“มีอะไรหรือ? ทำอะไรแปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องนัก มีอะไรก็เข้ามาพูด” เจินจูหั่นลูกท้อในมือ ป้อนให้น้องสาวจ้ำม่ำอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
อาชิงเพิ่งอายุสิบสองปี นับว่าเติบโตอยู่ในบ้านสกุลหู จะเข้าออกภายในลานด้านในก็ไม่เป็ไร เดิมพวกเขาก็เป็ครอบครัวคนธรรมดาฐานะต่ำต้อย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์เหล่านี้เพียงนั้น
อาชิงมองซ้ายขวาอยู่สองที แล้ววิ่งเข้ามานั่งลงข้างม้าหินที่พวกนางนั่งอยู่
“พี่อาชิง”
เ้าเด็กน้อยน่ารักทานลูกท้อและเรียกคนไปด้วย
“เฮ้ ซิ่วจูเด็กดี รอพี่มีเวลาแล้วจะพาเ้าไปจับตั๊กแตนนะ” อาชิงตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร
เจินจูขมวดคิ้วขึ้น อาชิงมีข้อบกพร่องเช่นนี้ เขาชอบกล่าวเรื่อยเปื่อยตามอำเภอใจ ครั้งก่อนก็เอ่ยว่าจะพาซิ่วจูไปงมกุ้งฝอย ซิ่วจูรออยู่นานมากผลสุดท้ายเ้าหนุ่มนี่กลับลืมไปนานแล้ว
“อาชิง คำพูดที่เ้าเคยเอ่ยต้องทำให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็อย่ารับปากคนอื่นไปทั่ว”
“เอ่อ... อ้อ แหะๆ พี่เจินจู ครั้งก่อนข้าลืมไป ครั้งนี้ข้าต้องทำได้แน่ รอพรุ่งนี้ข้าไปที่ตั้งอำเภอกลับมาจะพานางไปจับตั๊กแตนแน่นอน” อาชิงเกาศีรษะรู้สึกผิดอยู่บ้าง
“อื้มๆ พี่อาชิง ไปจับตั๊กแตน” ซิ่วจูฉีกรอยยิ้มดีใจขึ้น เผยฟันน้ำนมเป็ระเบียบหนึ่งแถวออกมา ท่าทางน่ารักจริงๆ
“ได้ พรุ่งนี้ตอนบ่ายพี่จะพาเ้าไป” อาชิงอดบีบใบหน้าเล็กของนางไว้ไม่อยู่
เจินจูหั่นลูกท้อหนึ่งชิ้นป้อนเข้าในปากนาง
“เ้ามาหาข้ามีเื่อะไรหรือ?”
สติของอาชิงกลับมาทันที เขานั่งตัวตรง ดวงตาเริ่มสำรวจดูซ้ายขวาอีกครั้ง
“ทำท่าทางเช่นนี้ทำไม? ที่บ้านยังจะมีใครได้?” เจินจูถลึงตาใส่เขาอย่างไม่อ่อนโยน
“แหะๆ ข้าแค่อยากมองนิดหน่อย ท่านอาหงยู่กำลังทำอะไรอยู่หรือ?” อาชิงรีบถาม
ท่านอาหงยู่? อาชิงถามหานางทำไม? เจินจูมองเขาอย่างสงสัย “ท่านอาหงยู่กลับบ้านไปแล้ว วันนี้วันหยุดทำความสะอาดโรงเรียน ่บ่ายไม่ต้องไปหาภรรยาของซิ่วฉายที่นั่น ทำไมหรือ?”
อาชิงดวงตาเป็ประกาย แล้วเขยิบเข้าใกล้นาง “พี่เจินจู ข้าจะบอกท่าน ท่านอย่าบอกท่านอาจารย์นะว่าเป็ข้าที่พูด?”
เื่นี้ยังเกี่ยวกับอาจารย์ฟางด้วยหรือ?
