วันนี้คุณย่าออกจากโรงพยาบาล ลู่ฉี่โหย่วขับรถตู้พาน้องชายสองคนของตัวเองและหวังถงอวิ๋น ลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งอาหญิงไปรับคุณย่าที่โรงพยาบาล
ระหว่างผ่านเขตบ้านพักของสถานีตำรวจที่พี่ชายคนโตอาศัยอยู่ เขามองผ่าน ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน
พี่ชายคนโตเดินอยู่กับหญิงสาวที่เคยให้เกี๊ยวจีกวนเมื่อครั้งก่อน!
หรือ…พี่ชายที่ไม่เคยหวั่นไหวกับหญิงใดนอกจากเถาเถาจะมีคนรักแล้ว?
เขายังอยากมองอีกสักสองสามที หวังถงอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ดันกรีดร้องขึ้นก่อน “เหยียบเบรก เหยียบเบรกเร็วเข้า ชนแล้ว จะชนแล้ว!”
ลู่ฉี่โหย่วรีบละสายตาแล้วเหยียบเบรก
มองรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเพียงเจ็ดแปดเมตรข้างหน้า ถ้าชนเข้าจริง ๆ ผลที่ตามมาคงยากจะจินตนาการ
ลู่ฉี่โหย่วรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ
หวังถงอวิ๋นพูดอย่างจริงจัง “ขับรถห้ามว่อกแว่ก พวกเราอยู่บนรถตั้งหลายคนนะคะ!”
“ใช่ ๆ ๆ อวิ๋นอวิ๋นพูดถูก”
ลู่ฉี่โหย่วรับคำขอไปที พลางกวาดสายตามองแถวเขตบ้านพักสถานีตำรวจ ไม่แม้แต่จะยังเหลือเงาของพี่ชายกับหญิงสาวคนนั้นอยู่? ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็เพียงภาพลวงตา
ลู่ฉี่โหย่วสตาร์ทเครื่องรถอีกครั้งง แล้วออกรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ
…
ลู่ฉี่เสียนพาสวี่ฮุ่ยไปที่ร้านจี้จี้เหม่ย ในร้านคนแน่นขนัดไม่มีที่นั่งว่าง
ลู่ฉี่เสียนให้สวี่ฮุ่ยรอหาที่นั่ง ส่วนเขาจะไปซื้อซาลาเปาน้ำแกง
แถวซื้อซาลาเปาน้ำแกงยาวมาก อย่างน้อยต้องรอครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงคิว
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ต่อแถวยืนเบียดเสียดแนบชิดกัน อากาศก็ร้อน ลู่ฉี่เสียนไม่อยากให้สวี่ฮุ่ยลำบาก จึงให้เธอไปหาที่นั่ง
เขาคิดว่าหาที่นั่งสบายกว่าต่อแถว ขอแค่หาที่นั่งได้ก็จะได้นั่งพัก
สวี่ฮุ่ยยืนริมผนัง และมองไปที่ลูกค้าเ่าั้
เธอเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ขอแค่มีคนกินเสร็จแล้วลุก เธอก็จะพุ่งเข้าไปแย่งที่นั่งทันที
อย่างไรก็ตาม เธอก็แย่งไม่เคยทันคนอื่นสักที
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดใกล้ ๆ เธอก็มีคู่รักคู่หนึ่งที่กินเสร็จแล้วเดินออกไป
สวี่ฮุ่ยรีบวิ่งเข้าไป
คิดในใจ ถ้าใกล้ขนาดนี้ ยังแย่งไม่ได้อีก เธอจะเอาหัวโขกกำแพงซะ
ครั้งนี้เธอแย่งที่นั่งได้สำเร็จ
เธอเพิ่งนั่งลง ก็มีมนุษย์ป้าแต่งตัวดูดีแต่ท่าทางไร้มารยาทคนหนึ่งเดินดุ่มเข้ามาผลักเธอแล้วพูดด้วยสำเนียงคนเมือง “ลุกไปซะ ฉันเห็นที่นี่ก่อน!”
สวี่ฮุ่ยมองเธอด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เห็นก่อนแล้วไงคะ? ต้องแย่งให้ได้สิ! คุณเห็นเงินในธนาคารก่อน คุณกล้าเอาไปสักเฟินหรือเปล่าล่ะ?”
ป้าคนนั้นได้ยินเธอพูดสำเนียงติดบ้านนอก ก็รู้สึกเหนือกว่าทันที
แล้วก็พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “คนบ้านนอกอย่างแกคู่ควรมากินซาลาเปาน้ำแกงที่นี่เหรอ? ไสหัวไปซะ!”
“ฉันจะกิน รอดูสิว่าป้าจะทำอะไรฉันได้”
ตอนนั้นเอง ลู่ฉี่เสียนที่ซื้อซาลาเปาน้ำแกงเสร็จแล้วก็เดินถือเข้ามาถามอย่างจริงจังว่าเกิดอะไรขึ้น
สวี่ฮุ่ยยังไม่ทันอ้าปาก มนุษย์ป้าเห็นลู่ฉี่เสียนรูปร่างสูงใหญ่ หล่อเหลา มีสง่าราศี บนข้อมือสวมนาฬิกาเรือนหรูแวววาว แถมยังพูดสำเนียงคนเมือง ก็นึกว่าเขามาช่วยเธอพูด
คนเมืองก็ต้องช่วยคนเมืองด้วยกันสิ!
ป้าคนนั้นเลยแย่งพูด “คุณคะ เื่มันเป็แบบนี้…”
เธอพูดได้แค่ไม่กี่คำ ก็ถูกเสียงเ็าของลู่ฉี่เสียนขัดจังหวะ “ผมได้ถามคุณเหรอครับ?”
ป้าคนนั้นใจนตัวสั่น รีบหุบปากฉับ
ลู่ฉี่เสียนหันไปพูดกับสวี่ฮุ่ยเสียงนุ่มนวล “เธอบอกมาเถอะ จริง ๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
สวี่ฮุ่ยเล่าเื่ั้แ่ต้นจนจบให้เขาฟัง
ลู่ฉี่เสียนพูดกับป้าคนนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นะเืเพียงคำเดียว “ไสหัวไป!”
ป้าคนนั้นหวาดกลัวกับกลิ่นอายทรงพลังของเขาจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบพาลูก ๆ หลาน ๆ วัยรุ่นข้างหลังหนีไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองนั่งลง สวี่ฮุ่ยมองซาลาเปาน้ำแกงห้าเข่งที่ลู่ฉี่เสียนวางซ้อนกันสูงอยู่ตรงหน้าเธอพลางพึมพำ “ซื้อมาเยอะจัง!”
ลู่ฉี่เสียนพูดยิ้ม ๆ “กินให้จุใจไปเลย”
เขาให้สวี่ฮุ่ยกินก่อน ส่วนเขาจะไปซื้อเต้าหู้นมสดอีกสองถ้วย
ช่องขายเต้าหู้นมสดคนไม่เยอะ ผ่านไปไม่กี่นาที ลู่ฉี่เสียนก็ถือเต้าหู้นมสดร้อน ๆ สองถ้วยเดินกลับมา
เขาวางเต้าหู้นมสดไว้ข้างหน้าตัวเองกับสวี่ฮุ่ยคนละถ้วย เห็นซาลาเปาน้ำแกงทั้งห้าเข่งยังอยู่ในสภาพเดิมเลยพูด “ไม่ใช่ว่าฉันให้เธอกินก่อนเหรอ?”
แม้สวี่ฮุ่ยจะปรับอารมณ์มาหลายชั่วโมงแล้ว แต่พอเห็นลู่ฉี่เสียนเธอก็ยังเขินอาย “ฉันอยากรอกินพร้อมกับพี่ค่ะ”
พูดออกไปแล้วสวี่ฮุ่ยก็อยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเลย
ทำไมฟังดูเหมือนกำลังออดอ้อนขนาดนี้ล่ะ?
ลู่ฉี่เสียนนั่งลง ยกซาลาเปาน้ำแกงหนึ่งเข่งมาวางไว้ตรงหน้าเธอ “กินสิ”
ถึงสวี่ฮุ่ยจะกินดุ แต่ซาลาเปาน้ำแกงหนึ่งเข่งกับเต้าหู้นมสดหนึ่งถ้วยก็เพียงพอแล้ว
ทว่าลู่ฉี่เสียนกลับบังคับให้เธอกินซาลาเปาน้ำแกงไปสองซึ้ง จนเธออิ่มแปล้
หลังจากออกจากร้านจี้จี้เหม่ย ทั้งสองก็เดินไปยังสถานีขนส่ง
ระหว่างทางเห็นห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สวี่ฮุ่ยพลันนึกถึงที่คาดผมสีแดงกุหลาบของเธอที่หายไป
อีกไม่กี่วันต้องไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณในมณฑลกับอาจารย์โจวแล้ว
ถ้าอาจารย์โจวถามว่าทำไมเธอไม่ใส่ที่คาดผมสีแดงกุหลาบ เธอจะตอบว่ายังไงดี?
พูดความจริงคงไม่ได้ จะทำให้อาจารย์โจวกังวลเปล่า ๆ แต่ถ้าโกหกแล้วอาจารย์โจวเข้าใจผิดว่าเธอเป็คนซุ่มซ่ามก็ไม่ดี
งั้นซื้ออันใหม่มาสมอ้างแทนแล้วกัน
สวี่ฮุ่ยหยุดเดิน ชี้ไปที่ห้างสรรพสินค้าเล็ก ๆ แห่งนั้นแล้วบอกกับลู่ฉี่เสียน “ฉันอยากเข้าไปซื้อของหน่อยได้ไหมคะ”
ลู่ฉี่เสียนพยักหน้าตกลง แถมยังเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กเป็เพื่อนเธอด้วย
สวี่ฮุ่ยเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ขายเครื่องประดับผม เลือกที่คาดผมที่เหมือนกับที่อาจารย์โจวซื้อให้เธอทุกประการ ตอนที่เธอกำลังจะจ่ายเงิน
กลับได้ยินลู่ฉี่เสียนพูดว่า “ที่คาดผมอันนี้เรียบไปหน่อย เปลี่ยนอันอื่นเถอะ”
เขาชี้ไปที่ที่คาดผมที่มีโบว์ติดอยู่แล้วพูดกับพนักงานขาย “คุณครับ ผมเอาที่คาดผมอันนั้น”
สวี่ฮุ่ยรีบพูด “ไม่ต้องซื้ออันสวย ๆ หรอกค่ะ”
จากนั้นก็อธิบายเหตุผลที่เธอต้องซื้อที่คาดผมสีแดงกุหลาบอันนี้สั้น ๆ ให้เขาฟัง
หลังฟังจบ ลู่ฉี่เสียนก็ยกยิ้ม “ผมไม่คิดว่าจะได้ซื้อของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อฉลองที่เธอสอบได้อันดับหนึ่งให้เธอ”
เขาซื้อที่คาดผมมีโบว์อันนั้นมา “ฉันให้ที่คาดผมอันนี้เป็ของขวัญ เธอคงไม่รังเกียจนะ”
สวี่ฮุ่ยรู้สึกตื้นตันใจมาก “ไม่รังเกียจเลยค่ะ ชอบมากด้วย!”
ลู่ฉี่เสียนมองเด็กสาวถือที่คาดผมมีโบว์ด้วยท่าทางทะนุถนอม ยิ้มแฉ่งราวกับดอกไม้ ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
เป็เด็กสาวที่เอาใจง่ายจริง ๆ แค่ที่คาดผมอันเดียวก็ดีใจขนาดนี้!
พนักงานขายมองตามหลังทั้งสองที่เดินจากไป พลางตำหนิเชิงดูถูกในใจ
แฟนหนุ่มคนนี้ขี้เหนียวจัง แฟนสาวสอบได้อันดับหนึ่ง เขากลับให้แค่ที่คาดผมอันเดียว ขี้งกสุดๆ!
สวี่ฮุ่ยกับลู่ฉี่เสียนมารอรถที่สถานีขนส่งประมาณสิบนาที รถที่ที่จะไปยังตัวอำเภอก็มาถึง
ทั้งสองขึ้นรถ บนรถเหลือที่นั่งคู่เพียงที่เดียว
พวกเขาเพิ่งนั่งลงบนที่นั่งคู่ พนักงานขายตั๋วก็เดินเข้ามาขายตั๋ว
สวี่ฮุ่ยกับลู่ฉี่เสียนยื่นธนบัตรสิบหยวนให้พนักงานขายตั๋วพร้อมกัน
พนักงานขายตั๋วมองพวกเขาสองคนแวบหนึ่งแล้วรับเงินของลู่ฉี่เสียน ฉีกตั๋วสองใบวางไว้ในมือเขา
สวี่ฮุ่ยเก็บเงินสิบหยวนเข้ากระเป๋า หยิบธนบัตรห้าหยวนออกมาส่งให้ลู่ฉี่เสียน
ลู่ฉี่เสียนมองธนบัตรนั้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เธอทำอะไร?”
“ค่ารถค่ะ”
ลู่ฉี่เสียนโบกมือ “ไม่ต้อง”
สวี่ฮุ่ยพูด “พี่ทำให้ฉันรู้สึกเกรงใจ ต่อไปฉันไม่กล้าเดินกับพี่แล้ว”
ลู่ฉี่เสียนได้ยินแบบนั้นจึงรับเงินห้าหยวนนั้นมา
ั้แ่เช้าจนถึงตอนนี้ สวี่ฮุ่ยรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้าต่อหน้าลู่ฉี่เสียนหลายครั้ง เธออับอายจนไม่กล้าที่จะสบตาเขา จึงพิงกระจกหน้าต่างรถแกล้งหลับ
แต่ไม่คิดว่าจะหลับไปจริง ๆ
ลู่ฉี่เสียนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน ตอนนี้ก็เริ่มง่วงเต็มทีแล้ว ทำให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราท่ามกลางแรงสั่นไหวของรถได้อย่างรวดเร็ว