มือข้างหนึ่งของจ้าวซีเหอกอดหนิงมู่ฉือเอาไว้พร้อมกับเอ่ยปลอบ ส่วนอีกมือควานหาบางอย่างบนพื้น
“เจอแล้ว!” ที่แท้กำลังหาคบเพลิงนั่นเอง เขามีประสาทััการได้ยินที่ดี จึงรู้ว่าเมื่อสักครู่คบเพลิงไม่ได้ตกลงไปในหลุม แค่ตกอยู่บนพื้นไม่ไกลจากเท้า
เขาหยิบขึ้นมาจุดไฟใหม่อีกครั้ง เพื่อที่หนิงมู่ฉือที่กำลังรู้สึกสิ้นหวังท่ามกลางความมืดมิดจะได้มีความหวังขึ้นมาอีกครา “ฉือเอ๋อร์ มีแสงสว่างแล้ว เท่านี้เราก็ไม่ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว!”
เขาอาศัยแสงจากคบเพลิงจนมองเห็นหญิงสาวผู้ดื้อรั้นคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้สึกกลัวแทบตาย เสียงสั่นเครือไม่หยุด ร่างกายก็สั่นเทา น้ำตาคลออยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ยังไม่ยอมร้องไห้หลั่งน้ำตาออกมา
ท่าทางแสร้งเข้มแข็งเช่นนี้ ชายใดได้มาเห็นจะไม่หวั่นไหวบ้าง โดยเฉพาะเมื่อสตรีผู้นั้นคือคนที่ชอบด้วยแล้ว
เขาไม่ห้ามตัวเองอีกต่อไป เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้นางเป็อิสระ สามารถจากเขาไปได้ทุกเมื่อ เขาจึงไม่คิดจะห้ามตัวเองอีก โน้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากบนกลีบปากบางนั้น
เมื่อมีแสงสว่างหนิงมู่ฉือจึงสงบขึ้นมาก เพิ่งรู้สึกดีได้แค่เล็กน้อยนางก็ถูกจุมพิต นี่มันเกิดอะไรขึ้น จ้าวซีเหอราวกับจะไม่ปล่อยนางไป จุมพิตนางอย่างดูดดื่มจนนางแทบหายใจไม่ออก ใบหน้าที่เมื่อสักครู่ถูกความมืดทำให้หวาดกลัวจนซีดขาวตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็แดงก่ำ
“อื้อๆ!” เมื่อริมฝีปากถูกปิดกั้น นางทำได้แค่ส่งเสียงร้องในลำคอออกมาเท่านั้น เมื่อหายใจไม่ออกจนแทบจะทนไม่ไหว นางออกแรงผลักจนสามารถผลักชายหนุ่มออกไปได้ในที่สุด
เมื่อเป็อิสระ นางรีบสูดอากาศเข้าไปเติมเต็มปอด เห็นท่าทางน่ารักเช่นนี้ จ้าวซีเหออดใจไม่ไหวเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่ออกมา
“เหตุใดเ้าถึงยังจูบไม่เป็ ไม่รู้จักการแลกลมหายใจกันหรืออย่างไร” ชายหนุ่มแย้มยิ้ม หนิงมู่ฉือที่ถูกล้อเื่จูบไม่เป็ ใบหน้าจึงขึ้นสีแดงเข้มราวกับลูกผิงกั่ว
“ท่านห้ามทำเช่นนี้กับข้าอีก แม้เมื่อสักครู่ท่านจะช่วยชีวิตข้า ทว่ามันก็คนละเื่กัน!” นางรีบก้มมองรังนก โชคดีที่ไม่เสียหาย นางลุกขึ้นยืนปัดเศษฝุ่นออกจากตัว แย่งคบเพลิงในมือชายหนุ่มมาถือไว้เอง
“นี่มันคบไฟของข้า!” นางไม่สนหรอกว่าคบเพลิงอันนี้จะเป็ของใคร แต่ตอนนี้มันเป็ของนาง
จ้าวซีเหอไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจะมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ เขารู้ว่านางกลัวความมืดถึงได้แย่งคบเพลิงไป เขาจึงไม่ได้พูดแย้งออกมา ปล่อยให้นางแย่งเอาไปถือเองตามสบาย
เขาเดินตามหลังนางออกจากถ้ำ วันนี้เกิดเื่ดีๆ ขึ้น แม้เขาจะดีใจ แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็จำได้เช่นกันว่าเขาเกือบจะต้องเสียชีวิต
ครั้นออกมาจากถ้ำ เชือกยังคงอยู่ที่เดิม เขาเดินไปกระตุกเชือกเพื่อส่งสัญญาณให้ไซพานอันว่าพวกเขากำลังจะขึ้นไปแล้ว ไซพานอันที่รออยู่้ารอจนใกล้จะหลับอยู่แล้ว เนื่องจากวันนี้เขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางมาที่นี่ หลังเห็นเชือกถูกกระตุกก็รีบวิ่งไปจับเชือกทันที
หลังจากช่วยหนิงมู่ฉือขึ้นมาได้ ไซพานอันก็ไม่สนใจจ้าวซีเหออีก “ท่านค่อยๆ ปีนขึ้นมาก็แล้วกัน ข้าไม่มีแรงแล้ว คงดึงท่านขึ้นมาไม่ไหว!”