เจินจูกลอกตาทีหนึ่ง คิดถึงความเป็ไปได้หนึ่งอย่าง คงไม่ใช่เค้าโครงของละครในจินตนาการของนางกระมัง
แต่พอฟังคำรายงานของอาชิงจบ เจินจูพบว่าเป็อย่างที่นางคิดไว้จริงด้วย
อาจารย์ฟางมีใจต่อจ้าวหงยู่
เมื่อวานตอนบ่ายที่เรียนเสร็จ อาชิง ถู่วั่ง ผิงอันและผิงซุ่นสี่คนรวมกลุ่มกันวิ่งไปจับปลาที่บึงมรกตหลังูเาซิ่วซี
เมื่อกลุ่มของอาชิงกลับมา ปลาในตะกร้าก็ไม่น้อยเลย
ขณะที่อาชิงรีบพุ่งเข้าประตูด้านข้างเพื่อกลับเข้าบ้าน เห็นฟางเสิงกับจ้าวหงยู่พูดคุยกันอยู่ที่ลานฝึกการต่อสู้
สองคนเข้าใกล้กันมาก การแสดงออกล้วนดูลึกซึ้งอยู่บ้าง อีกทั้งเบ้าตาของจ้าวหงยู่ยังแดงบวมเล็กน้อย
มือหนึ่งข้างของฟางเสิงดึงแขนของจ้าวหงยู่
สองคนค้นพบอาชิงได้อย่างรวดเร็ว ต่างก็รีบผละกายออกห่างจากกัน
ใบหน้าของจ้าวหงยู่ประดับไว้ด้วยความเหนียมอายจนแดงและหวาดกลัวเล็กน้อย
ฟางเสิงดึงหน้าตึงพูดเปลี่ยนเื่แล้วออกคำสั่ง ให้อาชิงรีบเข้าบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียก
เื่หลังจากนั้น... อาชิงก็ไม่แน่ชัดแล้ว
แต่เขาก็ค้นพบความผิดปกติได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมเช่นกัน จึงมาหาเจินจูแล้วถามโดยเฉพาะ
ฟางเสิงกับจ้าวหงยู่ อายุของสองคนต่างก็เหมาะสมกันมาก เจินจูลูบคางของตัวเองแล้วคิด
ฟางเสิงตอนไม่โกนหนวดเคราดูเหมือนอายุมากนัก แต่บนความเป็จริงเพิ่งสามสิบสองปีเท่านั้น
จ้าวหงยู่อายุไม่มาก เพิ่งครบยี่สิบห้าปีเต็ม แต่นางเป็ฟู่เหรินที่หย่าร้าง ผู้ที่แต่งงานให้เมื่อก่อนยังเป็เหลียงหู่ที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็ที่เลื่องลืออีก หากต่อไปจะแต่งงานใหม่ ทางหนีทีไล่ที่มีให้เลือกก็น้อยมาก
แม้ฟางเสิงอายุจะมากหน่อย แต่ยังเป็บุรุษที่ไม่เคยแต่งงาน ในสายตาของคนทั่วไป จากปัจจัยต่างๆ ของเขาจะขอสาวเบญจมาศอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีหนึ่งคนแต่งงานก็เพียบพร้อมไม่มีปัญหาอะไร
ดังนั้นตามสายตาโดยทั่วไปแล้ว เป็จ้าวหงยู่ที่ไม่เหมาะสมกับฟางเสิง
แน่นอนว่าเจินจูไม่ได้คิดเช่นนี้
ท่านอาหงยู่เป็สตรีที่ดีตั้งเท่าไรกัน ต้อนรับแขกก็ได้ ทำอาหารในครัวก็ได้ หน้าตาสวยสง่าเพียบพร้อม อุปนิสัยอ่อนโยนและเงียบสงบ ฝีมือครัวยิ่งเต็มไปด้วยความชำนาญ
ฟางเสิงบุรุษโง่เขลานั่น กล่าวให้น่าฟังหน่อยก็เป็คนไม่ใส่ใจเื่เล็กๆ น้อยๆ อุปนิสัยสบายๆ หากกล่าวให้กระดากหูหน่อยก็เป็คนสกปรกเฉื่อยชาไม่รักษาความสะอาด นอกจากมีฝีมือการต่อสู้ติดตัวแล้ว บนร่างกายโดยรวมไม่มีข้อดีที่ดึงดูดใจเลยสักนิด
แต่เหมาะสมกันหรือไม่ นี่ล้วนไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญคือความคิดของพวกเขาสองคน
...จ้าวหงยู่หิ้วผลไม้ครึ่งตะกร้ากลับบ้านของตนเอง
เยาเม่ย [1] อายุห้าปีออกมายิ้มต้อนรับ “ท่านอา ท่านอา ท่านก็เอาผลไม้มาด้วยนี่เ้าคะ”
“ใช่แล้ว เยาเม่ย พี่ชายของเ้าล่ะ?”
