เยี่ยนเจาเจาหลุบตาลง ซ่อนรอยยิ้มที่แอบผุดขึ้นมาในแววตา
มากกว่าการดูถูก คือการไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา
หากมิใช่เพราะคราวนั้นเยี่ยนฟางหวายั้งมือไม่อยู่จนผลักนางตกน้ำ เกรงว่าแม่ของตนคงคร้านจะแตะต้องตัวตลกคู่นี้
องค์หญิงหันกลับมาทอดพระเนตรบุตรีที่ยังโตไม่เต็มวัยของตนเอง ก่อนจะถอนปัสสาสะแฝงความรู้สึกยากจะเข้าใจ
“ลูกข้า ก่อนหน้าข้าเคยคิดว่าเ้ายังเล็ก แต่ยามนี้เพิ่งรู้ตัวว่าเ้ามีความคิดเป็ของตนเองแล้ว ข้าจึงไม่อยากเอ่ยเื่ไร้ประโยชน์เ่าั้กับเ้า ดังนั้นข้าจะบอกเ้าเพียงประโยคเดียว
ข้ากุมอำนาจยิ่งใหญ่ ต่อไปลูกข้าก็เช่นกัน”
องค์หญิงส่งสัญญาณให้เยี่ยนเจาเจามองสองแม่ลูกที่ดูอ้างว้างจนตรอกเป็พิเศษท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย แล้วพระองค์ก็ยิ้มบางเบาพลางเอ่ย
“นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เกียรติก็จะจมอยู่ใต้เข่านางตลอดไป”
คำพูดนี้สะกิดทุกความรู้สึกนึกคิดภายในใจของเยี่ยนเจาเจา
ชาติก่อนนางวิ่งแจ้นไปข้างกายเหลียงอิน คนมากมายด่าแรงเสียยิ่งกว่าแรง นางโดนชื่อเสียงผูกมัดแทบตาย ทั้งที่ความจริงชื่อเสียงป่นปี้ไปนานแล้ว
เมื่อชื่อเสียงฉาวโฉ่ นางจึง้ากอบกู้ชื่อเสียงตนเองคืนมามากกว่าเดิม สุดท้ายเลยถูกสิ่งปลอมเปลือกเล็กน้อยนี้จำกัดจนก้าวเดินลำบาก ต้องทุกข์ทรมานตลอดเวลา รู้สึกเดินเชิดหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทว่าพอท่านแม่เอ่ยกับนางเยี่ยงนี้ นางพลันรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่สำคัญจริงๆ
ชื่อเสียงที่บ่มเพาะอย่างดีย่อมนำประโยชน์หลายอย่างมาก็จริง แต่สำหรับคนเช่นเยี่ยนเจาเจา ชื่อเสียงอย่างมากก็เป็เพียงเครื่องประดับเท่านั้น ไม่ใช่ของจำเป็สักนิด
เช่นเดียวกับเวลานี้ สตรีเปี่ยมคุณธรรมที่มีชื่อเสียงในเมืองเซียงเฉิงอย่างเยี่ยนฟางหวา และฮูหยินผู้เพียบพร้อมชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองเซียงเฉิงอย่างหวังซื่อ พวกนางจะรู้สึกสบายใจยามคุกเข่าอยู่กลางพายุฝนหรือ?
แน่นอนว่าไม่มีทาง
่ไม่กี่ปี่สุดท้ายของชาติก่อน ยามนางมีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือ คนเหล่านี้กล้ามองตรงมาที่นางไหม?
เยี่ยนเจาเจาทอดถอนใจ
เป็นางที่กักขังตนเองไว้
ชาติที่แล้วตนเล่นไพ่ดีในมือได้ย่ำแย่ ชาตินี้นางควรจะเย่อหยิ่งและบ้าบิ่นเหมือนท่านแม่ของนางบ้าง
เยี่ยนเจาเจาแย้มยิ้มงดงามขึ้นมาอีกครา ก่อนจะหันมองท่านแม่ที่แม้ว่าจะมีั์ตาเฉยชาแต่กลับไม่ปิดบังสีหน้าข้างกาย นางจึงถอนหายใจแ่เบา “ท่านแม่กล่าวถูก ชื่อเสียงเหลือไว้ให้กาฝากอย่างพวกนางพอ ส่วนข้าไม่จำเป็ต้องมีเครื่องประดับเลยเ้าค่ะ”
สถานภาพของนางไม่ควรอยู่เฉพาะในหลังบ้าน แต่ควรอยู่บริเวณนอกรอบ และใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
ความเคียดแค้นชิงชังและความหดหู่มากมายนับั้แ่มาเกิดใหม่ราวกับจะสลายหายไปชั่วครู่ และเยี่ยนเจาเจาเพิ่งรู้ตัวในเวลานี้เองว่าหากกลับมาเกิดใหม่คราวนี้แล้วชีวิตมีเพียงการแก้แค้นก็คงน่าเบื่อหน่ายนัก
เมื่อเดินออกจากเงามืดสลับซับซ้อน จะพบว่ายังมีแสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าอยู่ด้านนอกเสมอ
องค์หญิงเพิ่งเคยเห็นเยี่ยนเจาเจาแสดงอารมณ์เช่นนี้ต่อหน้าพระองค์ครั้งแรก ทั้งที่บุตรียังสูงไม่ถึงเอวของตน อีกทั้งหน้าตายังดูอ่อนวัย แต่กลับซ่อนความคิดเปิดกว้างแบบที่มีเพียงผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะมีความคิดเยี่ยงนี้ได้
รูปโฉมของนางไม่คล้ายตนเอง แต่คล้ายบิดานางมากกว่า มีแค่ดวงตาที่สามารถมองเห็นร่องรอยของคนตระกูลเหลียงเก่า
บุตรของตระกูลเหลียงเก่าสมควรเป็เยี่ยงนี้
ดังนั้นองค์หญิงจึงแย้มสรวล ก่อนลูบหัวเยี่ยนเจาเจาอย่างรักใคร่ทะนุถนอมพร้อมเอ่ยว่า “แน่นอนว่าลูกข้าไม่จำเป็ต้องทะเลาะกับพวกนาง บางเื่แม่ทำเหมาะสมกว่า ภายภาคหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีข้าและพ่อเ้าอยู่”
นี่คือลูกน้อยที่นางสู้เกือบสุดชีวิตกว่าจะคลอดออกมาได้ และมีแบบนี้คนเดียวชั่วชีวิต ล้ำค่ายิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของนางเองเสียอีก
หนานิเหอเดินออกมาจากห้องหนังสือ เดิมทีเขาตั้งใจจะรอกลับพร้อมเจาเจา แต่ซงจื่อที่เป็หญิงรับใช้ของเรือนนภาครามบอกว่าองค์หญิงมีเื่จะตรัสกับคุณหนู ให้เขากลับไปก่อน
แม้ใจเขาจะเสียดาย ทว่าเมื่อยามนี้มีธุระเข้ามากะทันหัน เขาก็จำต้องกลับเพียงคนเดียว
ขณะที่หนานิเหอกำลังคิดว่าหมู่นี้เจาเจาขยันขันแข็งขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าข้างหลังมีสายตาจับจ้องมาจากไกลๆ ราวกับอยู่ที่สูง
เมื่อเขาหันหลังกลับมาก็เห็นใบหน้าเล็กเท่ากอบมือของเยี่ยนเจาเจาอยู่ชั้นบนสุดของเรือนสามชั้น
นางน่าจะเห็นเขานานแล้ว พอเขาเบนหน้าไป นางถึงได้ะโโบกมืออย่างร่าเริง
บนดวงหน้าหนานิเหอแต้มรอยยิ้ม ก่อนจะตั้งสติประสานมือคารวะให้องค์หญิงที่อยู่ข้างกายนาง
หลังจากที่เขาคารวะเสร็จ ใบหน้าเล็กของเยี่ยนเจาเจาก็หายไป คาดว่าคงโดนองค์หญิงพาไปที่อื่นต่อ
หนานิเหอหมุนตัวเดินออกจากเรือนนภาครามอย่างสุขุม และเขาก็ไม่แปลกใจเลยเมื่อพบกับกลุ่มของหวังซื่อที่อยู่หน้าประตูเรือน
เค้าความอบอุ่นบนดวงหน้าหนานิเหอเลือนหายไปในพริบตา หลานเล่อที่กางร่มอยู่ข้างกายเขาก็เห็นคนบ้านใหญ่เช่นกัน จึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดสีหน้าของคุณชายตนจึงเปลี่ยนไป
คุณชายตนมีสีหน้าดีขึ้นมาบ้างต่อคุณหนูห้า คนนอกได้รับรอยยิ้มหนึ่งจากเขายังยาก นับประสาอะไรกับคนคดในข้องอในกระดูกอย่างพวกบ้านใหญ่
หนานิเหอไม่คารวะคนจากบ้านใหญ่ เพียงเดินผ่านร่างพวกนางไปโดยไม่แม้แต่ปรายตามอง
ทว่าน้ำฝนบนพื้นทำให้หลานเล่อพลาดเสียหลักไปกระแทกกระเช้าอุ่นที่เยี่ยนเจาเจามอบให้ก่อนหน้านี้ล้มคว่ำ
ถ่านไฟข้างในกลิ้งหลุนๆ ออกมา จนเยี่ยนฟางหวาที่ยืนซึมกะทืออยู่ถึงกับสะดุ้ง
“บ่าวสมควรตาย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรือ? ล่วงเกินเ้านายเยี่ยงนี้ เ้ารับผิดชอบไหวไหม?”
