หร่านซูอวี้ข่มเสียงให้เบาลง
“สาเหตุที่พวกเรากลับเมืองไม่ได้มาตลอดไม่ใช่เพราะไม่มีคนช่วยแก้ต่างกอบกู้เกียรติยศแทนพวกเราหรือ? เจี้ยนหัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่จะรอจนเจี้ยนหัวมีสิทธิมีเสียงยังต้องรออีกตั้งกี่ปีกัน? พวกที่กลับเมืองนั้นต่อให้ไม่ได้ตำแหน่งเดิมคืนอย่างไรรัฐก็ต้องจัดสรรตำแหน่งใหม่แก่พวกเขาแน่นอน ก่วงผิงคุณอายุอานามตั้งห้าสิบปีเข้าไปแล้วนะหากรออยู่ที่ไร่จนกว่าเจี้ยนหัวเรียนจบ กลับไปยังจะสามารถทำอะไรได้?”
ธุรกิจอิสระแล้วอย่างไร
เมื่อก่อนหร่านซูอวี้ว่างก็อ่านหนังสือพิมพ์
บนหนังสือพิมพ์บอกว่ารัฐก่อตั้งเขตเศรษฐกิจขึ้นการทำธุรกิจอิสระน่าอายก็จริง แต่ทำธุรกิจอิสระสามารถหาเงินได้น่ะสิ!
คนของไร่ยัง้ารับผลประโยชน์ คนอื่นย่อม้าเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาพิจารณาว่าผลประโยชน์ที่ได้นั้นมากพอหรือไม่หร่านซูอวี้ครุ่นคิด จะส่งของขวัญต้องส่งให้ถูกที่อย่างน้อยต้องทำให้นึกถึงหวังก่วงผิงคนนี้ไม่ต้องถูกลืมทิ้งไว้ยังไร่ทางตอนเหนือสุดจนแก่ชราเสียก่อนก็เป็พอ
เครือข่ายผู้คนเมื่อก่อนของตระกูลหวังขาดการติดต่อไปแล้ว ดังนั้นหวังเจี้ยนหัวไม่อาจเยี่ยมเยียนใครด้วยมือเปล่าได้
หากมีกำลังทางการเงินสนับสนุนหวังเจี้ยนหัวก็สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เคยสร้างไว้กับมิตรสหายเก่าของตระกูลหวังได้ความหวังที่จะได้กลับเมืองของหร่านซูอวี้ถูกฝากไว้กับลูกชายลูกสะใภ้ผู้มีเงินอีกทั้งยังห่วงใยลูกชายเป็ชีวิตจิตใจมีตรงไหนที่ไม่ดีกัน? เพียงแต่ไม่รู้ว่าครอบครัวเซี่ยจื่ออวี้นั้นมีเงินมากมายเท่าไรและยินดีใช้เงินเป็สื่อกลางเชื่อมสัมพันธ์คืนสถานะแทนบ้านหวังหรือไม่
เป็เพียงคนรัก ทำไมตระกูลเซี่ยต้องยอมควักเงินให้ด้วย?
ทว่าหากเป็คู่หมั้นย่อมไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อถึงเวลาที่หวังก่วงผิงรับตำแหน่งเดิมได้ตระกูลเซี่ยถึงจะสามารถอาศัยครอบครัวเขยสร้างความเจริญก้าวหน้า
ความตั้งใจของหร่านซูอวี้นั้น หวังก่วงผิงฟังแล้วได้แต่เงียบงันไม่พูดจา
หลังจากนั้นพักใหญ่ หวังก่วงผิงจึงเค้นคำพูดออกมาด้วยความกดดัน
“...คนทำธุรกิจหรือ เธอนี่ป่วยหนักเลยหาหมอมั่ว [1] จริงๆ !”
ป่วยหนักเลยหาหมอมั่ว?
คงใช่!
