“ปีกไก่ 5 ไม้ ปลาหมึก 10 ไม้ เนื้อแกะ 10 ไม้ เนื้อวัว 10 ไม้...” ฉินซีสั่งอาหารในร้านปิ้งย่างอย่างคล่องแคล่ว แต่เจี่ยงถิงเฟิงที่เป็ฝ่ายชวนมากลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูเหมือนว่าเขาจะมาสถานที่แบบนี้น้อยมากๆ
แม่ค้าหมุนตัวไปจัดการอาหารให้ ฉินซีหมุนตัวกลับมาหาที่นั่งมุมหนึ่งกับเจี่ยงถิงเฟิง การอยู่ที่นี่ไม่จำเป็ต้องกลัวว่าจะถูกปาปารัสซี่แอบถ่าย ถึงอย่างไรภาพยนตร์และละครหลายเื่ก็มาถ่ายทำที่ใกล้ๆ แถวนี้มากมาย เกรงว่าแม่ค้าเองก็ได้เจอกับดาราไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ตอนนี้ถ้าพวกเขาจะมานั่งทานปิ้งย่างอยู่ที่นี่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร
เจี่ยงถิงเฟิงยังไม่สามารถดึงตัวเองกลับมาจากบทบาทในละครได้ เขาพูดคุยเล่นกับฉินซีไปถึงฉากในละครเพื่อปกปิดความรู้สึกอึดอัดในตอนกลางวัน เจี่ยงถิงเฟิงจึงจงใจพูดล้อฉินซีเล่น “วันนี้นายเล่นซีนนั้นได้สวยงามดึงดูดใจเกินไปแล้ว...”
การที่พวกผู้ชายจะพูดเื่ลามกขึ้นในระหว่างดื่มสุราด้วยกันนั้นไม่ใช่เื่แปลก เพียงแต่พอฉินซีได้ยินเจี่ยงถิงเฟิงพูดแบบนี้ เขาก็มักจะรู้สึกแปลกๆ อยู่เสมอ จึงกลอกตามองบนปกปิดความรู้สึก และตอกกลับเจี่ยงถิงเฟิงไป “ผมไม่มีทั้งหน้าอก ไม่มีทั้งก้น จะไปดึงดูดใจได้ยังไงเล่า?”
เจี่ยงถิงเฟิงหัวเราะร่า “มีต้นขาขาวๆ ไง...”
ฉินซีทุบเขาเล็กน้อย “ออกไปเลยไป”
ในตอนนั้นแม่ค้านำอาหารเข้ามาเสิร์ฟพอดี และซุ้มปิ้งย่างที่ถูกตั้งขึ้นแห่งนี้ก็เริ่มมีคนเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็เป็ทีมงานจากกองถ่ายอื่น บ้างก็เป็ดาราที่ไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไร… ไม่นานนักบรรยากาศในยามค่ำคืนก็ถูกทำให้คึกคัก
หลายวันมานี้ฉินซีกับเจี่ยงถิงเฟิงใช้เวลาร่วมกันมาตลอด เมื่อพูดคุยไปถึงเื่การแสดง ก็สนทนากันได้อย่างออกรส พวกเขาพูดคุยกันไปเรื่อย บรรยากาศก็นับว่าเป็กันเอง ความอึดอัดใน่กลางวันค่อยๆ ถูกลืมเลือน แต่รอจนถึงตอนที่แม่ค้านำเบียร์มาเสิร์ฟ อยู่ดีๆ ด้านข้างก็มีเสียงหนึ่งดังขัดขึ้น เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พวกนายถ่ายกันเสร็จแล้วเหรอ?”