จ้าวซีเหอที่อยู่ด้านล่างได้ยินเช่นนั้นโกรธจนเส้นเืที่หน้าผากปูดโปน แต่ก็จนปัญญา ด้วยไม่สามารถทำอะไรได้จึงต้องค่อยๆ ปีนขึ้นไปเอง
เมื่อปีนขึ้นไปถึง้า แลเห็นไซพานอันกำลังยืนรอนิ่งๆ อย่างสบายอกสบายใจ เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจออกมา “ดีมาก! เ้าคอยดูก็แล้วกัน!” เมื่อได้เห็นท่าทางน่าอนาถของอีกฝ่าย ไซพานอันคิดในใจว่ายกนี้ตนเป็ฝ่ายชนะ
“สกุลไซของพวกเ้านี่ช่างหน้าใหญ่เหลือเกิน เพื่ออาหารแค่อย่างเดียวเกือบทำให้ข้ากับฉือเอ๋อร์ต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว หากเกิดอะไรกับพวกเราขึ้นมา พวกเ้ารับผิดชอบไหวหรือ!”
ไซพานอันได้ยินก็คิดในใจว่า ตอนที่ทั้งสองคนลงไปได้เผชิญหน้ากับอันตรายเข้าหรือนี่ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็เคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกท่านไม่เป็อะไรใช่หรือไม่ ได้รับาเ็หรือไม่”
เขาไม่รู้ว่าเื่มันจะเป็เช่นนี้ หากรู้คงไม่พาทั้งสองคนมาเก็บรังนกที่นี่ เมื่อได้ยินว่าตอนที่ทั้งคู่ลงไปได้เจอกับอันตราย เขารู้สึกผิดในใจยิ่งนัก เคราะห์ดีที่ทั้งสองคนไม่เป็อะไร หากเกิดเื่ร้ายขึ้นมา สกุลไซคงต้องเอาชีวิตของคนทั้งสกุลไปชดใช้แน่
“คุณชายไซ ท่านวางใจเถิด พวกเราไม่เป็อะไร”
“หากเป็อะไรไปจะได้มายืนอยู่ตรงนี้หรือ สมองหมูเสียจริง!”
