป้ารองไปฝึกปรือฝีมือด้วยซ้ำ”
ความหมายก็คือ ถึงอย่างไรก็มีคนช่วยพวกเขาขายหมูออกไป จึงไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้เงิน
นางหันไปยิ้มให้หลิวเหรินกุ้ยอีกครั้ง “ติดค้างชำระได้ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พวกท่านมาขนเสบียงอาหาร ลุงรองกับอาสี่ต้องเขียนลงชื่อในใบติดค้างชำระด้วย”
หลิววั่งกุ้ยคิดๆ แล้วเอ่ย “พ้นปีใหม่ไปข้าจะไปเรียนที่อำเภอ ก่อนหน้านี้ได้บอกไว้แล้ว”
ดังนั้นเขาก็เป็ได้แค่เหรัญญิกที่ทิ้งงานเท่านั้น
หลิวซานกุ้ยไม่ได้ไป เขารู้สึกว่ากัวซิวฝานสอนได้ไม่เลว จึงเอ่ย “หรือไม่ เ้าก็ไปเรียนกับอาจารย์กัวพร้อมกับข้า?”
หลิวฉีซื่อไม่ชอบใจ “ก่อนหน้านี้ก็ได้พวกเขาสอน ยังสอนลูกข้าได้ไม่ดี แค่อาจารย์ในบ้านนอกคนหนึ่ง จะเทียบกับอาจารย์ในอำเภอได้อย่างไร”
หลิวซานกุ้ยมีใจที่จะโต้แย้ง อาจารย์เขาเก่งกว่านายท่านซิ่วไฉในอำเภอมากนัก เช่นนั้นเขาจึงได้เป็จวี่เหริน
ต่อมาก็คิดว่าหากครั้งหน้าน้องสี่สอบจวี่เหรินหรือจงจวี่ไม่ได้ เกรงว่ามารดาคงอาละวาดอีก
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หลิวฉีซื่อก็นึกขึ้นได้อีกเื่
ก่อนหน้านี้เคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ นางมีความคิดอยากแลกอันดับปิ่งเซิงของหลิวซานกุ้ยกับหลิววั่งกุ้ย
เหตุผลข้อหนึ่ง นางหมายใจอยากได้รางวัลรายเดือนซึ่งเป็เงินหนึ่งตำลึง และข้าวสารสามสิบชั่ง
ประการที่สอง นาง้าอาศัยอันดับปิ่งเซิงนี้พูดคุยเื่คู่ครองดีๆ ให้หลิววั่งกุ้ยสักคน
แต่จดหมายที่นางเขียนไปหาพี่ชายน่าจะเกือบหนึ่งเดือนแล้ว พี่ชายของนางยังไม่ส่งข่าวกลับมา จึงไม่รู้ว่าเื่นี้จะเป็ไปได้หรือไม่
หลิวฉีซื่อมีห่วงเื่นี้ จึงหมดอารมณ์ที่จะหาเื่หลิวซานกุ้ยต่อ
นางโบกมือด้วยความขยะแขยงว่า “ในเมื่อพ่อของพวกเ้าพูดเช่นนั้น พวกเ้าก็ไปตกลงเื่กิจการกันเอง”
เดิมทีนาง้าหาผลประโยชน์ให้บุตรชายสองคน แต่ตอนนี้ถูกหลิวต้าฟู่กวนน้ำให้ขุ่น สุดท้ายก็ทำให้บุตรชายทั้งสองได้รายได้น้อยลงไปมาก
พลันเกิดความเคียดแค้นชิงชังหลิวต้าฟู่ที่ไม่ได้เื่
หลิวซานกุ้ยเห็นเช่นนั้น จึงรีบเตรียมเงินสองตำลึงที่เป็ค่าเลี้ยงดูออกมา
“ท่านแม่ นี่คือค่าใช้จ่ายในปีหน้า”
หลิวฉีซื่อนั่งปั้นหน้าที่แก่ชรา เมื่อหลิวซานกุ้ยยื่นเงินไปให้ตรงหน้า นางก็ปัดมือของหลิวซานกุ้ยอย่างแรง
“ไล่ขอทานหรือ ใครไม่รู้บ้างว่าปีนี้เ้ามั่งคั่งร่ำรวยแล้ว”
ใบหน้าของหลิวซานกุ้ยมัวหมองทันที
หลิวฉีซื่อกล่าวเสริมว่า “อย่างน้อยก็ควรควักออกมาสักสี่สิบห้าสิบตำลึง ชีวิตของครอบครัวเ้าน้ำขึ้นเรือสูง หรือจะให้ข้าทั้งสองคนใช้ชีวิตกินโจ๊กกับผักไปเช่นนี้ต่อหรือ?”