จ้าวหงยู่เห็นผลไม้หนึ่งตะกร้าวางอยู่ในบ้าน เป็ตงเซิ่งเอากลับมาตอนเช้า
“ท่านพี่ไปช่วยท่านแม่กวาดพื้นแล้วเ้าค่ะ” เยาเม่ยหยิบหลี่จื่อจากในตะกร้ามาหนึ่งผล เช็ดบนร่างกายตนเองแล้วเริ่มทานขึ้น
วันนี้เก็บเกี่ยวผลไม้ ในสวนจึงมีใบไม้และกิ่งก้านมากมายร่วงลงมา งานทำความสะอาดจึงค่อนข้างเสียเวลามากหน่อย
พานซื่อยกถ้วยน้ำแกงออกมาจากในห้องครัว นี่เป็กระดูกกวางที่บุตรสาวเอากลับมาจากบ้านสกุลหู นางตั้งใจสับมาต้มน้ำแกงเป็พิเศษ ให้ตาเฒ่าของนางได้ซดน้ำแกงเพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรงได้สักหน่อย
“ทำไมเอาผลไม้กลับมามากมายเพียงนี้ โอ๊ย... หนึ่งส่วนของเ้า หนึ่งส่วนของตงเซิ่ง แล้วยังมีสองส่วนของหงซานกับภรรยาของเขาอีก ที่บ้านทานได้มากมายเพียงนี้เสียที่ไหนกัน” พานซื่อมองผลไม้บนพื้น หลังดีใจเสร็จก็ทอดถอนหายใจอยู่พักหนึ่ง
ครอบครัวสกุลจ้าวของพวกเขา นับั้แ่หงซานกับหงยู่ช่วยครอบครัวสกุลหูทำงาน ชีวิตความเป็อยู่ของที่บ้านก็เริ่มดีขึ้นอย่างช้าๆ สกุลหูในฐานะที่เป็เ้านายช่างเต็มไปด้วยความใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ยิ่งนัก ของขวัญวันสิ้นปีของทุกปี ล้วนมอบให้ห่อใหญ่ๆ ทั้งนั้น
ทุกครั้งที่หงซานกับหงยู่หิ้วของกลับมาบ้าน ล้วนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อิจฉาดังขึ้น กล่าวสรรเสริญเยินยอในทำนองว่า พวกเขาครอบครัวสกุลจ้าวเพราะความโชคร้ายเลยทำให้เจอกับความโชคดี สองพี่น้องชายหญิงมีความสามารถและขยันหมั่นเพียร ค่าจ้างเงินเดือนและสวัสดิการของสกุลหูดีอย่างมาก สองสามีภรรยาชราเสวยสุขได้อย่างสบายใจ
ชีวิตความเป็อยู่สองปีมานี้ของจ้าวสี่เหวินและภรรยาผ่านไปได้สบายใจอย่างมาก จำนวนเงินรวมของทุกเดือนนับรวมกันแล้ว เพียงพอให้ได้หนึ่งเหลียงกว่า สะสมหนึ่งปีก็สามารถเก็บได้สิบกว่าเหลียงแล้ว
ทั้งหมู่บ้านวั้งหลินจะมีสักกี่ครอบครัวที่รายรับมากมายเพียงนี้
รวมกับที่หงซานและหงยู่ต่างก็กินอยู่ที่ครอบครัวสกุลหู ไม่เพียงประหยัดธัญพืชที่บ้านไปมากเท่านั้น ที่สำคัญไปกว่าคือ สกุลหูเงินเดือนและสวัสดิการสูงอาหารยังดีอีกด้วย คนทั้งครอบครัวยังสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวล จ้าวหงยู่อาศัยทำงานครัวอยู่สกุลหูมาสามปี ตอนแรกผอมราวกับไม้ฟืน แก้มตอบเบ้าตาดำคล้ำ แผลเป็บนหน้าผากเด่นอย่างมาก