หร่านซูอวี้ไม่โต้แย้ง
เธอประสบกับชีวิตอันขมขื่นที่ไม่ยุติธรรมนี้พอแล้วถ้าหวังเจี้ยนหัวไม่ได้สอบติดมหาวิทยาลัย เธออาจไม่รอดผ่านฤดูหนาวปีนี้ด้วยซ้ำโชคดีที่หวังเจี้ยนหัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตระกูลหวังจึงมีความหวังที่จะปลดเปลื้องตนเองบ้าง
หร่านซูอวี้จะไม่ได้กล่าวอะไรเรียกร้องจากเซี่ยจื่ออวี้ ยามค่ำคืนเมื่อทั้งสองคนนอนห้องเดียวกันหร่านซูอวี้ไม่ได้กล่าวกระทั่งเื่เงิน เธอเพียงสื่อว่ารู้สึกซาบซึ้งในความทุ่มเทของเซี่ยจื่ออวี้บอกว่าหวังเจี้ยนหัวโชคดีเหลือเกินถึงได้หญิงสาวอย่างเซี่ยจื่ออวี้เป็คนรัก
“ป้าเห็นด้วยกับการที่พวกเธอจะแต่งงานหลังเรียนจบ ส่วนตอนนี้น่ะพวกเธอสองคนต้องยึดเื่การเรียนเป็สิ่งสำคัญนะ”
หร่านซูอวี้พูดอย่างมีเหตุผล เซี่ยจื่ออวี้ก็เกิดความรู้สึกยินดีคิดว่ามารดาของหวังเจี้ยนหัวว่าง่าย ไม่เสียแรงที่เธอทุ่มเทเงินทองและจิตใจ ตรงข้ามกับบิดาของหวังเจี้ยนหัวที่ดูเหมือนยังยอมรับเธอไม่ได้เซี่ยจื่ออวี้เตรียมใจสำหรับาต่อต้านอันยาวนานแล้ว...หวังเจี้ยนหัวคือลูกกตัญญู เธอจะเป็ภรรยาของหวังเจี้ยนหัว ย่อมควรจำเป็ต้องได้รับการยอมรับของบิดามารดาหวังเจี้ยนหัวเป็ธรรมดา
อีกอย่างหนึ่ง บิดาหวังเจี้ยนหัวก็มิใช่คนธรรมดา
เซี่ยจื่ออวี้ยึดมั่น มอบถ่านกลางหิมะ [2] เอาชนะปักบุปผาบนผืนผ้าทอ [3]
----------------------------------------
ในขณะที่เซี่ยจื่ออวี้กำลังหนาวเหน็บอยู่ในไร่ทางตอนเหนือสุด
เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังหาวนอนอยู่ในห้องอันแสนอบอุ่นถ้าเธอรับรู้ความพยายามที่เซี่ยจื่ออวี้ลงแรงทั้งหมดเพื่อได้รับการยอมรับจากบิดามารดาของหวังเจี้ยนหัวคงะโว่านับถือ หากจะให้เซี่ยเสี่ยวหลานพะเน้าพะนอเช่นนี้ เธอทำไม่ได้แน่นอน
สิ่งนี้ทำให้เธอปฏิเสธที่จะครุ่นคิดเื่ลงเอยกับโจวเฉิงไม่ได้หากครอบครัวโจวเฉิงไม่ยอมรับเธอผู้เป็หญิงสาวชนบทคนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานชอบโจวเฉิงก็ส่วนชอบ แต่จะให้อ่อนน้อมถ่อมตนไปเอาใจบิดามารดาโจวเฉิงย่อมไม่ได้
เธอพูดคุยกับลูกค้าด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานได้สงบปากสงบคำทนรับอารมณ์ชั่วคราวเพื่อธุรกิจได้ และต่อให้เป็ธุระด้านธุรกิจเซี่ยเสี่ยวหลานก็มีหลักการกับขีดจำกัดขั้นต่ำของตนเองเหมือนกัน
ทว่าความรักมิใช่ธุรกิจเสียด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานชอบพอโจวเฉิงถึงคบหากับเขาแต่ถ้ามีความยุ่งยากมากเกินไปแทรกเข้ามา ความเสน่หานั้นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเซี่ยเสี่ยวหลานย่อมเลือกการแยกทาง โดยสรุปแล้วเธอยังไม่มีความหลงใหลหนักแน่นต่อโจวเฉิงนัก ถ้าผู้หญิงไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่างก็จะฝากใจทั้งหมดไว้กับฝ่ายชายอย่างง่ายดาย
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่มีโจวเฉิง แต่เธอยังมีการเรียนและการงานของตนเองอยู่ยุ่งเสียเท้าไม่ติดพื้น อาจเ็ปที่ต้องสูญเสียคนรักไปสักพักแต่ก็ละทิ้งไว้ก่อนอยู่ดีตาชั่งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนไม่เท่ากัน หากพูดถึงปัจจุบันวันนี้โจวเฉิงชอบเซี่ยเสี่ยวหลานมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีเื่ของหัวใจก็ไม่ยุติธรรม ใครรู้สึกมากกว่า คนนั้นก็ใส่ใจมากกว่ายินดีทุ่มเทมากกว่า!