หากไม่นับครอบครัวใหญ่ของหลิวเหรินกุ้ย หลิววั่งกุ้ยและหลิวเสี่ยวหลัน
รวมทั้งอาหารคาวที่หลิวซานกุ้ยส่งมาบ่อยครั้ง อันที่จริงทั้งสองคนก็พอกินพอใช้แล้ว
หลิวซานกุ้ยรู้สึกหดหู่ใจมาก เขาไม่้าโต้เถียงกับมารดาอีกจึงยกเท้าก้าวออกไป
ทันใดนั้น หลิวฉีซื่อก็วิตกกังวลและวิ่งตามไป ตอนนี้เท้าของนางเหลือเพียงรองเท้าข้างเดียว เพราะก่อนหน้านี้ได้ถอดข้างหนึ่งแล้วขว้างใส่หลิวเต้าเซียง ซึ่งหลิวเต้าเซียงก็ไม่ได้จิตใจดีถึงขนาดช่วยเก็บรองเท้าไปให้
“ซานกุ้ย เ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ห้ามไป เ้ายังไม่ได้รับปากข้านะ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวร้ายระดับมือพระกาฬ หลิวเต้าเซียงจึงหมดคำพูดแล้วหันกลับไปมองคนในห้อง นอกจากหลิวต้าฟู่ สายตาของทุกคนก็ล่องลอย คงเพราะกำลังปรารถนาให้มารดาหาเงินมาให้พวกเขาพี่น้องเพิ่มขึ้นอีก นางถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสะบัดขยะเหล่านี้ออกไปได้เสียที
หลิวซานกุ้ยคาดเดาไว้ั้แ่ต้น หลิวฉีซื่อเร่งเร้าขอเงินกับเขาแบบนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ
“ท่านแม่ ในหนังสือแยกครอบครัวก็ระบุชัดเจน หลังจากแยกครอบครัว ข้าจะมอบเงินสองตำลึงให้แก่พวกท่าน ที่เหลือท่านต้องไปขอกับพี่ใหญ่และพี่รอง แต่ไม่ใช่มาขอกับข้า ในเมื่อท่านไม่เห็นด้วย ข้าก็จะไม่เอาเงินออกมาอีก”
คิดว่าเขาไม่รู้หรือว่า มารดาตนเองขอเงินนี้ไปเพื่อให้ครอบครัวพี่รองและน้องสี่แน่นอน
“เหตุใดเ้าถึงตระหนี่ขนาดนี้ พี่ใหญ่และพี่รองเ้าสามารถเทียบกับเ้าที่เป็คนรวยได้หรือ? ธุรกิจของครอบครัวเ้าดีปานนี้ ไม่ต้องห่วงว่าไม่มีใคร้าไก่กับหมู ปีนี้เ้าขายไก่ได้หนึ่งหมื่นตัว หมูอีกหนึ่งพันตัว เงินห้าสิบตำลึงสำหรับเ้าแล้วก็แค่เม็ดฝน เหตุใดจะให้ข้าใช้ไม่ได้ พวกข้าเป็พ่อแม่แท้ๆ ของเ้า ฮือๆ เสียแรงที่ข้าเลี้ยงเ้ามา”
หลิวฉีซื่อเริ่มเล่นกลอุบายของนางอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าหมาป่าออกมาเห่าบ่อยเกินไป ก็หาได้มีคนใส่ใจไม่
หลิวซานกุ้ยก้มมองดูหลิวฉีซื่อที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและร้องไห้ขี้มูกโป่ง เขานึกสงสัยว่าเหตุใดตอนนี้ตนเองถึงใจแข็งนัก ไม่รู้สึกเ็ปแม้แต่น้อย
จากนั้นก็ออกแรงแกะมือที่คว้าแขนเสื้อเขาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ท่านแม่ เื่นี้อย่าได้พูดอีกเลย หากเพื่อนบ้านได้ยินเข้า คงได้แต่หัวเราะเยาะตระกูลฉี ไม่ใช่หัวเราะเยาะตระกูลหลิวของพวกเรา”
โลกนี้ไม่ยุติธรรม หญิงที่ออกเรือนทำเื่ฉาวโฉ่มีแต่จะผลักภาระไปให้บ้านฝั่งมารดา
หลิวฉีซื่อทำเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนรู้สึกว่าตระกูลฉีนั้นสั่งสอนไม่ดี
หลิวซานกุ้ยเห็นว่าเวลาล่วงมามากแล้ว ส่วนตระกูลหลิวก็ไม่มีผู้ใดรั้งเขาไว้ให้อยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน “ท่านแม่ วันนี้เป็วันปีใหม่ย่อย ข้าต้องพาลูกๆ กลับไปทานข้าวเที่ยงแล้ว”