พอดูจ้าวหงยู่ในตอนนี้ บนผิวขาวปรากฏสีแดงอมชมพู ดวงตาสว่างไสวมีชีวิตชีวา รอยแผลบนหน้าผากเหลือเพียงรอยจางๆ คนทั้งกายสดใสอิ่มเอิบ เต็มไปด้วยพลังงานคึกคัก เทียบกับท่าทางไร้ชีวิตชีวาตอนที่เพิ่งกลับมาบ้านสกุลจ้าว ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคนจริงๆ
“ทานไม่หมดก็มอบให้บรรดาญาติๆ สักหน่อย แล้วให้พี่สะใภ้นำส่วนของนางไปมอบให้บ้านบิดามารดาของนางก็ได้เ้าค่ะ” จ้าวหงยู่ยิ้มแล้วกล่าว
แต่พานซื่อกลับสีหน้าอึมครึมทันที “เชอะ ข้าจะเอาผลไม้ไปเลี้ยงหมู และไม่มีทางเอาไปให้พวกเขาหรอก ส่วนของพี่สะใภ้เ้าส่วนนั้น ให้นางดูแล้วจัดการเองเถอะ”
ตอนแรกจ้าวหงยู่ได้รับาเ็สาหัสหวนคืนกลับบ้าน คู่สามีภรรยาแบกหน้าไปบ้านท่านลุงท่านอาและพี่น้องชายหญิงของตนเองไม่กี่ครอบครัว คิดจะรวบรวมเงินหย่าร้างให้ครบ แต่คิดไม่ถึงเลยที่เรียกกันว่าญาติที่สนิทที่สุดเหล่านี้ กลับไม่มีสักคนที่ยอมให้พวกเขายืมเงิน ประหนึ่งทำทีปรึกษาหารือกันมาดีแล้ว ต่างกล่าวกันในทำนองว่าที่บ้านลำบาก ไม่มีเงินเหลือ อยากช่วยแต่ไร้ความสามารถจริงๆ
ถึงท้ายที่สุด จ้าวสี่เหวินไปยืมที่หัวหน้าหมู่บ้านและจ้าวซานมาได้สิบเหลียง พวกเขาสองครอบครัวล้วนเป็ญาติที่ห่างกันออกไปนอกห้าชุด [2]
สามีภรรยาชราในตอนนั้นผิดหวังอย่างถึงที่สุด
ตอนนี้พวกเขาคืนหนี้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว ชีวิตความเป็อยู่ยิ่งนับวันยิ่งดีขึ้น ญาติเ่าั้ก็ะโออกมา แต่ละคนอ้างความสัมพันธ์เครือญาติกล่าวเื่ราวเก่าๆ อยากให้พวกเขาช่วยแนะนำคนครอบครัวตนเองไปช่วยงานบ้านสกุลหู
เพ้ย พานซื่อปฏิเสธทั้งหมดไปในตอนนั้นทันที ไม่ใช่แค่พวกเขาไม่มีความสามารถในการแนะนำเท่านั้น แต่ต่อให้มีนางก็ไม่มีทางแนะนำญาติผายลมสุนัขที่การแสดงออกดีแต่ใจตรงกันข้ามและสองหน้าสามมีด [3] หรอก
บ้านบิดามารดาของติงซื่อยังนับได้ว่าใจกว้าง แม้ไม่มีความสามารถให้เงินพวกเขายืมได้ แต่สำหรับพวกเขาที่มีหนี้อยู่ทั้งครอบครัวและยังออกหน้าเพื่อบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว แม้ครอบครัวติงซื่อจะมีคำพูดที่คับแค้นใจแต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ให้ติงซื่อมาห้ามปราม
ด้วยเหตุนี้สามีภรรยาชราจึงยังรักใคร่ฉันมิตรกับพวกเขาอยู่ ถึงอย่างไรบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เป็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เพื่อกู้หนี้ยืมสินให้บุตรสาวที่แต่งงานออกไปเช่นนี้ และยังให้บุตรชายมาแบกรับหนี้สินไปด้วย เื่เช่นนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวผู้ใด ลูกสะใภ้ของครอบครัวไหนบ้างจะไม่โวยวายจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แต่ติงซื่อไม่ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็เื่ที่โชคดีอย่างยิ่งแล้ว
“ท่านแม่ เื่เมื่อก่อน ผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป ไม่จำเป็ต้องจัดการญาติๆ เหมือนอย่างกับเป็คู่อริหรอกเ้าค่ะ” จ้าวหงยู่กล่าวโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนโยน
“นั่นไม่ได้หรอก หงยู่ เ้าใจดีเกินไปแล้ว แม่จะบอกเ้า คนพวกนั้นไม่ได้หวังดี เข้าใกล้ครอบครัวเราเพื่อคิดจะให้ครอบครัวเราแนะนำพวกเขาไปทำงานบ้านสกุลหู เ้าอย่าใจอ่อนรับปากเด็ดขาด เ้าอยากเห็นคนอุปนิสัยลักษณะเช่นคนเ่าั้ไปบ้านสกุลหูหรือ หากทำเื่ไม่ดีขโมยไก่คลำสุนัขอะไรขึ้นมา นั่นไม่ต้องพัวพันเ้ากับพี่ชายและพี่สะใภ้ของเ้าไปด้วยทั้งหมดหรือ เพราะอย่างนั้นเ้าต้องอย่าได้ทำผิดพลาดจนยุ่งเหยิงไปเด็ดขาด” พานซื่อเหน็บแนมบุตรสาวของตนเอง กลัวมากว่านางจะมีจิตใจเมตตาแล้วรับปากญาติที่เห็นแต่ประโยชน์จนลืมคุณธรรมเ่าั้ไป
“ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ” จ้าวหงยู่ได้ยินดังนั้นจึงรีบพยักหน้า ครอบครัวสกุลหูเป็ดั่งผู้มีพระคุณที่ให้ชีวิตใหม่แก่นาง นางจะไม่ดึงคนอุปนิสัยลักษณะไม่ดีเหล่านี้มาให้สกุลหูแน่นอน
พานซื่อเห็นบุตรสาวฟังแล้วคล้อยตาม จึงผ่อนลมหายใจด้วยความสบายใจ
นางเลือกสาลี่หนึ่งผลออกมาจากในตะกร้า นั่งอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องโถงและปอกเปลือก ปอกไปปอกมานางเหลือบมองสีหน้าของจ้าวหงยู่แวบหนึ่ง จึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง “เื่ที่เอ่ยกับเ้าครั้งก่อน เ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
บนใบหน้าของจ้าวหงยู่แข็งทื่อ ไม่ได้ตอบคำถาม
“เฮ้อ” พานซื่อถอนหายใจ “แม่รู้ เ้าไม่ชอบ แต่บ้านเราก็เป็เช่นนี้ คนที่แม่สื่อหวังหาได้มีจำกัดจริงๆ แม่คิดไปใคร่มา รู้สึกว่าพอได้อยู่ เ้าอายุเยอะแล้วยืดเวลาออกไปอีกก็ยิ่งยากขึ้น คิดใคร่ครวญดูหน่อยเถอะ”
จ้าวหงยู่ก้มหน้าหลุบดวงตาลง ปิดบังความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่ในดวงตานั้น
เมื่อตอนต้นปี พานซื่อฝากฝังแม่สื่อหวัง โดยคิดว่าจ้าวหงยู่เพิ่งอายุยี่สิบห้าปี ถือโอกาสที่ยังนับได้ว่าสาวและโฉมงาม ดูว่าสามารถหาคู่แต่งงานที่เหมาะสมกันสักหนึ่งครอบครัวได้หรือไม่
แม่สื่อหวังรับปากทันที จ้าวหงยู่หน้าตาดี นิสัยก็โอนอ่อนผ่อนตามอีกด้วย หาคนที่เหมาะสมน่าจะไม่ยาก
พ่อม่ายภรรยาตายหรือชายหนุ่มที่อายุมากและเพราะสาเหตุต่างๆ ทำให้ยังไม่ได้แต่งงาน ล้วนเป็บุคคลที่เหมาะสมทั้งนั้น
ทว่าั้แ่ต้นปีมาจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง แม่สื่อหวังหาครอบครัวที่ยินยอมดูตัวกันและกันไม่ได้เลย
สาเหตุง่ายดายมาก คนรักที่จ้าวหงยู่หย่าร้างด้วยคือเหลียงหู่ ชื่อเสียงไม่ดีจนเป็ที่ประจักษ์อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงสิบลี้ แม้ตายไปสามปีกว่าแล้ว ภายในใจของคนก็ยังมีความพะว้าพะวังอยู่ไม่น้อย
กว่าจะมีคนสองครอบครัวที่ยอมรับได้ไม่ง่ายเลย แต่คนสกุลจ้าวกลับไม่สนใจ
สกุลจ้าวสนใจสิถึงจะแปลก
ครอบครัวที่หนึ่งเป็พ่อม่ายอายุสี่สิบสามปี ที่บ้านมีนาดีสิบกว่าหมู่ มีบุตรชายสองลูกสะใภ้สอง หลานชายก็มีแล้ว
อีกครอบครัวหนึ่งอายุไม่มาก บุรุษอายุยี่สิบแปด ภรรยาเสียไปแล้วเหลือบุตรชายคนเล็กทิ้งไว้หนึ่งคน ขณะนี้มีอายุแปดปี ที่บ้านทำการค้าขายขนาดเล็ก การใช้ชีวิตผ่านไปอย่างนับได้ว่าไม่เลว
พานซื่อได้ฟังในตอนนั้นดวงตาเป็ประกายทันที รู้สึกว่าค่อนข้างเหมาะสมกันเป็อย่างมากกับบุตรสาวของตนเอง
ด้วยเหตุนี้เลยส่งคนไปสืบถามให้จ้าวหงยู่
ผลลัพธ์ของการไปสืบข่าว ทำเอาพานซื่อโกรธเคืองจนอีกนิดจมูกเกือบจะบิดเบี้ยวไปแล้ว
เชิงอรรถ
[1] เยาเม่ย (幺妹) หมายถึง เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดในครอบครัว
[2] ห้าชุด (五服) หมายถึง ชุดไว้ทุกข์ตามฐานะลำดับชั้นเครือญาติ จะแบ่งออกเป็ห้าลำดับจากผู้ที่ใกล้ชิดกับคนตายมากที่สุด คือ 1. 斩缞 (zhǎn cuī) : ผ้ากระสอบหยาบที่สุด 2. 齐缞 (qí cuī) : ผ้ากระสอบที่ไม่หยาบเท่าระดับแรก 3. 大功 (dà gōng) : ผ้าดิบหยาบ 4. 小功 (xiǎo gōng) : ผ้าดิบหยาบน้อยกว่าระดับก่อนหน้า 5. 缌麻 (sī má) : ผ้าดิบเนื้อละเอียดกว่าระดับก่อนหน้า โดยปกติแล้วจะนับจากฝั่งครอบครัวของญาติฝ่ายผู้เป็บิดา และจะนับจากตัวเองขึ้นไปทางบิดาสี่รุ่น และนับจากตัวเองลงมาทางบุตรลงไปอีกสี่รุ่น (รวมทั้งหมดที่มีตัวเองจะกลายเป็เก้ารุ่น) ซึ่งในนิยายบอกว่านอกห้าชุด (出五服) หมายความว่า ไม่ได้สนิท เป็ญาติที่สายสัมพันธ์ห่างไกลนอกเหนือออกไปมากกว่าเก้ารุ่นนั่นเอง
[3] สองหน้าสามมีด หมายถึง ผู้ที่มีเจตนาไม่ดี มีเล่ห์เหลี่ยม ทำสิ่งหนึ่งต่อหน้า ลับหลังทำอีกอย่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้