ดาวบนฟ้าส่องแสงระยิบระยับลงมายังโรงเกลากระบี่ในยามดึก
ก๊อก ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของอาจารย์หลันเท้อ“ปู้อี้เชวียน ออกมารับของได้แล้ว”
พอเปิดประตูออกไปก็พบว่าเขาไม่ได้มาคนเดียวแต่ยังมีอาจารย์ผู้ช่วยอีกสองคนเดินตามมาพร้อมกับถือของอยู่ในมือ
หลันเท้อว่าพลางยิ้ม “เ้าตรวจดูสิว่าของครบหรือเปล่าทั้งหมดนี้มีชุดของสำนักห้าชุดและรองเท้าหนังห้าคู่นอกจากนั้นยังมีตำราของสำนักจวี๋ฉีปะการังเืสี่กิโลและโสมโลหิตแปดสิบปีหนึ่งอันพวกนี้ถือเป็ของชุดแรกที่ใช้ระหว่างฝึกฝน และหลังจากนี้ก็จะมีมาอีกเรื่อยๆ”
ข้าที่ได้ยินถึงกับตะลึงไปไม่น้อย “เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ มาตรฐานของศิษย์ในสำนักจวี๋ฉีล้วนเป็แบบนี้ทั้งนั้น”
“อ๋อ...ขอบคุณท่านมากขอรับอาจารย์หลันเท้อ”
“ข้าไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเ้าแล้ว ส่วนนี่เป็ตารางการเรียนและการฝึกพรุ่งนี้เช้าคาบแรกเป็การเรียนนอกสถานที่ อย่าลืมไปให้ตรงเวลาด้วยล่ะ เข้าใจไหม?”
“ทราบแล้วขอรับ”
หลังจากหลันเท้อกลับไป ข้านำของที่หนักเอาการวางไว้กลางกระท่อมก่อนจะหยิบชุดออกมากางเพื่อชื่นชมความสง่างาม นอกจากหน้าอกที่มีคำว่า ‘จวี๋ฉี’แล้ว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากชุดศิษย์สำรองที่เคยสวมใส่ ในที่สุดข้าก็ใช้ฝีมือของตัวเองบอกลาสถานภาพการเป็ศิษย์สำรองได้สักที!
หลังจากยืนดีใจได้พักหนึ่งจึงเริ่มฝึกฝนวิชาต่อ
เวลาล่วงเลยจวนดึก แม้การฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะทำให้พลังเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุขั้นต้นของเคล็ดวิชาาได้สักทีซึ่งข้ายังพอเข้าใจเื่นี้เพราะบางคนที่ฝึกฝนมาจนครึ่งค่อนชีวิตแต่ยังไม่บรรลุก็มียิ่งเคล็ดวิชาาจะมีความยากเพิ่มขึ้นในตอนท้าย จึงเป็เื่ยากที่จะบรรลุและถึงแม้ว่าจะเคยฝึกแต่ก็แค่ขั้นที่สองของระดับสี่เท่านั้นสำหรับตอนนี้จึงถือว่ามาไกลกว่าที่คาดไว้ มิหนำซ้ำตอนนี้ข้ายังเหมือนคนตาบอดที่ต้องอาศัยการคลำทางเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการฝึกในขั้นต่อไปสักนิด
สำหรับบรรพบุรุษในรุ่นก่อนๆ จนมาถึงท่านพ่ออย่างมากก็ประมาณขั้นที่สามหรือแม้แต่ลุงสองก็เพิ่งจะเข้าระดับสมบูรณ์ของขั้นที่สองเท่านั้นหากไม่ใช่เพราะการฝึกฝนที่เริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อยๆบ้านตระกูลปู้ที่เคยโด่งดังจนเป็ที่นับหน้าถือตาคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพไร้ซึ่งคนเหลียวแลเช่นนี้
พอมาถึงรุ่นของข้า การฝึกฝนกลับอยู่ในขั้นที่สูงกว่าคนรุ่นก่อนมากแถมพี่เสวียนยินยังเป็ถึงผู้มีชื่อเสียงจากตำแหน่งเทพศาสตราวุธอีกต่างหากคราวนี้ตระกูลปู้ของเราก็จะมีแต่ความรุ่งเรืองโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน
หลังจากคิดได้แบบนี้จึงเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวเพื่อเข้านอน
...
เช้านี้ข้าตื่นโดยไม่มีอะไรมารบกวน แต่เมื่อหันไปดูนาฬิกาเข็มสั้นก็ชี้ที่เลขเจ็ดพอดีก่อนจะรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วเปลี่ยนเป็ชุดศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีและออกไปกินข้าวที่โรงอาหาร
แต่สิ่งที่ทำให้ประทับใจมากกว่าคงเพราะบัตรสำหรับซื้ออาหารของศิษย์ในสำนักจวี๋ฉีที่สามารถซื้ออาหารสำหรับสามคนแน่นอนว่าต้องทำให้ข้าอิ่มเกินกว่าครึ่งกระเพาะ
สำหรับคาบแรกจะต้องไปให้ถึงสนามฝึกที่ 17 ก่อนเวลาแปดนาฬิกา
ในสนามมีทั้งศิษย์ชายและหญิงจากห้องสองในสำนักจวี๋ฉีรวมทั้งซูเหยียน ตั้นไถเหยา และสาวงามอีกสองคน ต่างส่งเสียงทักทายดังมาแต่ไกล
ตั้นไถเหยามองมายังชุดที่ข้าสวมอยู่ก่อนจะพูดขึ้น “ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งจริงๆ พอเ้าใส่ชุดของสำนักจวี๋ฉีแล้วดูหล่อขึ้นมากเลยนะดูไม่เหมือนพวกไม่เอาไหนแล้วล่ะ”
ข้าลูบจมูกสองสามทีก่อนจะพูดขึ้น“เดิมทีข้าก็ไม่ใช่พวกที่ไม่เอาไหนอยู่แล้วนี่!”
ซูเหยียนที่ยืนอยู่ข้างถังเชวียหรานยิ้มกว้างแต่ไม่ได้พูดอะไรเช่นเดียวกับหลิวถงเอ๋อร์ที่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากกะพริบตาปริบๆ
จังหวะนั้นหลันเท้อซึ่งเป็อาจารย์ในขั้นเตรียมปรมาจารย์และอาจารย์ประจำห้องสองท่านอื่นก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งอาจารย์ผู้ช่วยสอนติดตามมาด้วย
“เอาล่ะ เตรียมตัวเข้าเรียนกันได้แล้ว!”
หลันเท้อสีหน้าจริงจังก่อนจะใช้เท้าเกี่ยวเอากระบี่ขึ้นมาจับไว้ในมือ“การเรียนนอกสถานที่วันนี้ ข้าจะสอนขั้นต่อไปของเพลงกระบี่วายุสังหารหนึ่งในวิชาพื้นฐานของทางสำนัก ซึ่งจุดเด่นคือความว่องไว รุนแรงและเข้าทำลายการป้องกันของคู่ต่อสู้ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว”
ขณะที่ศิษย์ทุกคนต่างตั้งใจฟังการสอน แต่กลับมีข้าที่ทำหน้างงงวยเพราะยังไม่รู้จักขั้นต้นของเพลงกระบี่ด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าข้ากำลังมึนงง เขาจึงยิ้มบางๆ ก่อนจะถามขึ้น“ปู้อี้เชวียน เมื่อครั้งที่ยังเป็ศิษย์สำรองกระทั่งเข้ามาอยู่ในสำนักจวี๋ฉีเ้าพอจะรู้จักเพลงกระบี่ชนิดนี้บ้างหรือเปล่า?”
ข้าส่ายหน้าพลางตอบ “ท่านอาจารย์ที่ผ่านมาข้าเอาแต่ฝึกวิชาลมหายใจักับวิชาประจำตระกูลจึงไม่ได้เรียนเพลงกระบี่นั้นเลยสักนิดแถมตำราที่มีอยู่ก็ยังไม่ทันได้ศึกษาอีกต่างหาก”
“แบบนี้นี่เอง”
หลันเท้อว่าแล้วกวัดแกว่งกระบี่ไปมา ไม่นานพลังก็เริ่มแผ่ออกมารอบๆจากพลังิญญาที่ส่งผ่านไปยังกระบี่จนเกิดเป็ระลอกของพลังขยายออกเป็วงกว้างนี่คือการะเิพลังในขั้นแรกของเพลงกระบี่วายุสังหาร
“เห็นหรือยัง? นี่แหละคือพลังในขั้นแรกของเพลงกระบี่มันเป็การะเิพลังออกมาอย่างรวดเร็วและอาศัยจังหวะเข้าจู่โจมขณะที่คู่ต่อสู้ไม่ทันตั้งตัว
“อืม”
เมื่อเห็นว่าข้าเริ่มเข้าใจ เขาจึงใช้เท้าเตะกระบี่ส่งให้“คนที่มีพื้นฐานต่ำที่สุดในห้องยังเรียนรู้ได้ถึงขั้นที่สี่แล้วเ้าจะเรียนร่วมกับคนอื่นโดยไม่มีพื้นฐานคงไม่ดีเท่าไร จะลองสักหน่อยไหม?” มีศิษย์ไม่กี่คนที่หัวเราะออกมาอย่างไม่เชื่อว่าข้าจะทำได้จากการดูไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ทว่าท่วงท่าของอาจารย์หลันเท้อเมื่อครู่ไม่ได้รวดเร็วนักยิ่งข้าใช้พลังพร์การดูดกลืน กระบวนท่าก็จะยิ่งช้าขึ้นความจริงไม่จำเป็ต้องดูตำราเลยด้วยซ้ำเพราะแค่ใช้พลังพร์ก็เข้าใจทุกอย่างได้ถ่องแท้เนื่องจากเพลงกระบี่ชนิดนี้จัดอยู่ในขั้นที่สามแม้จะมีประวัติมายาวนานแต่ไม่ได้ซับซ้อนซ้ำยังถือเป็เพลงกระบี่ที่ขอแค่เรียนก็ทำได้จะต่างกันก็แค่ใครจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่ากันเท่านั้น
ข้าส่งพลังผ่านฝ่ามือลงไปที่กระบี่พริบตาเดียวก็เกิดเสียง ‘หวูบ’ขึ้นพร้อมกับแสง และพลังอันรุนแรงส่งผ่านคมกระบี่ออกมาครอบคลุมกระบี่ทั้งเล่ม
“เล็งหุ่นเหล็กนั่นให้ดีแล้วลองใช้พลังฟันลงไปให้ข้าดูหน่อยสิ”หลันเท้อยืนกอดอกพลางยิ้มด้วยความคาดหวัง
“ขอรับ”
ข้าเล็งให้มั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปฟันลงบนหน้าอกของหุ่นจนเกิดเสียงดัง‘ปัง!’ หุ่นโอนเอนสั่นไหวไปมาตามแรงฟันแต่ที่สำคัญกว่านั้นคือรอยกระบี่ที่ลึกลงไปกว่าหนึ่งนิ้วพลังของเพลงกระบี่นี้ช่างแกร่งจนน่าใจริงๆ
“เป็ไปได้ยังไงกัน!”