เขาไม่้าเข้าไปข้องเกี่ยวกับมารดาอีก จึงเอ่ยต่อ “ข้าว่าวันนี้ท่านพ่อเองก็โมโหไม่เบา”
“ก็เพราะลูกอกตัญญูอย่างเ้าไม่ใช่หรือ ถ้าเ้าเชื่อฟังแม่สักหน่อย พ่อเ้าจะโมโหหรือ?” หลิวฉีซื่อได้ยินก็โยนความผิดให้เขาแทน
หลิวต้าฟู่ทนฟังไม่ไหวจึงพูดด้วยความโกรธ “ฉีหรุ่ยเอ๋อร์ เ้าก่อเื่พอหรือยัง? ต่อไปหากเ้าจะหาเื่เ้าสามอีก ข้าเห็นเมื่อไรก็จะตีเมื่อนั้น”
หลังมือของหลิวฉีซื่อถูกหลิวต้าฟู่ใช้ปล้องยาสูบตีลงไป ตอนนี้กำลังบวมเป่งราวกับซาลาเปา
ในใจก็นึกเกลียดเขาเข้าไส้
ผู้ชายเป็เช่นนี้ เวลาที่เห็นถึงประโยชน์ก็มาอ้อนวอนหลอกล่อ แต่เวลาที่ไม่้า ทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด
ท้ายที่สุด หลิวซานกุ้ยก็ไม่ได้มอบเงินห้าสิบตำลึงให้
หลิวฉีซื่อโลภได้น่าเกลียดเกินไป
หากวันนี้สามารถขอเงินได้ห้าสิบตำลึง วันหน้าก็คงขอหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันตำลึง
ปีใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คนในครอบครัวต่างก็เฝ้ารอ หลังจากผ่านพ้นปีใหม่ไป ครอบครัวหลิวเต้าเซียงก็จะเริ่มสร้างบ้านใหม่แล้ว
หลิวเต้าเซียงเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน หลังจากพลิกตัวในปีนี้ นางก็สามารถแต่งทรงผมจัดช่อสวยงามได้ ไม่ต้องมัดจุกกลมสองจุกแล้วใช้ผ้าผูกไว้อีก
วันส่งท้ายปีเก่าคือการโส่วซุ่ย วันขึ้นปีใหม่คือการเปิดรับสิ่งมงคล ส่วนวันที่สองคือวันที่สะใภ้กลับบ้านมารดา ส่วนวันที่สามถึงสิบห้า ครอบครัวหลิวซานกุ้ยไปบ้านญาติมิตรสหาย พบว่าในบ้านหนึ่งๆ หากบุตรสาวไม่ออกเรือนก็จะมีการสู่ขอสะใภ้ หรือมากกว่านั้นก็คือคนในหมู่บ้านมีหลานชายเพิ่มขึ้นและจัดงานครบรอบหนึ่งร้อยวัน
หลังจากได้รับบัตรเชิญมาอย่างมากมาย ครอบครัวหลิวเต้าเซียงก็แทบจะไม่ได้ก่อไฟเลย ทั้งครอบครัวมัวแต่ทานอาหารที่งานเลี้ยงนอกบ้าน
วันที่สี่นั้น เกาจิ่วพาภรรยามาสวัสดีปีใหม่ที่บ้านเขา แล้วก็แจกซองอั่งเปาซองใหญ่ให้แก่พี่น้องหลิวเต้าเซียง ทุกซองมีเงินหนึ่งตำลึง เทียบกับซองแดงที่มีเพียงหนึ่งอีแปะไม่เปลี่ยนไปของหลิวฉีซื่อนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
ในบรรดาซองแดงนั้น มีเฉินซื่อที่ห่อให้มากที่สุด คนละสองตำลึง ทั้งห้าคนได้ไปคนละหนึ่งซอง หากใช้คำพูดของนางก็คือ ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็มีกินมีใช้ ไม่ได้ขาดแคลน เงินเหล่านี้หากปล่อยไว้ก็ขึ้นราเปล่าๆ
ในวันที่แปดของปีใหม่ หลิวซานกุ้ยพาครอบครัวไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านเกาจิ่ว นับว่าเป็การตอบแทนตามมารยาท
ครอบครัวของเกาจิ่วอาศัยอยู่ในตำบล หลิวซานกุ้ยเตรียมเกวียนลาและนำของขวัญเทศกาล จากนั้นก็พาทั้งครอบครัวเบียดกันในรถ
หมู่บ้านสามสิบลี้อยู่ไม่ไกลจากตำบล ระยะทางเพียงแค่หกลี้ อีกทั้งฤดูหนาวปีนี้ไม่มีหิมะตก น้ำฝนก็น้อย การเดินทางจึงสะดวกเรียบง่าย
-----