หัวใจของฉินซีเต้นระรัว ในสมองของเขาปรากฏคำหนึ่งะโขึ้นมาทันที “ซวยแล้ว”
เขากับเจี่ยงถิงเฟิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน จงซิงอู๋ยืนอยู่ข้างโต๊ะของพวกเขา และไม่ห่างออกไปยังมีเฉินเจวี๋ยที่ขมวดคิ้วหน้าตาไม่พอใจอยู่ด้วย ตอนที่ฉินซีกวาดสายตาไปก็สบตากับเฉินเจวี๋ยพอดี สายตาเย็นะเืคู่นั้นทำเอาฉินซีรู้สึกผิด อย่างไรคนที่ผิดสัญญาก่อนก็คือเขา และคนที่จะกล้าผิดสัญญากับเฉินเจวี๋ยก็คงมีอยู่ไม่มากนัก!
“อาจารย์จง” ฉินซีละสายตากลับมา ก่อนจะทักทายจงซิงอู๋ก่อน เฉินเจวี๋ยยืนอยู่ไกลแบบนั้น ฉินซีจึงไม่สามารถทักทายเขาได้ ทำได้เพียงเงียบไป
เจี่ยงถิงเฟิงไม่เห็นเฉินเจวี๋ย เขาจึงเรียกจงซิงอู๋ว่า “อาจารย์” ด้วยความกระตือรือร้น ติดอยู่ที่เฉินเจวี๋ย จงซิงอู๋จึงไม่กล้านั่งลง และทำเพียงส่งสายตาลอบมองไปยังเฉินเจวี๋ย เฉินเจวี๋ยขยับฝีเท้าเข้ามาที่โต๊ะอย่างเฉื่อยชา ก่อนจะพูดขึ้นอย่างราบเรียบ “ที่นายลืมฉันไปสนิทก็เพราะจะชวนเขามาทานข้าวนี่เอง”
เจี่ยงถิงเฟิงพลันรู้สึกได้ถึงอันตราย หยาดเหงื่อไหลโชกไปทั่วแผ่นหลัง เขามองไปยังชายที่ไม่ทราบชื่อคนนี้ อ้าปากอยากพูดแก้ตัวให้ฉินซี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก ราวกับอยู่ๆ ความกล้าของเขาก็สูญหายไปหลังจากได้เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
แม้เจี่ยงถิงเฟิงจะไม่รู้สึก แต่ท่าทางของคนตรงหน้าเขาคล้ายว่ามีแรงกดดันกระแสหนึ่งส่งมาเบาบาง
ฉินซีไม่ได้ต่างอะไรจากเจี่ยงถิงเฟิงนัก แต่เขาขนลุกด้วยความตื่นตระหนกไปทั้งตัว เขามักจะรู้สึกว่าคำพูดของเฉินเจวี๋ยประโยคนี้ดูแปลกๆ ฉินซีเองก็ไม่กล้าคิดอะไรให้วุ่นวาย จึงรีบยืนขึ้นเอ่ยขอโทษ “ผมไม่อยากไปรบกวนอาจารย์จงที่กองถ่ายน่ะครับ...”
จงซิงอู๋ที่อยู่ข้างๆ กลายเป็กังวลขึ้นมา เขาไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วยหรอกนะ!
เฉินเจวี๋ยไม่ใช่คนใจคอคับแคบ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางโทษจงซิ่งอู๋ เขามองฉินซีด้วยสายตาเ็า น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ “นายไม่อยากจะไปรบกวนจงซิงอู๋ หรือไม่กล้ามารบกวนฉันกันแน่? นายขี้ขลาดขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร?”
เมื่อถูกเฉินเจวี๋ยพูดแบบนี้ ฉินซีก็มองออกแล้ว ปกติแล้วเฉินเจวี๋ยไม่มีทางใส่ใจการกระทำของพวกคนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร ฉินซีเผยรอยยิ้มออกมาอย่างกระตือรือร้น และเป็ฝ่ายพูดขึ้น “ผมไม่ดีเองครับ ยังไงคุณเฉินก็อยู่ที่นี่แล้ว งั้นผมขอชวนคุณเฉินมาทานอะไรด้วยกันเลยดีกว่า”
ในใจของเฉินเจวี๋ยคิดขึ้น “เ้าหมอนี่หัวหมอจริงๆ ตั้งใจจะใช้ปิ้งย่างมื้อเดียวผ่านเื่นี้ไปแบบงงๆ งั้นหรือ” แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงตอบรับไปง่ายๆ
รอจนแม่ค้ายกเก้าอี้เข้ามา เฉินเจวี๋ยนั่งลงแล้ว ก็เพิ่งคิดขึ้นได้ว่าตอนที่ตัวเองออกมาจากฮ่องกง แม่บ้านของเขาได้กำชับเอาไว้นานแล้วว่า เวลาไปที่อื่นเธอไม่สามารถมาคอยดูแลเขาได้ เพราะเมื่อก่อนเฉินเจวี๋ยคนนี้เคยทานอาหารไม่สะอาดแล้วเกิดเื่อันตรายขึ้นมา แม่บ้านจึงไม่ค่อยวางใจมานานแล้ว
เพราะว่ามีคนเข้ามาเพิ่มอีก 2 คน ฉินซีจึงต้องให้แม่ค้านำอาหารมาเพิ่ม การที่จงซิงอู๋มาถึงตำแหน่งเทพเ้าได้นั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี ตอนนี้แม้จะนั่งอยู่กับคนหน้าใหม่ในวงการบันเทิง จงซิงอู๋ก็ไม่ได้ดูถูกพวกเขา ทั้งยังสั่งอาหารที่ตัวเองชอบทานอย่างเป็มิตรเข้าถึงง่าย ไม่ได้ทำตัวเป็คนอื่นคนไกลแต่อย่างใด
“คุณเฉินชอบทานอะไรครับ?” ฉินซีหันไปถามเฉินเจวี๋ย
พูดกันตามความจริง หลังจากที่เฉินเจวี๋ยนั่งลงและได้เห็นคราบน้ำมันสีดำบนโต๊ะ ความอยากอาหารก็ลดลงไปไม่น้อย เมื่อฉินซีถามขึ้น เขาก็จ้องเมนูอาหารอยู่สักพัก และสุดท้ายก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง “...เบียร์สักแก้วก็แล้วกัน”
อาหารอื่นต่างก็มีรสชาติจัดจ้าน ทั้งยังทำไม่ค่อยสะอาดนัก ไม่ใช่ว่าเฉินเจวี๋ยเื่มาก ทว่ากระเพาะของเขาไม่อาจรับของพวกนี้ได้
เมื่อฉินซีได้ยินดังนั้น เขาก็ดันแก้วเบียร์ของตัวเองไปตรงหน้าเฉินเจวี๋ย “คุณเฉินดื่มแก้วนี้ไปก่อนเลยครับ ผมยังไม่ได้ดื่มเลย”
เดิมทีฉินซีก็อยากจะหาโอกาสไม่ดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้ว คนที่สั่งเบียร์นี้มาก็คือเจี่ยงถิงเฟิง ฉินซีไม่ชอบดื่มจนเมากลับกองถ่ายนัก
คิ้วของเฉินเจวี๋ยเลิกขึ้นอย่างเงียบงัน เขายื่นมือขึ้นไปจับแก้วใบนั้น เบียร์ถูกเติมน้ำแข็งมาก่อน ดังนั้นบนตัวแก้วจึงมีไอน้ำเกาะอยู่รอบๆ พอจับไปโดนก็รู้สึกเย็นสบาย เมื่อความคิดของเขาแล่นไป ก็ยกแก้วขึ้นมาจิบ
จงซิงอู๋รู้ว่าคนรวยบางส่วนมักมีงานอดิเรกแปลกๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินเจวี๋ยจะดื่มมันลงไปจริงๆ เขาเกือบจะตื่นตระหนกจนทำตะเกียบในมือตก อย่าได้พูดถึงจงซิงอู่เลย แม้แต่ดวงตาของบอดี้การ์ดของเฉินเจวี๋ยที่เร้นกายอยู่ก็ยังเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า
มีเพียงฉินซีที่สบายใจที่สุด เขามองไปการกระทำของเฉินเจวี๋ย และได้รู้ว่าความจริงอีกฝ่ายไม่ได้มีภาพลักษณ์สูงส่งอยู่เบื้องบน ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนทั่วไปเหมือนอย่างที่ตัวเองในชาติก่อนคิด ต้องโทษว่าเมื่อชาติที่แล้วเขาคิดถึงภาพลักษณ์ของเฉินเจวี๋ยเอาไว้ลึกซึ้งเกินไป จึงมักจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็พวกคนที่ยากจะรับมืออยู่เสมอ
จงซิงอู๋เป็คนที่เลือกหัวข้อการสนทนาได้ดี แม้จะนั่งอยู่กับคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเทพเ้าเช่นเดียวกับเขา และไม่ใช่คนสูงศักดิ์ร่ำรวยอะไร เขาก็ยังคงหาเื่มาพูดคุยได้อย่างมีความสุข อีกทั้งจงซิงอู๋ก็ถือได้ว่าเป็อาจารย์ของเจี่ยงถิงเฟิง ไม่นานเจี่ยงถิงเฟิงก็พูดคุยสนุกไปกับเขา ฉินซีกับเฉินเจวี๋ยจึงนั่งเงียบอยู่ตรงข้ามกัน มองอย่างไรก็น่าอึดอัด ฉินซีคิดแล้วคิดอีก ที่ตัวเองผิดสัญญาก็เป็ความผิดของตัวเขาเอง จึงต้องเป็ฝ่ายเปิดปากชดเชยความผิดของตัวเอง
ดังนั้นฉินซีจึงพยายามอย่างหนักเพื่อคิดหัวข้อสนทนาออกมา เขาเอ่ยถามเฉินเจวี๋ย “คุณเฉินมาที่นี่ได้ยังไงครับ?” การที่คนสูงส่งอย่างเฉินเจวี๋ยมาถึงเมืองเล็กๆ แบบนี้ได้ นั่นทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ! ใครจะรู้ว่าตอนที่เขาได้เจอกับเฉินเจวี๋ยที่กองถ่าย เขาตื่นใมากแค่ไหน หากดูจากอัตราความถี่ที่เขาได้เจอกับเฉินเจวี๋ยใน่นี้แล้ว มันก็เป็เหมือนพรหมลิขิตอันยิ่งใหญ่! ควรจะรู้ว่ามีคนมากมายอยากเจอกับเฉินเจวี๋ยสักครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เจออยู่
เมื่อฉินซีเป็ฝ่ายเปิดประเด็น เฉินเจวี๋ยเองก็ดูราวกับถูกเปิดทาง เขาถามฉินซีกลับไป “ฉันจะซื้อบริษัทบันเทิงที่หนึ่ง นายมาเซ็นสัญญากับฉันไม่ดีกว่าเหรอ?”
ฉินซีถึงกับแข็งทื่อไป เฉินเจวี๋ยจะซื้อบริษัทบันเทิง? ไม่ใช่สิ เขาจำได้แม่นว่าเมื่อชาติก่อน เฉินเจวี๋ยซื้อบริษัทบันเทิงเก่าแก่แห่งหนึ่งหลังจากที่เขามีชื่อเสียงแล้ว! หรือว่าชาตินี้พอเขากลับมาเกิดใหม่ มันก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก[1] ขึ้นมา และเื่อื่นๆ ก็จะถูกเปลี่ยนตามไปด้วย?
ในใจของฉินซีเกิดความลังเลขึ้น ความจริงแล้วเขากังวลเล็กน้อยว่า หลังจากนี้เื่ราวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นหรือเปล่า หากว่ามันเปลี่ยนไปมากเกินไป ข้อได้เปรียบอันได้มาจากการกลับมาเกิดใหม่ของเขาก็จะสูญเสียไป… เพราะว่าเขาจะไม่มีความสามารถล่วงรู้เื่ราวก่อนหน้าแล้ว!
เมื่อเห็นฉินซีก้มหน้าลงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เฉินเจวี๋ยก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดว่าฉินซีกำลังพยายามหาข้ออ้างในการปฏิเสธ เฉินเจวี๋ยคิดไปถึงว่าผู้กำกับของละครที่ฉินซีแสดงคือสวี่เทา สวี่เทาชอบเอาตัวนักแสดงหน้าใหม่มาไว้ในสังกัดของตัวเอง ไม่แน่ว่าเขาอาจเซ็นสัญญากับฉินซีไปแล้วก็ได้… เฉินเจวี๋ยไม่อยากให้สีหน้าของตัวเองดูย่ำแย่มากจนเกินไป เขาจึงพูดกลบคำถามก่อนหน้า และกระทำราวกับไม่เคยหยิบยื่นความหวังดีนี้แก่ฉินซี “นายรับบทเป็ใครในละครของสวี่เทา?”
ฉินซีไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ เฉินเจวี๋ยถึงถามเื่นี้ จึงถามเขากลับไป “หรือว่าวันนี้คุณเฉินไปดูอยู่ตั้งนาน ก็ยังมองไม่ออกว่าผมรับบทเป็ตัวละครตัวไหนเหรอครับ?”
เฉินเจวี๋ยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าตอนที่อยู่ในกองถ่าย เขาจะสูญเสียการควบคุมขนาดนั้น ไปกองถ่ายกับจงซิงอู๋โดยที่ไม่ได้สนใจว่ากองถ่ายนี้กำลังถ่ายทำเื่อะไร เพียงแต่พอเข้าไปดูก็ได้เห็นฉินซีแสดงฉากใกล้ชิดกับคนอื่น การแสดงของฉินซีมีเอกลักษณ์ และจับใจคนได้ดี โดยเฉพาะรูปลักษณ์ของเขาที่ไม่ธรรมดา และทักษะการแสดงที่ใช้การได้ดี เมื่อรวมกับฉากของกองถ่ายที่ถือว่าจัดขึ้นมาได้ค่อนข้างสวยงามมีความสุนทรียศาสตร์แล้ว ตอนที่เฉินเจวี๋ยมองดู เขาก็ไม่ได้ยินบทคำพูดเลยแม้แต่คำเดียว สมาธิของเขาไปหยุดอยู่ที่ตัวของฉินซีอย่างไม่ทันรู้สึกตัว
แต่ว่าคำพูดนี้ เฉินเจวี๋ยไม่มีทางพูดออกมาแน่
สีหน้าของเขาราบเรียบและยังคงทำตัวไม่อาจคาดเดาได้เช่นเดิม “ฉันยังไม่รู้เลยว่าพวกนายแสดงละครอะไรกันอยู่”
ฉินซีกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ผู้กำกับสวี่นำ [กระบี่เย้ยยุทธจักร] มาถ่ายทำใหม่น่ะครับ เดี๋ยวตอนที่ปล่อยออกอากาศแล้ว คุณเฉินต้องดูด้วยนะ!”
อยู่ๆ เฉินเจวี๋ยก็รู้สึกว่าท่าทางที่ฉินซีมีต่อตัวเขาค่อนข้างปล่อยวางลงไม่น้อย และไม่ได้ใกลัวหรือคอยระแวดระวังขนาดนั้นแล้ว
มุมปากของเฉินเจวี๋ยยกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงที่พูดกับฉินซีเองก็ไม่ได้ราบเรียบขนาดนั้นแล้ว “แม้แต่ฉันก็ยังไม่ปล่อยผ่าน จะต้องให้ฉันเพิ่มยอดเรตติ้งให้อีกเหรอ?”
จงซิงอู๋บังเอิญได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี ในใจของเขากำลังคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเจวี๋ยกับฉินซีขึ้นใหม่ เขายิ้มตาหยีพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ และพูดเสริมขึ้น “ไม่ใช่แค่คุณเฉินเท่านั้นนะ เอาไว้ออกอากาศแล้ว ฉันก็จะเพิ่มยอดเรตติ้งให้ด้วย”
……
[1] ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) คือการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรเล็กๆ อาจส่งผลไปถึงตัวแปรใหญ่ และส่งผลต่อเนื่องสู่ภาพรวมได้