บ่าวหญิงชราสองคนข้างหลังะโด่าฉับพลัน ยิ่งเห็นว่าเป็หนานิเหอ ไฟชั่วช้าที่เก็บกดอยู่ภายในใจจึงพลันลุกโหมขึ้น
หนานิเหอชะงักเล็กน้อย ดวงตาเยียบเย็นเลื่อนผ่านร่างพวกนางโดยไม่หยุดสักเสี้ยว และวนอยู่ตรงหวังซื่อที่คุกเข่าหลุบตาสักพัก ค่อยตกลงบนตัวเยี่ยนฟางหวาซึ่งหมดอาลัยตายอยากในท้ายที่สุด
เยี่ยนฟางหวาที่ความโกรธสุมอก พอเห็นหนานิเหอจับจ้องนางเช่นนั้นก็ตั้งท่าจะตำหนิ คาดไม่ถึงว่าเขาจะกระตุกยิ้มเยียบเย็นและกวาดสายตาลึกล้ำส่งมา ทำให้นางต้องกลืนทุกคำพูดลงท้องไป
หนานิเหอหันหลังจากไป โดยมีหลานเล่อกางร่มไล่ตาม
บ่าวหญิงชราคนนั้นกลอกดวงตาแทบขึ้นฟ้าพลางด่าออกมา “นายบ่าวเหมือนกันจริงๆ เป็พวกใบ้โดนตัดลิ้น!”
ร่างของหนานิเหอกับหลานเล่อค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางม่านฝน เยี่ยนฟางหวายังคงสติหลุดลอย ทว่าจู่ๆ บ่าวหญิงชราคนนั้นก็กรีดร้อง เืพุ่งพรวดออกมาจากโพรงจมูกและล้มหมดสติไปบนพื้นทันที
สีหน้าของเยี่ยนฟางหวาราวกับเห็นผี ทันใดนั้นก็ร้องลั่นแล้วล้มหงายลงตาม
หน้าประตูเรือนนภาครามยุ่งวุ่นวายในพริบตา
สุดท้ายหวังซื่อก็ไม่พบพระพักตร์องค์หญิง อีกทั้งเยี่ยนฟางหวายังล้มป่วยอาการรุนแรงถึงขั้นหมดสติไป
ท่ามกลางความอลหม่านของบ้านใหญ่ จวนเยี่ยนก็ได้รับเทียบเชิญจากอันเล่อจวิ้นจู่ กล่าวว่าขอเรียนเชิญเหล่าคุณหนูสกุลเยี่ยนไปงานเทศกาลหญิงสาวในวันที่ 4 เดือน 4
วันที่ 4 เดือน 4 เป็เทศกาลและประเพณีอย่างหนึ่งของเมืองเซียงเฉิง โดยเหล่าหญิงสาวจะออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ทว่าสำหรับบุตรหลานตระกูลขุนนาง วันที่ 4 เดือน 4 ก็เป็เพียงเทศกาลเชื่อมสัมพันธ์อันดี ซึ่งเหล่าตระกูลขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงผลัดกันจัดขึ้นเท่านั้น
ในชาติก่อน ่เวลานี้เยี่ยนเจาเจาทั้งเบื่อทั้งเซ็งเพราะเื่ตกน้ำจึงไม่ไปตามนัดหมาย ส่วนเยี่ยนฟางหวากลับสนุกสนานครื้นเครง และเปล่งประกายโดดเด่นสุดๆ ในวันที่ 4 เดือน 4 นั้น
เดิมเจาเจาก็ไม่ได้มีนิสัยชอบความรื่นเริง แต่เมื่อนึกถึงตรงนี้จึงรู้สึกอยากไปขึ้นมา