“วางใจเถอะ” ฉางนั่วตบไหล่หนิงยวนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะทำผิดเช่นนั้นได้อย่างไร? วรยุทธ์ที่ข้าใช้มีสองประเภทซึ่งแตกต่างกันสิ้นเชิง แม้แต่อาวุธก็ไม่เหมือนกัน ขณะประลองกับลู่เจียงเป่ย ครั้งนั้นข้าใช้ดาบจึงสามารถเอาชนะเขาได้เพียงเล็กน้อย เขาชื่นชมข้ายกใหญ่ ทั้งยังแนะนำให้เข้าร่วมทดสอบวรยุทธ์ในการสอบคัดเลือกขุนนางอีกด้วย ต่อมาข้าปลอมตัวเป็เฟิงหยางต่อสู้กับเขาอีกครั้งด้วยวรยุทธ์หมัดซึ่งเป็วรยุทธ์นอกสำนักของพวกอู่ตัง อาวุธก็เปลี่ยนเป็ค้อนคู่ อีกทั้งยังไม่เคยออกกระบวนท่าทั้งหมด เมื่อผ่านหนึ่งร้อยกระบวนท่า ข้าต้านทานดาบยาวของเขาไม่ไหวจึงพ่ายแพ้ เป็ไปไม่ได้ที่เขาจะจำตัวตนที่แท้จริงของข้าได้ อีกอย่าง เ้าฟัง...”
ฉางนั่วกระแอมก่อนเปลี่ยนน้ำเสียงต่างจากเดิมกะทันหัน “ข้าชื่อเฟิงหยาง ข้าเรียกตัวเองว่าจวินหย่ง ข้าชื่นชมชื่อเสียงยอดฝีมือแซ่ลู่ ‘เทพกระบี่ชุดขาว ฟ้าดินอยู่เพียงเอื้อม’ มานานแล้ว วันนี้เ้าโดดเด่นนัก เป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ ตอนข้าปลอมตัวเป็เฟิงหยางจะใช้น้ำเสียงนี้พูดคุยกับท่านลู่ เขาจะรู้ว่าข้าเป็ฉางนั่วได้อย่างไร?” เสียงของเขาทุ้มกว่าปกติมาก ทั้งยังแหบแห้งเสมือนเด็กชายขณะเสียงแตกหนุ่ม ฟังแล้วก็กลายเป็คนละคนโดยปริยาย
หนิงยวนยังคง้าหาข้อผิดพลาดเพื่อให้อีกฝ่ายแก้ไขความคิดจึงเอ่ยโกหก “ท่านอาจารย์ไป๋เคยกล่าวว่าน้ำเสียงของเ้าค่อนข้างสูง แม้ฟังดูใช้ได้ในสองสามประโยคแรก แต่ระหว่างนั้นเสียงของเ้าจะเปลี่ยนไปหลายครั้ง หากน้ำเสียงของเ้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาขณะพูดจะฟังดูตลกเกินไป”
“จริงหรือ? เหตุใดข้าไม่รู้สึก?” ฉางนั่วกล่าวด้วยความสับสน “ขณะข้าไปคารวะเขาครั้งที่แล้ว เขายังยกย่องว่าข้าเป็ “ผู้มีความสามารถ” ทั้งยังบอกว่าข้ามี “อนาคตยาวไกล” เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าเขาจะวิจารณ์เช่นนี้ลับหลัง…เื่นี้เกิดขึ้นเมื่อใด?”