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รีบร้อนบอกเื่เปิดร้านวัสดุตกแต่งภายในกับคังเหว่ยเธอกำลังรอจดหมายตอบกลับของโจวเฉิง ไม่รู้ว่าไปปักกิ่งครั้งนี้จะได้พบโจวเฉิงหรือไม่พอเธอกลับมาจากหยางเฉิง เสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่หลี่เฟิ่งเหมยนำกลับมาก่อนก็เริ่มนำออกมาจำหน่ายแล้ว
วันที่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับซางตูเป็วันที่สิบห้าเดือนเจิงเทศกาลหยวนเซียว [4] อุณหภูมิปลายเดือนกุมภาพันธ์ยังไม่อบอุ่นทว่านี่ไม่ถ่วงรั้งการเลือกซื้อเครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิของลูกค้าสตรีเ่าั้สักนิดเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งราคาถุงน่องไว้เนิ่นๆ ว่าขายแค่ 10 หยวนต่อหนึ่งคู่ หลี่เฟิ่งเหมยยังคิดว่าใครจะจ่ายเงินสิบหยวนเพื่อซื้อถุงน่องบางเฉียบเพียงหนึ่งคู่แต่สินค้าที่นำกลับมาคราวนี้และได้รับความนิยมสูงสุดก็คือถุงน่องกึ่งโปร่งแสงประเภทนี้นั่นเอง
พวกนักแสดงหญิงบนนิตยสารแฟชั่นล้วนสวมกันทั้งนั้นในภาพยนตร์ต่างประเทศก็ปรากฏบ่อยครั้ง เหล่าสตรีในพื้นที่ฮ่องกง-ไต้หวันยังใส่ทำไมผู้หญิงซางตูจะใส่บ้างไม่ได้? บริกรหญิงของบ้านพักรับรองประจำเมืองยินดีใช้ค่าตอบแทนในการต้อนรับแขกแลกถุงน่องหนึ่งคู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานเพียงเท่านี้ก็ทราบแล้วว่าพวกเธอใฝ่หาการของทันสมัยนี้มากขนาดไหน
ค่าตอบแทนของบริกรหญิงคือ 20 ต่อวันเซี่ยเสี่ยวหลานกำหนดถุงน่องหนึ่งคู่ราคา 10 หยวนหลี่เฟิ่งเหมยคิดว่าแพงยิ่งนัก ทว่ายังคงมีคนซื้อไหว!
สินค้าจะขายดีหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันแพงหรือถูก
สินค้าแผงลอยในตลาดเกษตรซางตูราคาถูก ลูกค้ายังเลือกแล้วเลือกอีกเลย
ราคาเสื้อผ้าของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ไม่ย่อมเยามาั้แ่ตอนตั้งแผงลอยแล้ว แต่ทำไมมีลูกค้ายอมควักเงินซื้ออยู่ดี? เพราะความหายากสามารถตอบสนองความ้าและความฟุ้งเฟ้อได้ในเวลาเดียวกัน...ถ้า้าเพียงราคาถูก เสื้อผ้าในท้องที่ซางตูมีอยู่ถมเถไปทำไมลูกค้าต้องซื้อของแพง? สิ่งที่พวกเธอ้าก็คือแพง้าแตกต่างจากผู้อื่น
‘ถุงน่อง’ เป็แบบนี้เช่นเดียวกัน หนึ่งคู่ 10 หยวน เงิน 10 หยวนซื้อเนื้อหมูได้ตั้งหลายชั่งหากซื้อข้าวสารจะรับประทานได้หนึ่งเดือน เพื่อถุงน่องบางๆหนึ่งคู่นั้นควรค่าแล้วหรือ? หลี่เฟิ่งเหมยบอกว่าคุ้มค่าหรือไม่ย่อมไม่นับเซี่ยเสี่ยวหลานพูดก็ไม่นับ ต้องให้ลูกค้าตัดสินด้วยตนเองว่าคุ้มค่าหรือไม่
พวกเธอไม่ได้้า ‘ถุงน่อง’ แต่เป็ความทันสมัยซึ่งถุงน่องแสดงให้เห็น
พอเกรงว่าอนาคตจะหาซื้อไม่ได้ บางคนจึงซื้อสองสามคู่ในครั้งเดียวด้วยปริมาณลูกค้าของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ถุงน่อง 200 คู่ไม่จำเป็ต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะจำหน่ายหมดเซี่ยเสี่ยวหลานส่งโทรเลขหาไป๋เจินจูอย่างช่วยไม่ได้ ให้เธอรวบรวมถุงน่องอีกล็อตส่งมายังซางตู
“คราวนี้ถุงน่องของพวกเราจะไม่ขายแล้ว ให้เปล่าเลย!”
หลี่เฟิ่งเหมยเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารแฟชั่น
“ให้เปล่า?”
ถุงน่องหนึ่งคู่ก็ต้องใช้เงินทุนหลายหยวน ถ้าประกาศว่าให้ถุงน่องเปล่าๆนั่นมิใช่มีเท่าไรแย่งชิงกันเท่านั้นหรือ!
หลี่เฟิ่งเหมยกังวลปัญหาต้นทุน เซี่ยเสี่ยวหลานกลับยิ้มแย้มพิศวง “ก็ให้น่ะสิ สองสามวันนี้ฉันจะหาคนวาดโปสเตอร์สักสองแผ่นดีกว่า”
เซี่ยเสี่ยวหลานวาดโปสเตอร์รูปแบบเรียบง่ายเป็แต่เธอไม่อยากเสียเวลาของตัวเอง งานที่ไม่มีความยากอะไรมากมายนักประเภทนี้ส่งต่อให้คนเชี่ยวชาญทำได้อยู่แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานใช้เวลาจำนวนมากในการหาเงิน ตอนนี้ก็ใช้เงินจำนวนเพียงน้อยนิดไปประหยัดเวลาแทนเธอคิดว่าคุ้มยิ่งนัก
“ใช่แล้ว วันนี้เทศกาลหยวนเซียวนี่ ตอนเย็นพวกเรากินเกี๊ยวกันไหม?”
เชิงอรรถ
[1]病急乱投医 ป่วยหนักหาหมอมั่ว หมายถึง ลองทำทุกวิถีทางโดยไม่คิดถี่ถ้วนในภาวะวิกฤต
[2]雪中送炭 มอบถ่านกลางหิมะ หมายถึง หยิบยื่นความช่วยเหลือยามลำบาก
[3]锦上添花 ปักลายบุปผาบนผ้าทอ หมายถึง ให้ผลประโยชน์ผู้อื่นในขณะที่มีพร้อมแล้ว
[4]元宵节 เทศกาลหยวนเซียว คือ วันสุดท้ายของการเฉลิมฉลองตรุษจีนตรงกับวันที่สิบห้าเดือนเจิง เรียกอีกชื่อว่าเทศกาลโคมไฟมีประเพณีการรับประทานทังหยวน (บัวลอยใส่ไส้) สื่อถึงความกลมเกลียวของครอบครัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้