“ก็ท่านให้เงินสินสอดแล้วนี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มบางๆ กล่าวต่อ “สินสอดที่ท่านให้มา ทำให้ท่านพ่อของข้าไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน เท่ากับท่านช่วยชีวิตท่านพ่อไว้ ท่านจึงนับว่าเป็ผู้มีพระคุณของท่านพ่อ ไม่ว่าท่านจะเป็คนตาบอด เป็ง่อย หรือหูหนวก ท่านก็ยังเป็ผู้มีพระคุณของท่านพ่อข้าอยู่ดี ในเมื่อเป็ผู้มีพระคุณของท่านพ่อ ก็ย่อมเป็ผู้มีพระคุณของข้าด้วย บุญคุณช่วยชีวิตนี้ สมควรทดแทนด้วยร่างกายและชีวิต ข้าจะอยู่ดูแลท่านไปจนแก่เฒ่าเ้าค่ะ”
“นี่เ้าโง่หรือฉลาดกันแน่” จางเจิ้นอันฟังแล้วก็หัวเราะ “คนเขามักกล่าวว่า บุญคุณอันยิ่งใหญ่ไม่จำเป็ต้องกล่าวขอบคุณ วิธีคิดทดแทนบุญคุณแบบโบราณในยุคสมัยนี้มันใช้ไม่ได้ผลแล้ว คราวก่อนที่เ้ากู้หลินหลางนั่นจะพาเ้าหนีไปให้พ้นจากทะเลทุกข์ เหตุใดเ้าถึงไม่ไปกับเขาล่ะ?”
“ทะเลทุกข์หรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ “ในทุกข์ย่อมมีสุข ในสุขก็ย่อมมีความขมขื่นปะปนกันไป คนเราก็เหมือนกบในกะลา หากยังแยกแยะไม่ได้ว่าตนเองกำลังอยู่ในไหน้ำผึ้ง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกภายนอกนั้นไม่ใช่ทะเลทุกข์ที่แท้จริง?”
เพียงไม่กี่ประโยคสั้นๆ นี้ กลับทำให้จางเจิ้นอันรู้สึกว่าคำพูดของนางช่างลึกซึ้งนัก บางที...ตอนนี้เขาอาจจะเป็อย่างที่นางว่าจริงๆ ก็ได้ มีความสุขอยู่ใกล้ตัว แต่กลับมองไม่เห็นค่า
“ถึงแล้ว” พอเดินพ้นแนวป่าไผ่ออกมา จางเจิ้นอันก็วางอันซิ่วเอ๋อร์ลง เขาจัดการนำเถาวัลย์แถวนั้นมามัดลำไผ่รวมกันเป็มัดใหญ่ เตรียมจะลากลงเขาไป
ส่วนอันซิ่วเอ๋อร์ก็เดินไปเก็บหน่อไม้ที่นางโยนทิ้งไว้เมื่อครู่ใส่ตะกร้าจนเต็ม แล้วแบกขึ้นสะพายหลัง
“ขึ้นมาสิ” พอมัดไผ่เสร็จ จางเจิ้นอันก็หันมาย่อตัวลงตรงหน้านางอีกครั้ง
“ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ ข้าเดินเองได้ ท่านต้องลากไผ่นี่อีก จะไม่ลำบากหรือเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบปฏิเสธ ทั้งน้ำหนักตัวนาง ทั้งน้ำหนักตะกร้า ไหนจะไผ่มัดใหญ่นั่นอีก นางกลัวว่าเขาจะรับน้ำหนักไม่ไหว
“เร็วเข้าเถอะน่า” จางเจิ้นอันไม่คิดพูดจาไร้สาระกับนางให้มากความ
อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่าเขาเป็คนพูดคำไหนคำนั้น จึงทำได้เพียงปีนขึ้นหลังเขาไปแต่โดยดี พลางกำชับ “ถ้าท่านแบกไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ก็อย่าฝืนนะเ้าคะ วางข้าลงได้เลย ข้าเดินเองได้จริงๆ”
“ตัวเ้าแค่นี้ หนักไม่ถึงแปดสิบชั่ง [1] ด้วยซ้ำกระมัง ข้าจะแบกไม่ไหวได้อย่างไร” จางเจิ้นอันรู้สึกเหมือนถูกนางดูแคลนกำลังวังชาของตน จึงไม่พูดอะไรอีก ก้าวเท้าเดินลงเขาไปอย่างรวดเร็ว แม้จะต้องลากไผ่มัดใหญ่ตามไปด้วย เขาก็ยังคงเดินเหินได้คล่องแคล่วราวกับไร้น้ำหนัก
พอใกล้จะถึงตีนเขา เริ่มเห็นชาวบ้านเดินสวนมาบ้างประปราย อันซิ่วเอ๋อร์ก็กลัวคนอื่นจะเห็นเข้า รีบใช้มือตบหลังเขาเบาๆ เป็สัญญาณ “ท่าน รีบวางข้าลงเร็วเข้า”
ทว่าจางเจิ้นอันกลับทำเป็ไม่ได้ยิน
“ท่าน! วางข้าลงเดี๋ยวนี้!” อันซิ่วเอ๋อร์เริ่มดิ้นรนอยู่บนหลังเขา บิดตัวไปมาเหมือนหนอนน้อย จางเจิ้นอันจึงต้องปราม “อยู่นิ่งๆ น่า เ้าเป็ภรรยาข้า ข้าแบกภรรยาตัวเองแล้วมันจะหนักหัวใคร?”
“ไม่ได้นะเ้าคะ! ให้คนอื่นเห็น ข้าอายเขาจะตายไป!” อันซิ่วเอ๋อร์ยังไม่ยอมแพ้ พอเห็นว่าเขาดื้อดึงไม่ยอมวางนางลงแน่ๆ นางก็รวบรวมความกล้า เอื้อมมือไปบิดใบหูเขาเบาๆ “ท่านรีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!”
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่ติ่งหูเขากลับแดงก่ำขึ้นมาทันที จางเจิ้นอันรู้สึกได้ว่าความร้อนลามไปทั่วทั้งใบหน้า
“ถ้าท่านยังไม่วางข้าลงอีก ข้าจะบิดหูท่านไปตลอดทางเลย คอยดูสิว่าถึงตอนนั้น คนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะข้า หรือหัวเราะเยาะท่านกันแน่!” อันซิ่วเอ๋อร์ขู่ฟ่อๆ น้ำเสียงเจือความเอาแต่ใจอยู่หลายส่วน
“ก็ได้ๆ ข้าวางเ้าลงก็ได้!” สุดท้ายจางเจิ้นอันก็จำต้องยอมแพ้ พอวางนางลงเรียบร้อยแล้ว เขาก็กระแอมกล่าว “หูของผู้ชายใช่ว่าจะมาบิดเล่นกันง่ายๆ ได้นะ รู้หรือไม่?”
“ทราบแล้วเ้าค่ะ ข้าก็ไม่ได้ไปบิดหูคนอื่นเสียนี่” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก เมื่อครู่ตอนอยู่บนหลังเขา นางเอาแต่กังวลกลัวคนเห็น รู้สึกเกร็งไปหมด พอได้ลงมายืนบนพื้นแล้ว ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
จางเจิ้นอันปลดตะกร้าออกจากหลังอันซิ่วเอ๋อร์ แล้วยกขึ้นมาแบกไว้บนหลังตนเองแทน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็ห่วง “เท้าเ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า แต่กลับเดินเขย่งอย่างเห็นได้ชัด ก้าวแต่ละก้าวเชื่องช้าลง จางเจิ้นอันเห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ชะลอฝีเท้าลงเดินไปพร้อมกับนาง
โชคดีที่ตลอดทางกลับบ้านไม่เจอใครอีก อันซิ่วเอ๋อร์ลอบถอนหายใจโล่งอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่ต้องเดินผ่านสำนักศึกษา นางกลัวที่สุดว่าจะบังเอิญไปเจอเข้ากับกู้หลินหลาง มิฉะนั้นคงต้องทนฟังเขาพล่ามไม่หยุด น่ารำคาญเป็ที่สุด
พอกลับถึงบ้าน จางเจิ้นอันก็โยนไผ่มัดนั้นลงในลานบ้าน แล้วปิดประตูรั้วแ่า จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มอันซิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาทันที อันซิ่วเอ๋อร์อุทานเสียงหลงเหมือนลูกไก่ถูกเชือด รีบยกแขนขึ้นกอดคอเขาไว้แน่น “ท่านทำอะไรน่ะ! ข้าใหมดเลย!”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงอุ้มนางตรงไปยังห้องนอน วางนางลงบนเตียงอย่างแ่เบา แล้วใช้สองแขนยันเตียงคร่อมร่างนางไว้ ก้มลงจ้องมอง อันซิ่วเอ๋อร์ใจนเผลอเอนตัวหนี กัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น กล่าวเสียงสั่น “นี่ยังกลางวันแสกๆ อยู่นะเ้าคะ...”
จางเจิ้นอันเห็นท่าทางตื่นกลัวระแวดระวังของนางก็นึกขำ ล้มเลิกความคิดที่จะแกล้งหยอกนางต่อ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “คิดมากไปแล้ว ข้าแค่อยากจะดูแผลที่เท้าเ้า”
เขาย่อตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อยๆ ถอดรองเท้าให้นาง อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าเขาเพียง้าดูแผลให้จริงๆ จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนมาก แต่เพราะแผลที่ส้นเท้าค่อนข้างลึก อีกทั้งยังผ่านมาพักใหญ่แล้ว เืจึงแห้งกรังติดอยู่กับถุงเท้า พอเขาค่อยๆ ดึงถุงเท้าออก นางก็เจ็บจนเผลอสูดปากเบาๆ
จางเจิ้นอันเงยหน้าขึ้นมอง เห็นนางเบิกตากลมโตจ้องมองการกระทำของเขา ดวงตาคู่สวยที่ปกติก็ดูหวานฉ่ำอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งเอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตาใสๆ หยาดน้ำตาปริ่มอยู่ที่ขอบตา เหมือนพร้อมจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ ดูแล้วช่างน่าสงสารและชวนให้ใจอ่อนเป็ที่สุด
“โตป่านนี้แล้ว ยังจะขี้แยอีกรึ?” เขาเอ่ยหยอกเสียงอ่อนโยน
นางสูดจมูกฟุดฟิด รีบยกมือขึ้นเช็ดขอบตาที่ร้อนผ่าวอย่างเขินอาย ปฏิเสธเสียงอู้อี้ “ไม่ใช่เสียหน่อยเ้าค่ะ”
“ยังจะปากแข็งอีก ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ” แม้ปากจะยังหยอกเย้า แต่มือเขากลับยิ่งเพิ่มความนุ่มนวลขึ้น ก้มลงเป่าเบาๆ ที่รอยแผลบนส้นเท้าของนาง อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเพียงว่าบริเวณนั้นจั๊กจี้ระคนกับความรู้สึกชาๆ ความเ็ปเมื่อครู่คล้ายจะทุเลาลงไปมาก
นางก้มลงมองบุรุษที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูแผลที่เท้าให้นางอย่างอ่อนโยน ในใจพลันรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างกระทบเข้าอย่างจัง ใครจะไปคิดว่าบุรุษที่ดูน่ากลัวและแปลกประหลาดในสายตาคนอื่น จะมีมุมที่อ่อนโยนและอบอุ่นถึงเพียงนี้ด้วย? วินาทีนั้น นางจ้องมองเขาเขม็ง ในใจบังเกิดความรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ไม่ว่าอนาคตข้างหน้า ดวงตาของเขาจะเป็อย่างไร นางก็ได้ตัดสินใจเลือกบุรุษผู้นี้เป็คู่ชีวิตแล้ว
“มองข้าแบบนี้ทำไม?” จางเจิ้นอันถอดถุงเท้าอีกข้างวางไว้เรียบร้อย กำลังจะลุกไปหาผ้ามาเช็ดแผลให้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับสายตาที่จ้องมองมาเขม็งของอันซิ่วเอ๋อร์พอดี
นางใช้สองมือยันตัวขึ้นเล็กน้อย เชิดหน้ากล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ “ตาก็อยู่บนหน้าข้า ข้าจะมองท่าน แล้วจะทำไมเล่าเ้าคะ?”
“ช่างไม่รู้จักอาย” จางเจิ้นอันมองค้อนนางแวบหนึ่ง “ข้าไปต้มน้ำร้อนมาล้างแผลให้เ้าดีกว่า เดี๋ยวเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะยุ่ง”
“เดี๋ยวก่อนเ้าค่ะ” พอลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป นางก็เรียกเขาไว้ เขาหันกลับมาด้วยความสงสัย นางกลับส่งยิ้มหวาน กวักนิ้วเรียก รอจนเขาโน้มตัวลงมาใกล้ ก็ฉวยโอกาสหอมแก้มของเขาฟอดหนึ่ง แล้วจึงโบกมือไล่ “ไปได้แล้วเ้าค่ะ”
จางเจิ้นอันเหลือบตามองนางนิ่งๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปจุมพิตริมฝีปากอิ่มนั้นแ่เบาเป็การตอบแทน แล้วจึงเดินออกไปต้มน้ำ
พอน้ำร้อนได้ที่ เขาก็ยกเข้ามา จางเจิ้นอันค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดคราบเืรอบๆ แผลที่เท้าให้นางอย่างเบามือ บนเท้าเล็กๆ ขาวผ่อง บัดนี้กลับปรากฏรอยแผลฉกรรจ์น่ากลัว จางเจิ้นอันมองแล้วก็รู้สึกขัดตาขัดใจยิ่งนัก อดสบถออกมาไม่ได้ “ให้ตายสิ! ใครมันเอาไอ้กับดักเวรตะไลนี่มาวางไว้ในป่ากัน ถ้ารู้ว่ามันเป็ใคร ข้าจะไปถลกหนังมันออกให้หมด!”
“ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ คงเป็นายพรานในหมู่บ้านเรานี่แหละ เขาก็คงแค่วางไว้ดักสัตว์หาเลี้ยงชีพ ข้าแค่ซวยไปเหยียบโดนเอง” อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงดุดันก็นึกกลัวว่าเขาจะไปหาเื่คนอื่นเข้าจริงๆ จึงรีบเกลี้ยกล่อม “ก็เหมือนกับที่ท่านทอดแหจับปลาทุกวันนั่นแหละเ้าค่ะ ต่างคนต่างก็ต้องทำมาหากินเหมือนกัน”
“แล้วใครใช้ให้มันมาทำให้เ้าเจ็บตัวเล่า?” จางเจิ้นอันยังคงไม่ยอมลดละ กล่าวเสียงเข้ม “ในหมู่บ้านนี้มีอยู่ไม่กี่คนที่เข้าป่าล่าสัตว์ ข้าไปสืบถามหน่อยก็รู้แล้วว่าเป็ฝีมือใคร”
“ท่านอย่าไปหาเื่เขาเลยนะเ้าคะ” พอได้ยินเช่นนั้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยิ่งร้อนใจ “ข้าไม่เป็ไรจริงๆ แผลแค่นี้เอง อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว อีกอย่าง ข้าเดินซุ่มซ่ามไปเหยียบโดนเอง จะโทษใครเขาก็ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ”
จางเจิ้นอันเห็นนางร้อนรนปกป้องคนอื่นจริงๆ จังๆ ก็ค่อยๆ สงบอารมณ์ลง ลุกขึ้นยืน กล่าว “ข้าแค่พูดเล่นน่า รู้แล้วว่าเ้าเป็คนใจดี”
“ข้าก็เป็ห่วงท่านนี่เ้าคะ ท่านเพิ่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้ ถือเป็คนนอก หากท่านไปทำตัวกร่างหาเื่คนอื่นไปทั่ว เกิดชาวบ้านเขารวมหัวกันต่อต้านท่านขึ้นมา จะทำอย่างไรเล่า?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถึงความกังวลในใจออกมา
“เหอะ!” จางเจิ้นอันแค่นหัวเราะเสียงเย็น เขาก้มลงใช้ผ้าสะอาดพันแผลที่เท้าให้นางอย่างเบามือ พลางกล่าวว่า “สามีเ้าไม่กลัวไอ้ชาวบ้านกระจอกงอกง่อยไม่กี่คนนั้นหรอกน่า อีกอย่าง ขอแค่ข้าผูกมิตรกับหัวหน้าบ้านไว้ดีๆ ไอ้ชาวบ้านพวกนั้นมันจะทำอะไรข้าได้? พวกมันสู้แรงข้าก็ไม่ได้ อย่างมากก็ทำได้แค่นินทาลับหลังเท่านั้นแหละ!”
“ท่านพี่เก่งที่สุดในโลกเลย!” อันซิ่วเอ๋อร์ชมเปาะ แล้วกล่าวต่อ “แต่ถึงอย่างไร หากไม่มีใครมารังแกเราก่อน เราก็อย่าไปหาเื่ใครเลยจะดีกว่านะเ้าคะ ท่านอุตส่าห์ดีกับข้าขนาดนี้ ข้าไม่อยากให้พวกปากหอยปากปูในหมู่บ้านเอาท่านไปพูดจาเสียหาย ทำลายชื่อเสียงท่านเลย”
“ข้าดีตรงไหนกัน หน้าตาก็ดุเหมือนโจรป่า ตาก็ไม่ดี ที่บ้านก็มีแค่กระท่อมซอมซ่อสองหลังนี้ ที่ดินสักผืนก็ไม่มี เห็นจะมีแต่เ้าคนเดียวนี่แหละที่มองว่าข้าดี” จางเจิ้นอันกล่าว น้ำเสียงเจือแววเยาะหยันตนเองอยู่หลายส่วน
“ไม่จริงเสียหน่อยเ้าค่ะ ท่านพี่ออกจะหน้าตาดีถมไป แถมยังเก่งกาจสารพัด เป็พวกเขาต่างหากที่ไม่รู้จักมองคน” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีใครมาแย่งท่านไปจากข้า เื่ทรัพย์สินเงินทองไม่มีเราก็ค่อยๆ ช่วยกันหา ตาท่านไม่ดี รอพวกเราเก็บเงินได้เมื่อไหร่ ข้าจะพาท่านไปหาหมอเก่งๆ ต้องรักษาให้หายได้แน่นอนเ้าค่ะ”
“ก็มีแต่เ้าคนเดียวนั่นแหละ ที่มองเห็นข้อดีข้ามากมายขนาดนี้” จางเจิ้นอันส่ายหน้าเบาๆ พอพันแผลที่เท้าให้นางเสร็จเรียบร้อย ก็เอ่ยถาม “เ้ายังมีถุงเท้าเหลืออีกคู่หรือไม่?”
“มีเ้าค่ะ อยู่ในหีบใบนั้น” นางพูดพลางทำท่าจะลุกไปหยิบเอง แต่จางเจิ้นอันกลับขยับไปก่อน เขาเปิดหีบเสื้อผ้า ค้นหาถุงเท้าสะอาดคู่หนึ่งส่งให้นาง พอนางสวมถุงเท้าเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยๆ หย่อนเท้าลงจากเตียง กล่าวว่า “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ข้าไปทำอาหารให้ท่านก่อนนะเ้าคะ มื้อกลางวันท่านอยากกินอะไรเป็พิเศษไหม?”
จางเจิ้นอันตอบเรียบๆ “ข้าไม่เลือกหรอก มีอะไรให้กินก็กินอันนั้น”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าทำปลาต้มเหมือนเดิมก็แล้วกันนะเ้าคะ พอดีวันนี้ได้หน่อไม้สดๆ มาด้วย เดี๋ยวข้าหั่นเนื้อปลาผัดหน่อไม้อีกสักอย่าง” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ แล้วเดินขากะเผลกออกจากห้องไป
ขณะที่นางกำลังทำอาหารอยู่ในครัว จางเจิ้นอันก็เริ่มจัดการกับกองไผ่ที่เพิ่งตัดมาใหม่ในลานหลังบ้าน เขาเอากิ่งก้านเล็กๆ ที่ติดอยู่ตามลำไผ่ออกก่อน จากนั้นก็หยิบมีดพร้าขึ้นมา ตั้งท่าจะสับลำไผ่ให้เป็ท่อนๆ
อันซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังก่อไฟอยู่ในครัว ได้ยินเสียงดัง ปัง! ปัง! ปัง! มาจากข้างนอก ก็รีบเดินออกมาดู เห็นจางเจิ้นอันกำลังใช้มือข้างหนึ่งจับลำไผ่ยาวๆ ตั้งขึ้น ส่วนมืออีกข้างเงื้อมีดพร้ากำลังจะสับลงไป ก็รีบร้องถาม “ท่านพี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือเ้าคะ?”
เชิงอรรถ
[1] ประมาณสี่สิบกิโลกรัม