หนิงยวนจ้องรองเท้าบูตของตนพลางเอ่ยโกหก “หนึ่งวันหลังพวกเ้าพบกันครั้งสุดท้าย ตอนท่านอาจารย์ไป๋พูดถึงเ้า เขายังบอกว่าเ้าใจร้อน เรียนรู้อะไรก็เรียนรู้เพียงผิวเผิน เสียความสามารถอันยอดเยี่ยมโดยเปล่าประโยชน์”
ฉางนั่วเศร้าและผิดหวังมากเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าลำพองใจของเขาจางหายไป ที่แท้…ภาพลักษณ์ของตนในความคิดท่านอาจารย์เป็เช่นนี้เอง
ครั้งฉางนั่วยังเด็กเคยได้ยินว่าท่านนักพรตไป๋หยางไป่สามารถควบคุมพลังแห่งธรรมชาติได้ เขาจึงโหยหาทักษะเ่าั้ ทั้งยัง้าเห็น “าาับนโลกมนุษย์” สักครั้ง อยากรู้ว่าพลังเหนือธรรมชาติมีหน้าตาเช่นไร เหนือศีรษะของเขาจะมีเขาสักกี่อัน ต่อมาเมื่อฉางนั่วรู้จักองค์ชายสิบเจ็ดนามว่าจูฉวน มีนามสมมติว่าหนิงยวน จึงรู้ว่านักพรตผู้ซึ่งแม้แต่จักรพรรดิก็ไม่สามารถอยู่ในสายตาเขาได้นั้นเป็อาจารย์ขององค์ชายสิบเจ็ด ทั้งยังถ่ายทอดทักษะมากมายให้แก่เขา
ฉางนั่วอิจฉาหนิงยวนมากจึงรบเร้าให้หนิงยวนแสดงทักษะที่เรียนรู้จากท่านนักพรต แม้หนิงยวนจะคิดว่าตนไม่ใช่นักแสดง แต่ฉางนั่วนั้นเป็สหายคนแรกในเมืองหลวง ทั้งสองแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน หนิงยวนจึง้าพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตนและฉางนั่ว เป็เหตุให้เขายอมเล่าความลับการเป็ศิษย์ของไป๋หยางไป่ให้ฉางนั่วฟัง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องปรบมือของฉางนั่ว เขาแสดงทักษะการปลอมตัวอย่างไม่เต็มใจนัก โดยเปลี่ยนใบหน้าและเปลี่ยนเสียงภายในเวลาครึ่งก้านธูป ฉางนั่วชื่นชมการแสดงนี้ยิ่งนักจึงขอให้หนิงยวนสอนทักษะทั้งสองแก่เขา
ไป๋หยางไป่เชี่ยวชาญหลายร้อยทักษะ หนึ่งในนั้นคือทักษะการปลอมตัวและเปลี่ยนน้ำเสียงซึ่งเป็ทักษะที่ไม่สำคัญเท่าไรนัก อีกทั้งฉางนั่วเป็สหายคนสำคัญผู้มีพร์ จะเป็ประโยชน์มากหากเขาได้เรียนรู้ทักษะการปลอมตัวนี้ หนิงยวนคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจถ่ายทอด “ทักษะการปลอมตัว” และ “เปลี่ยนน้ำเสียง” ให้ฉางนั่วโดยพลการ...ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคารพความคิดเห็นและอำนาจของอาจารย์ แต่ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของไป๋หยางไป่ หาก้าขอความคิดเห็นจากเขาก็ไม่รู้ว่าต้องไปตามหาจากที่ใด
สองเดือนต่อมา ทักษะการเปลี่ยนเสียงของฉางนั่วดีขึ้นแต่ทักษะการปลอมตัวยังต้องพัฒนาอีกมาก หนิงยวนสอนทุกอย่างที่ตนรู้ทว่าฉางนั่วโง่เกินกว่าจะเรียนรู้ทักษะนี้ ผู้สอนเช่นหนิงยวนก็ไร้หนทางช่วยเหลือ
เช้าวันหนึ่ง สหายสนิทคู่นี้กำลังศึกษาประเด็นการป้องกันชายแดนและสามกลยุทธ์จัดการพวกญี่ปุ่นในสำนักจงชู่เสิ่ง ทว่าจู่ ๆ ไป๋หยางไป่ก็ปรากฏตัวในชุดข้ารับใช้ด้วยใบหน้าขมขื่น ก่อนกระซิบว่าสองวันที่ผ่านมาเขาเสียพนันโดยไม่ระมัดระวัง ตอนนี้้าเงินเล็กน้อยเพื่อเอาชนะเดิมพันที่เสียไป เขาไม่มีลูกจึงจำต้องขอเงินจากลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขา ไป๋หยางไป่ถูมือพลางพูดกับหนิงยวนว่าหากมีเงินก็ให้เขาสักสองสามร้อยตำลึง หากไม่มีก็รีบไปยืมจากพี่น้องเสีย หากหนิงยวนไม่ให้เงิน เขาก็จะไม่ไปไหน และหากให้น้อยกว่าที่เขา้า แม้แต่อาจารย์กับศิษย์ก็อย่าหวังจะได้เป็
เมื่อรู้ว่าชายชราอัปลักษณ์พูดจาหยาบคายเบื้องหน้านี้คือท่านอาจารย์นักพรตผู้โด่งดัง ฉางนั่วก็ใพูดอะไรไม่ออก ขณะที่หนิงยวนเคยชินคำพูดและการแต่งตัวของอาจารย์แล้ว โดยปกติเขาไม่จำเป็ต้องใช้เงิน ไหนเลยจะพกตั๋วเงินถึงสองสามร้อยตำลึง? เครื่องประดับบนตัวก็ล้วนเป็ของพระราชทาน แม้อาจารย์จะนำมันไปโรงรับจำนำ เ้าของร้านก็ไม่มีทางรับแน่นอน หนิงยวนจึงอธิบายเหตุผลแล้วบอกให้อาจารย์มาที่นี่อีกครั้งในตอนบ่าย รอให้เขากลับจากหยิบตั๋วเงินที่ตำหนักข้างขององค์ชายในตอนเที่ยงเสียก่อน
เมื่อฉางนั่วได้สติก็โค้งคำนับเป็การใหญ่ให้ไป๋หยางไป่ด้วยสีหน้าจริงจัง พลางบอกว่าเขาได้ยินชื่ออีกฝ่ายมานานและเคารพเขามาก หวังว่าไป๋หยางไป่จะรับเขาเป็ศิษย์อีกคนหนึ่ง
ไป๋หยางไป่ปรายตามองพลันปฏิเสธทันที กฎข้อที่เจ็ดสิบเอ็ดของสำนักต้ากว้าเหมินกำหนดว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับลูกศิษย์หูกางและน้ำเสียงเหมือนสตรี ทว่าฉางนั่วไม่ยอม เขาพยายามพูดเสียงทุ้มทันทีเพื่อแสดงให้เห็นว่าทักษะการเปลี่ยนเสียงของเขาเหนือกว่าหนิงยวนผู้เป็ “ลูกศิษย์แท้จริง” อย่างชัดเจน
เมื่อไป๋หยางไป่ได้ยินก็เดือดดาลพุ่งไปกระชากคอเสื้อหนิงยวนทันที ก่อนเอ่ยถามด้วยความโกรธ “เ้าถ่ายทอดทักษะลับของข้าให้คนนอกได้อย่างไร” หนิงยวนกำลังจะยอมรับข้อผิดพลาดและอธิบายเหตุผล ทันใดนั้นไป๋หยางไป่ก็ปล่อยเขากะทันหัน เปลี่ยนไปกระชากคอเสื้อฉางนั่วแทน ก่อนถามเขาว่ามีถุงเงินหรือไม่ ให้ตนดูได้หรือไม่ ฉางนั่วจึงเปิดถุงเงินของเขาให้ท่านนักพรตดูด้วยความงุนงง
ไป๋หยางไป่เปิดถุงเงินก่อนเหลือบมองตั๋วเงินพร้อมชั่งน้ำหนักแท่งเงินในถุง จากนั้นก็ยัดมันใส่ในแขนเสื้อด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ย “นี่ถือเป็ค่าเล่าเรียน เ้าอาจยังไม่รู้ว่ากฎข้อที่หนึ่งร้อยยี่สิบสามของสำนักต้ากว้าเหมินเขียนว่า ‘หากทักษะของอาจารย์ถูกคนนอกเรียนรู้โดยบังเอิญจะต้องขอค่าเล่าเรียนจากอีกฝ่าย’ ” ทักษะการพูดจาหยาบคายของสำนักต้ากว้าเหมินนั้นแตกต่างกับ “ทักษะการพูดจาไพเราะ” ในยุทธภพ การใช้ทักษะนี้ในระยะยาวไม่ก่อให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คอแห้งและเจ็บคอ ทว่าทักษะนี้สูญหายไปหลายร้อยปีแล้ว ในฐานะผู้สืบทอดหนึ่งเดียวบนโลกที่สามารถใช้ทักษะนี้ได้ ไป๋หยางไป่จึงไม่ถูกมองว่าเป็คนโลภแม้จะเรียกเก็บเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงก็ตาม