“…” ไซพานอันถูกต่อว่าจนโมโหและพูดไม่ออก
รองเท้าและเสื้อผ้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยดิน เมื่อกลับไปถึงตำหนักอ๋อง ทั้งสองคนรีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องก่อนเป็อย่างแรก ทั้งสองคนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พ้นเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว แต่หากจะให้รอถึงตอนเย็นก็ไม่ได้ รสชาติและสรรพคุณของวัตถุดิบจะหายไปตามกาลเวลา เช่นนั้นหลังจากหนิงมู่ฉือเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบเดินทางไปยังจวนเสนาบดีทันที
แน่นอนว่าย่อมมีคนทำตัวเป็ ‘หนอนตามตูด’ ตามมาด้วย
ครั้นไปถึงจวนเสนาบดี นางตรงดิ่งไปยังห้องครัว ก่อนหน้านี้นางเคยมาทำอาหารที่จวนแห่งนี้แล้วจึงรู้ว่าห้องครัวตั้งอยู่ที่ใด
นางนำรังนกออกมาจัดการทำความสะอาด แม้จะเป็ของบำรุงร่างกายชั้นยอด ทว่าก็มีสิ่งสกปรกปนอยู่เช่นกัน นางจึงต้องทำความสะอาดมันเสียก่อน
นางนำน้ำอุ่นใส่กะละมัง ก่อนจะนำรังนกแดงลงไปแช่ประมาณหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้ไซพานอันได้นำเห็ดหูหนูที่ดีที่สุดในจวนมาให้นางที่ห้องครัว ระหว่างที่รอรังนกนางจึงจัดการทำความสะอาดเห็ดหูหนูเหล่านี้ไปก่อนพลางๆ
จวนเสนาบดีสมกับเป็สกุลใหญ่ แม้แต่เห็ดหูหนูก็ยังมีมากมาย นางเก็บรังนกมาแค่สองรังจึงใช้เห็ดหูหนูไม่มาก
นางเลือกเห็ดหูหนูที่มีสีขาวอมเหลืองเล็กน้อย และเลือกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ออกมาจากในถุงกระสอบ เพราะเห็ดหูหนูที่มีลักษณะนี้นับได้ว่ามีลักษณะที่ดีเยี่ยม เมื่อถูกน้ำก็จะมีความนุ่มเด้ง
ส่วนเห็ดหูหนูที่ตรงกลางมีสีดำ แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่เห็ดหูหนูที่ดี
รังนกยังต้องแช่น้ำอีกสักครู่ เห็ดหูหนูก็เช่นกัน นางนำน้ำอุ่นใส่กะละมัง แล้วนำเห็ดหูหนูลงไปแช่เป็เวลาหนึ่งเค่อ
ทำเสร็จเรียบร้อยนางถึงค่อยเห็นว่าชายหนุ่มสองคนยังอยู่แถวนี้ ทั้งสองคนหยุดนิ่งจ้องมองนางทำนู่นทำนี่
“พวกท่านมองข้าด้วยเหตุใด” เมื่อค้นพบว่ามีคนกำลังจ้องมองนาง ทั้งยังจ้องมองอยู่นานแล้ว นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก
“ข้าอยากลองชิมน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกที่ท่านพ่อ้าให้ท่านทำ ข้าอยากรู้ว่ามันจะมีรสชาติเช่นไร อยากรู้ว่าเหตุใดท่านพ่อถึงได้อยากทานมันนักหนา ก่อนหน้านี้ท่านพ่อสั่งให้แม่ครัวหลายคนลองทำให้ทาน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ถูกใจท่านสักคน” นอกจากอยากทานฝีมือของหนิงมู่ฉือแล้ว ไซพานอันรู้สึกสงสัยในเื่นี้ที่สุด
“รังนกที่ใช้ทำเป็ข้าใช้ชีวิตแลกมา เช่นนั้นก็ย่อมต้องมีส่วนของข้า” เหตุผลที่จ้าวซีเหอพูดมาก็ดูเป็เหตุผลที่ดี
หลังจากแช่เห็ดหูหนูครบเวลา หนิงมู่ฉือหยิบขึ้นมาจากน้ำ เตรียมเอาไว้ใช้ทำอาหาร เวลาหนึ่งชั่วยามเพียงพอให้รังนกดูดซึมน้ำ มันจึงไม่แห้งเช่นก่อนหน้านี้ นางเพ่งพิจารณามองรังนกแดง มีรังหนึ่งที่ยังมีเศษสิ่งสกปรกและขนนกติดอยู่ นางจึงนำลงไปแช่ในน้ำใหม่อีกรอบ
ครั้นรังนกทั้งสองรังสะอาดเอี่ยม นางค่อยๆ ใช้มือฉีกรังนกเป็เส้นๆ อย่างระมัดระวัง ตอนนี้วัตถุดิบพร้อมหมดแล้ว เยี่ยงนั้นมาเริ่มทำน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกกันเลยเถิด!