รถม้าเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปตามทางถนนใหญ่
ภายในรถม้า ต้วนเฟิงนั่งข้างจิ้งหยุน ส่วนหลินเฟิงและเมิ่งฉิงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขา
“หลินเฟิง เ้ารู้จักกับเมิ่งฉิงได้อย่างไร?”
จิ้งหยุนจ้องไปที่เมิ่งฉิง แต่ั์ตาของเมิ่งฉิงกลับไม่มีอะไรเลยสักนิด แต่นั่นเป็เพียงการแสดงออกเท่านั้น แต่กลับทำให้หญิงสาวคนหนึ่งรู้สึกถึงความงดงามได้
จิ้งหยุนไม่ได้ถามหลินเฟิงว่าเขารอดมาได้อย่างไร เพราะถ้าหากถามหลินเฟิงแล้ว ก็เกรงว่าเขาจะเ็ป มิหนำซ้ำนิกายหยุนไห่ก็ถูกทำลายไปแล้ว แต่หลินเฟิงกลับรอดชีวิตมาได้ ถึงแม้จิ้งหยุนจะสงสัยอยู่หลายส่วนแต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
แน่นอนว่าจิ้งหยุนไม่โทษหลินเฟิง แต่ในทางกลับกันนางมีความสุขเป็อย่างมาก เพียงแค่หลินเฟิงยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ส่วนที่ว่าเขารอดชีวิตมาได้อย่างไรตอนนี้มันย่อมไม่สำคัญ
“พวกเราพบกันที่หุบเขาเฮยเฟิง”
จู่ๆ หลินเฟิงก็ตอบคำถามของจิ้งหยุนแทนเมิ่งฉิง
“อ่อ งั้นทำไมเ้าถึงอยากไปเมืองหลวงล่ะ?” จิ้งหยุนกล่าวถามอีกครั้ง
เมืองหลวงเป็สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมากมาย ซึ่งเป็กำลังหลักของอาณาจักรเสวี่ยเยว่
“เพราะว่าที่เมืองหลวงนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์มากมาย” หลินเฟิงกล่าว แต่จิ้งหยุนก็ไม่เข้าใจที่เขาพูดมา
“แล้วเ้าล่ะ? จิ้งหยุน ทำไมถึงไปเมืองหลวง?” หลินเฟิงกล่าวถามขณะมองไปที่จิ้งหยุนที่อยู่ข้างๆ ต้วนเฟิง จากที่ได้ยินจิ้งหยุนเล่าให้ฟังว่า ต้วนเฟิงถูกหมายเรียกให้ไปเมืองหลวง นั่นเห็นได้ชัดว่ามีคนในเมืองหลวง้าตัวต้วนเฟิง และคนคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะสามารถทำให้ต้วนเฟิงออกเดินทางในทันทีโดยไม่หยุดพัก
จิ้งหยุนเหลือบมองต้วนเฟิงที่อยู่ข้างๆ และเห็นต้วนเฟิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “พี่หลินเฟิง พี่จิ้งหยุนก็แค่ติดตามข้าไปด้วย เพราะพี่ชายของข้า้าให้ข้าไปยังเมืองหลวง เพื่อให้ข้าเข้าร่วมสำนักและบ่มเพาะพลัง”
“สำนัก?” หลินเฟิงตกตะลึง “ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่เหรอ”
“ไม่ใช่” คำตอบที่ได้รับทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ ส่วนต้วนเฟิงส่ายหน้าขณะกล่าวว่า “สำนักเทียนอี้”
“สำนักเทียนอี้?” หลินเฟิงเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อสำนักเทียนอี้มาก่อนเลย
“ใช่ สำนักเทียนอี้” ต้วนเฟิงกล่าวขณะพยักหน้า และยังกล่าวต่ออีกว่า “สำนักเทียนอี้นั้นไม่ค่อยมีชื่อเสียง มีคนส่วนน้อยมากที่จะรู้จักและยังไม่รับบุคคลภายนอก มีเพียงแค่บุคคลภายในเท่านั้นที่จะแนะนำบุคคลภายนอกได้ พี่ชายของข้าได้แนะนำสถานที่แห่งนี้ เขาให้ข้าเข้าร่วมกับสำนักเทียนอี้”
“เพียงแค่แนะนำเท่านั้น แต่ไม่เปิดรับบุคคลภายนอก?” หลินเฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ สำนักนี้ก็เป็ประเภทเดียวกันกับนิกาย แต่มันไม่แตกต่างกันมากนัก
นิกาย อย่างนิกายหยุนไห่ที่เปิดรับศิษย์มากมาย และแบ่งออกเป็ศิษย์สายนอก ศิษย์สายในและศิษย์หลัก จากนั้นจะมีผู้าุโที่แบ่งเป็ผู้าุโสายนอก และผู้าุโสายใน ส่วนลำดับขั้นเหล่านี้เข้มงวดอย่างมาก และการบ่มเพาะก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของศิษย์แต่ละคนถึงจะสามารถเลื่อนขั้นได้ นิกายได้ให้ความสำคัญเป็อย่างมาก จนกว่าจะกลายเป็ผู้าุโ