ฉางนั่วดีใจที่ได้ยินว่าเขาสามารถจ่ายค่าทักษะการเรียนรู้ได้จึงคารวะอาจารย์ด้วยความยินดีพลางกล่าว “อันที่จริงข้าเรียนรู้ทักษะการปลอมตัวมาจากองค์ชายสิบเจ็ด แต่เขาไม่ชำนาญการสอนนัก ท่านช่วยถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ข้าได้หรือไม่ ข้าจะไม่เรียนโดยไม่ให้เงิน ท่านอาจารย์โปรดรับของขวัญเล็กน้อยนี้ด้วยขอรับ” พูดจบก็ยื่นลูกคิดทองคำละเอียดขนาดครึ่งฝ่ามือให้อีกฝ่ายด้วยความนอบน้อม
แม้ลูกคิดทองคำพกพานี้จะมีทองคำเพียงเล็กน้อย แต่ขั้นตอนการทำนั้นใช้แรงงานนับไม่ถ้วน ทั้งมีคุณค่าและหายากยิ่ง ราคาก็สูงถึงห้าร้อยตำลึงขึ้นไป นี่เป็ของขวัญที่ลุงมอบให้ฉางนั่วในงานฉลองวันเกิดที่ผ่านมา ลูกปัดบนลูกคิดนั้นค่อนข้างพิเศษ สามารถใช้เป็อาวุธได้ ฉางนั่วสนใจสิ่งนี้มากจึงเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา
ไป๋หยางไป่ฉีกยิ้มกว้างแทบถึงรูหูก่อนเก็บลูกคิดทองคำในแขนเสื้อ เขากล่าวชมฉางนั่วว่าั้แ่แรกเห็นก็รู้ว่าฉางนั่วเป็ชายหนุ่มมีพร์ ดีกว่าลูกศิษย์โง่ที่แม้แต่เงินยังไม่พกผู้นั้นเสียอีก
ฉางนั่วเกาศีรษะด้วยความเขินอาย ทั้งยังไม่สามารถหยุดยิ้มได้ เขาถามท่านนักพรตว่าเวลาใดที่อีกฝ่ายสะดวกสอนทักษะการปลอมตัวให้แก่เขา
ไป๋หยางไป่หัวเราะเสียงดังก่อนตบหัวฉางนั่วอย่างแรง พลางบอกว่าเขาเป็เด็กดี มีอนาคตไกล เมื่อเรียนรู้สิ่งใดก็ต้องแยกแยะและทำความเข้าใจทีละขั้นตอน ่นี้ตนไม่ค่อยว่างจึงไม่สามารถถ่ายทอดวิชาให้เขาเป็การส่วนตัวได้ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะลูกศิษย์ที่น่าภูมิใจหนึ่งเดียวของเขามีอิสระที่จะสอน เ้าสามารถกักขังและใช้งานเขาจนกว่าเ้าจะเรียนรู้เพียงพอสำหรับเงินห้าร้อยตำลึง หากการสอนของเขายังไม่เป็ที่น่าพอใจ สามารถขอเงินคืนเงินจากจูฉวนได้” ไป๋หยางไป่พูดจบก็ผลักร่างจูฉวนวัยสิบสามปีเข้าสู่อ้อมแขนฉางนั่ววัยสิบหกปีทันที ไป๋หยางไป่ปกปิดใบหน้าด้วยแขนเสื้อก่อนหนีจากสำนักจงชู่เสิ่งที่น่าเกรงขามผ่านประตูข้างอย่างรวดเร็ว
ทุกครั้งที่ฉางนั่วนึกถึงเื่ราวสองปีก่อนก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เขาไม่คาดคิดว่าจะโชคดีได้พบนักพรตไป๋หยางไป่ด้วยตนเอง ทั้งยังได้รับคำชมว่า “เป็เด็กดี มีอนาคตไกล” แต่ตอนนี้หนิงยวนกลับบอกว่าท่านนักพรตวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาใจร้อน อีกทั้งยังผิดหวังในพร์ของเขา จะไม่ให้เขาท้อใจได้อย่างไร?
หนิงยวนตบเรียกสติฉางนั่ว ลดเสียงลงก่อนเอ่ยเตือน “ความจริงแล้ว การที่ข้าเลือกมาหยางโจวหลังถูกลู่เจียงเป่ยทำร้าย ไม่ใช่เพราะเ้าอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่เมื่อต้นเดือนข้าได้รับจดหมายจากอาจารย์ไป๋ เขาบอกว่าจะใช้เวลาสองสามวันที่ร้านอาหารไท่ไป่ในเมืองหยางโจว หากข้า้าความช่วยเหลือสามารถไปหาเขาได้…”
“เขามาที่เมืองหยางโจวหรือ?” ฉางนั่วตาเป็ประกาย “ข้าขอไปคารวะเขาพร้อมเ้าได้หรือไม่?”
หนิงยวนโบกมือเป็เชิงให้รอดูเหตุการณ์ก่อน จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับการเตรียมการต่อไป “แผนก่อนหน้านี้ ิเยวี่ยจะปลอมตัวเป็ข้ารีบกลับไปที่ต้าหนิงเพื่อดูกองทหาร แต่ด้วยทักษะการปลอมตัวของข้า แม้ใบหน้าที่พิเศษที่สุดก็อาจคล้ายต้นฉบับได้เพียงหกส่วน อีกทั้งใบหน้าปลอมนั้นสามารถเก็บไว้ได้นานที่สุดเพียงสามวัน ยากจะบอกว่าสายลับที่ลู่เจียงเป่ยส่งมาจะมองทะลุกลลวงได้หรือไม่ ข้าจึงนึกถึงอาจารย์ไป๋ผู้มีทักษะการปลอมตัวหาที่เปรียบมิได้ เขาสามารถสร้างใบหน้าปลอมให้คล้ายใบหน้าต้นฉบับได้มากกว่าเก้าส่วน ทั้งยังสามารถเก็บรักษาได้เป็เวลานาน ข้าจึงมาที่เมืองหยางโจวเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาโดยเฉพาะ แต่ระหว่างทางข้าได้รับาเ็มากเกินไป เวลาจึงล่าช้าไปมาก…คิดไม่ถึงว่าลู่เจียงเป่ยจะซ่อนพลังความแข็งแกร่งไว้มากเพียงนี้ เฉิงนั่ว จงจำไว้ว่าต่อไปหากเ้าทำภารกิจหออู่อิงแล้วต้องเผชิญหน้ากับเขา อย่าต่อสู้เด็ดขาด ต้องหนีเอาตัวรอดทันที”
ดวงตาฉางนั่วจ้องเขม็ง “เ้าต้องล้อเล่นเป็แน่ ข้าไม่เคยหนีกลางคัน มีแต่จะไล่ตามคู่ต่อสู้ ลู่เจียงเป่ยน่ะหรือ แม้เขาจะแยกสามร่าง ข้าก็จะต่อสู้อย่างกล้าหาญ”
“ไร้สาระ ข้ากลายเป็เช่นนี้แล้วยังไม่คิดว่านี่คือการเตือนอีกหรือ? แม้ลู่เจียงเป่ยจะเป็ศัตรูที่แข็งแกร่งแต่ก็ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับพวกเรา การโจมตีเขาไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด หากเ้าพบเขาก็ควรหลีกเลี่ยงเสียดีกว่า” หนิงยวนมองฉางนั่วด้วยความขมขื่น ก่อนถอนหายใจพลางเอ่ย “เมื่อไรเ้าจะเลิกยโส ข้าจะได้ลดความกังวลใจได้บ้าง แล้ว...ตระกูลเฟิงสงสัยว่าเ้าเป็ตัวปลอมหรือไม่? ข้ากังวลทักษะการปลอมตัวของเ้ายิ่งนัก”
ฉางนั่วสะบัดพัดพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลเลย เฟิงหยางเสียชีวิตบนูเาอู่ตังขณะอายุสิบสองปี ไม่มีใครรู้ว่าเขาเสียชีวิต ไม่มีใครเคยเห็นว่าเขาเติบโตมีหน้าตาเช่นไร ขณะนั้นข้าอยู่ที่เชิงเขาอู่ตังเพื่อเรียนรู้ทักษะกับเขา กินนอนด้วยกันถึงสี่ปี ทำให้ข้าแต่งตัวเหมือนเขาในวัยเด็กได้โดยง่าย แม้เฟิงหยางจะเติบโตจนอายุครบสิบแปดปี แต่คนส่วนใหญ่ในตระกูลเฟิงก็อาจยอมรับข้าเป็คุณชายใหญ่มากกว่าเฟิงหยางตัวจริงเสียอีกกระมัง ฮ่า ๆ พวกเราจะไปคารวะท่านนักพรตชราเมื่อไรหรือ?”
หนิงยวนส่ายศีรษะพลางตอบ “ข้าจะไปรักษาาแที่ตระกูลหลัวทันที เ้าไปบอกเหล่าไท่จวินว่าเ้ามีเื่เร่งด่วนต้องจัดการ ให้นางพาคนป่วยในรถกลับตระกูลหลัวด้วย จากนั้นเ้าก็ไปหาท่านอาจารย์ไป๋ที่ร้านอาหารไท่ไป๋ ให้เขาเปลี่ยนเ้าเป็ข้าและเปลี่ยนิเยวี่ยเป็เฟิงหยาง ส่งิเยวี่ยกลับตระกูลหลัวเพื่อเป็ญาติและเป็แขก อยู่ที่นั่นจนกว่าข้าจะหายดี ประมุขเฟิงจะไม่สงสัยหากรู้ว่าลูกชายใช้เวลาหลายวันกับป้าคนสนิท มะรืนนี้มีการซ้อมรบในสนามใหญ่เมืองต้าหนิง การเดินทางจากที่นี่ไปยังต้าหนิงต้องใช้เวลาสี่ห้าวัน มีเพียงเ้าที่มีทักษะฝีเท้าเร็ว ไม่มีใครในโลกไปถึงเมืองต้าหนิงได้ภายในสองวันนอกจากเ้า ข้าถึงวางใจฝากฝังเื่นี้กับเ้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้