แต่สำนักจะรับเฉพาะลูกหลานที่มีพร์ โดยจะมีอาจารย์ที่เก่งกาจคอยสอนให้พวกเขา และช่วยให้พวกเขากลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง
อาณาจักรเสวี่ยเยว่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีสำนัก แต่ได้แิมาจากอาณาจักรอื่นๆ ดังนั้นจึงมีสำนักน้อยมาก และอีกทั้งยังเป็ที่รู้จักกันในวงแคบ เมื่อเทียบกับนิกายที่มีคนรู้จักมากมายเป็วงกว้าง
แต่ในเวลานี้ อาณาจักรเสวี่ยเยว่ได้ประกาศไปทั่วทวีป เปิดรับศิษย์ที่มีพร์อันยอดเยี่ยม จึงได้สร้างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า้าสร้างสำนักที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งเหนือกว่านิกายขึ้นไปอีก
“พี่หลินเฟิง ท่านเป็ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ น่าจะมีความแข็งแกร่งพอๆ กับจิ้งหยุน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะคุยกับพี่ชายให้ ว่าจะสามารถแนะนำท่านให้เข้าสำนักเทียนอี้ได้หรือไม่”
ต้วนเฟิงยิ้มอย่างจริงใจ แม้ว่าเขาจะยังอายุน้อยแต่กลับมีความคิดที่เป็ผู้ใหญ่ ไม่มีการวางมาดเลยสักนิดเดียว ผิดกับองครักษ์คนนั้นที่หยิ่งยโสโอหังเหลือเกิน
“ใช่แล้วหลินเฟิง ทำไมเ้าไม่เข้าสำนักเทียนอี้ด้วยกันล่ะ”
แววตาของจิ้งหยุนเป็ประกาย นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าหลินเฟิงเข้าร่วมสำนักเทียนอี้ก็ไม่ถือว่าเป็การทรยศนิกาย ส่วนพร์ของหลินเฟิงนั้น จิ้งหยุนยังไม่ได้คิด
ในการทดสอบของนิกายรอบแรก จิ้งหยุนได้เห็นกับตาว่าหลินเฟิงหยิ่งผยองแค่ไหน เพื่อจะเข้าเป็ศิษย์สายใน เพียงแค่ดาบเดียวก็สามารถฆ่ายู่ฮ่าวที่เป็ศิษย์สายในได้ ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงนั้นนับว่าทรงพลังเป็อย่างมาก
หลินเฟิงเพียงหัวเราะแต่ไม่ตอบกลับอะไร ถึงแม้นิกายหยุนไห่จะถูกทำลาย แต่เขาในวันนี้ได้กลายเป็ประมุขของนิกายหยุนไห่แล้ว!
...
รถม้าของพวกเขาเริ่มห่างจากเมืองหยุนหยางมาไกลแล้ว และพระอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้า ภายในรถม้า หลินเฟิง จิ้งหยุนและต้วนเฟิงก็กำลังสนทนากัน ส่วนเมิ่งฉิงกำลังหลับตาอยู่ราวกับว่าบรรยากาศรอบข้างเงียบสงบมาก
เพราะอากาศที่เริ่มเย็นลง หลินเฟิงจึงนำผ้าไปคลุมไหล่เมิ่งฉิงเพื่อกันลมหนาวให้ เพราะนางแต่งกายด้วยชุดบาง
เมื่อจิ้งหยุนเห็นสิ่งที่หลินเฟิงทำแล้ว นางจึงรู้สึกไม่ชอบใจในทันที
ขณะที่เมิ่งฉิงหลับตาอยู่ จู่ๆ นางก็ลืมตาขึ้น หันไปมองหลินเฟิงที่กำลังคลุมผ้าบนไหล่ของนาง หัวใจของนางรู้สึกแปลกๆ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกๆ
“กึก กึก กึก...” ทันใดนั้นได้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น จนรู้สึกได้ว่ารถม้ากระตุกเล็กน้อย
ลุงหวังรีบดึงสายบังเหียนทันที เมื่อรถม้าหยุดแต่พื้นดินยังคงสั่นะเื มิหนำซ้ำยังสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ลุงหวัง เกิดอะไรขึ้น?” ต้วนเฟิงกล่าวถาม
“มันคือกลุ่มโจรที่ขี่ม้าออกปล้น นายน้อย ท่านอย่าออกมาเด็ดขาด ข้าจะให้คนไปเจรจากับพวกเขา” ลุงหวังกำชับ และสั่งให้คนของเขาไปเจรจากับกลุ่มโจร
“อ่า...”
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในรถม้าต่างพากันจ้องหน้ากันและกัน
“ส่งคนที่คุยรู้เื่มา!” สิ้นเสียงกรีดร้องแล้ว น้ำเสียงอันหยาบคายก็ดังขึ้นมาแทนที่
“ข้าจะออกไปดูเอง” ต้วนเฟิงกล่าวและก้าวลงจากรถม้าในทันที หลินเฟิงและจิ้งหยุนก็เดินตามหลังไปด้วย มีเพียงแค่เมิ่งฉิงที่ไม่ได้ตามออกไปและรออยู่ภายในรถม้า
ในขณะนั้น อีกฝ่ายที่อยู่ไม่ไกลนัก กลุ่มโจรนับสิบล้วนมีแววตาที่ชั่วร้ายอย่างมาก
“ข้าจะไปเจรจาเอง” องครักษ์หนุ่มเสนอตัวไปเจรจาเอง แล้วมุ่งตรงไปหากลุ่มโจรในทันที
“ทุกท่าน พวกข้า...” ชายหนุ่มกำลังจะพูด แต่กลับเห็นผู้นำของกลุ่มโจรที่ะโลงมาจากหลังม้า ทันใดนั้นดาบยาวในมือของผู้นำก็ได้พุ่งตรงมาหาเขา
ชายหนุ่มใ และคว้าหอกยาวทันที
แต่ในเวลาเดียวกัน มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัวของชายหนุ่ม และผู้นำคนนั้นได้ใช้ดาบปาดคอของชายหนุ่มจนเืพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
ร่างของจิ้งหยุนสั่นเทาไปด้วยความกลัว เมื่อเห็นเืแล้วนางพลันรู้สึกคลื่นไส้ทันที และเมื่อนึกถึงฉากนองเืที่หุบเขา สีหน้าของนางจึงยิ่งซีดขาวราวกับกระดาษขึ้นไปอีก
“บอกแล้วว่าให้ส่งคนที่คุยรู้เื่มา หญิงสาวคนนั้นก็ไม่เลวนะ!”
ผู้นำของกลุ่มโจรใช้ดาบยาวชี้ไปทางจิ้งหยุน ขณะนั้นกลุ่มโจรต่างพากันหัวเราะขึ้นมา
“ใช่! เรียกหญิงสาวคนนั้นมาคุยกับพวกข้า” หนึ่งในกลุ่มโจระโขึ้นมา ทำให้สีหน้าของจิ้งหยุนซีดลงทันที เมื่อได้ยินคำพูดที่หื่นกระหายของคนเ่าั้ ร่างกายของจิ้งหยุนก็สั่นเทาไปด้วยความกลัว
“จิ้งหยุน เ้ากลับขึ้นไปในรถม้าก่อนเถอะ” หลินเฟิงกล่าวกับจิ้งหยุน ให้จิ้งหยุนกลับเข้าไปในรถม้า
“หนุ่มน้อย รนหาที่ตายซะแล้ว กล้าดียังไงถึงซ่อนตัวผู้หญิงนั้น”
เหล่าโจรต่างมองหลินเฟิงเป็ตาเดียวด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เหอะ ต้องฆ่าพวกมันให้หมด ส่วนผู้หญิงนั้นปล่อยให้พวกข้าได้เล่นสนุก”
“เ้ากำลังทำบ้าอะไร?”
ว่านชิงซานกล่าวกับหลินเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว
หลินเฟิงมองว่านชิงซานอย่างเ็า เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่? ดูเหมือนว่าเขาจะให้จิ้งหยุนกลับเข้าไปในรถม้า
“เ้าสวะ เื่นี้เ้าเป็คนก่อ เ้าก็แก้ไขด้วยตัวเองเถอะ อย่าลากพวกข้าไปเกี่ยวเชียวล่ะ แล้วพวกข้าก็จะไม่ช่วยเ้าด้วย”
ว่านชิงซานกล่าวตำหนิหลินเฟิงอย่างไม่แยแส ศิษย์ของนิกายหยุนไห่อย่างนั้นหรือ เขาอยากเห็นเต็มทนแล้วว่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่จะเป็เช่นไร
“เ้าไม่ต้องมายุ่งหรอก” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เดินไปหากลุ่มโจรทันที
“ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจากับเ้า” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ขณะยืนอยู่ไกลจากผู้นำกลุ่มโจร
“รนหาที่ตาย!”
โจรคนหนึ่งควบม้าพุ่งตรงไปหาหลินเฟิง จากนั้นขว้างดาบไปในอากาศ จึงเกิดเสียงดังขึ้นมา
ทันใดนั้นก็เกิดประกายแสงในอากาศ ในมือของหลินเฟิงปรากฏดาบอ่อนที่ลึกลับออกมา
เมื่อดาบปรากฏขึ้น จะต้องมีคนตายแน่นอน
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ตอนนี้หลินเฟิงได้ใช้เคล็ดวิชาชักดาบ เคล็ดวิชานี้ไม่เพียงไม่ใช่จุดอ่อนเท่านั้น แต่สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามในดาบเดียวได้
เป็ไปได้อย่างไรที่จะต้านทานดาบที่รวดเร็วขนาดนั้นได้?
“ส่งคนที่คุยรู้เื่มา” น้ำเสียงของหลินเฟิงไม่แยแส ขณะกล่าวเหมือนที่อีกฝ่ายพูดก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าพวกโจรจะเงียบไปชั่วขณะ
เพียงแค่การโจมตีด้วยดาบเดียว หลินเฟิงก็ทำให้ร่างของกลุ่มโจรสั่นะเืได้
ว่านชิงซานขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะว่าหลินเฟิงสามารถฆ่าโจรได้แล้วจึงรู้สึกดีใจ ในทางกลับกันเขาโกรธที่เห็นหลินเฟิงแข็งแกร่งและทรงพลังมากกว่า
เขาไม่ทราบว่าความแข็งแกร่งของหลินเฟิงนั้นมันมากขนาดไหน รู้แต่ว่าดาบนั้นมันช่างรวดเร็วเป็อย่างมาก
“สหาย เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า เ้าไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว”
ผู้นำกลุ่มโจรกล่าวกับหลินเฟิง จึงทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ
ในใจของหลินเฟิงนึกสงสัย จึงถามกลับไปว่า “เมื่อครู่นี้พวกเ้าพูดเองไม่ใช่เหรอว่าข้ารนหาที่ตาย? ข้าก็รออยู่นี่ไง”
“เฮอะ! ในเมื่อเป็เช่นนี้ แล้วอย่าหาว่าพวกข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
ดวงตาของหัวหน้ากองโจรเบิกกว้างขึ้น ขณะะโสั่งด้วยเสียงอันดังว่า “ฆ่ามัน”
สิ้นเสียงคำสั่งจากหัวหน้า กลุ่มโจรต่างพุ่งเข้าหาหลินเฟิง แต่มีโจรสามคนที่เข้าประชิดหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาถูกล้อมไว้ด้วยการโจมตีของพวกมันอย่างสมบูรณ์
“ตาย”
ดาบยาวของโจรคนหนึ่งยกขึ้นสูง และปล่อยลมปราณที่มีจิตสังหารรุนแรงอย่างมาก ทำให้หลินเฟิงรู้สึกว่ากำลังมีลมปราณปกคลุมเขาอยู่ ความรู้สึกอันน่าอึดอัดนี้เหมือนกับลมปราณของกองทหารม้าโลหิต แต่มันไม่รุนแรงขนาดนั้น
“ตาย”
เสียงะโที่ดังก้องพร้อมกับดาบยาวที่ฟันลงมา
เสียงกีบม้าดังขึ้นรอบทิศทาง กลุ่มโจรต่างพร้อมใจกันสังหารหลินเฟิง
หลินเฟิงะโขึ้นไปบนหลังม้า เพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเหล่าโจร
“ดาบปลิดิญญา”
ดาบของหลินเฟิงเปล่งประกายและปลดปล่อยลมปราณอันทรงพลังออกมา ลมปราณที่หลินเฟิงปล่อยออกมานั้น ทำให้เหล่าโจรต่างสั่นเทาไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวในความแข็งแกร่งของหลินเฟิง
จากนั้นลมปราณของดาบปลิดิญญาพลันเปล่งประกายขึ้นอย่างงดงาม และหลังจากนั้นร่างของกลุ่มโจรต่างร่วงหล่นมาจากหลังม้าทีละคนๆ
เพียงแค่ดาบเดียว กลับสังหารพวกมันทั้งหมดไปได้!