“นี่มันเรียนได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง?”
“ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจเพลงกระบี่แล้วเนี่ยนะ?...”
ทุกคนต่างมองด้วยความใ หรือแม้แต่ซูเหยียนกับตั้นไถเหยาก็อยู่ในอาการเดียวกันเพราะทุกคนสามารถใช้เพลงกระบี่นี้ได้อยู่แล้วแต่คนที่เรียนรู้ได้รวดเร็วแบบนี้มีเพียงไม่กี่คน
หลันเท้อพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะพูดขึ้น“ไม่เลว...สำหรับเพลงกระบี่วายุสังหารแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าทักษะ ความเร็วและความชำนาญ ขอแค่หมั่นฝึกฝนก็จะพัฒนาขึ้นไปได้เรื่อยๆ ด้วยตนเองเ้ากลับไปอ่านตำราดูเองสักหน่อย และถ้ามีอะไรไม่เข้าใจค่อยมาถามข้าแล้วกัน...เอาล่ะพวกเรามาเริ่มเรียนกันต่อเดี๋ยวข้าจะสอนว่าควรจะใช้ทักษะแบบใดในแต่ละสถานการณ์ถึงจะสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้”
พอเห็นว่าศิษย์แต่ละคนกำลังตั้งใจฟังอยู่เขาก็เริ่มสอนทักษะแต่ละอย่างของเพลงกระบี่เนื่องจากเป็เพียงวรยุทธ์ิญญาชนิดหนึ่งที่ใช้ในการต่อสู้แต่ไม่ใช่เทคนิคหรือทักษะในการทำา
หากใช้ั้แ่เริ่มคงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่สู้ไม่ได้ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้จะต้องอาศัยจังหวะและเวลาเพื่อเข้าจู่โจมได้อย่างรวดเร็วจนคู่ต่อสู้ไม่ทันได้ระวังตัวและถ้าทำอะไรคู่ต่อสู้ไม่ได้ พลังิญญาที่ใช้ไปก็จะเสียเปล่า
เพลงกระบี่วายุสังหารถือเป็วรยุทธ์ิญญาชนิดหนึ่งที่ใช้พลังิญญาค่อนข้างมากโดยปกติถ้าผู้ฝึกฝนิญญาทุกคนใช้ติดต่อกันสักสิบครั้งพลังิญญาก็จะถูกใช้ไปจนหมดยิ่งถ้าใช้ในขั้นที่สูงขึ้นไปก็จะยิ่งสูญเสียพลังิญญามากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยได้เห็นเพลงกระบี่ชนิดนี้ในการประลองหรือต่อสู้กันของจอมยุทธ์ที่เก่งกาจแต่ถ้ามีจอมยุทธ์คนใดคนหนึ่งใช้มันหมายความว่าสามารถตัดสินแพ้ชนะได้เลยเพราะเป็เหมือนท่าไม้ตายอย่างหนึ่งที่ใช้ในการต่อสู้นั่นเอง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ข้าก็สามารถใช้พลังของมันได้อย่างเต็มเปี่ยมและเข้าสู่การเรียนรู้ขั้นที่หนึ่งทันที
กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนกลางวันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีความชำนาญมากพอจนเข้าใจเพลงกระบี่นั่นอย่างถ่องแท้
หวึ่ง หวึ่ง...
ข้าทำร่างกายให้หนักแน่น ก่อนจะยืดตัวเพื่อให้พลังของวิชาลมหายใจัไปรวมกันอยู่ที่แขนขวาจนรอบตัวมีเค้าลางของพลังเทพัยอดสิงขรออกมาก่อนจะฟันลงบนตัวของหุ่นเหล็กด้วยพลังกระบี่ที่ทอดยาวไปไกลถึงสองเมตรอย่างรุนแรงเสียงของพลังกับหุ่นเหล็กกระทบกันดังลั่นเผยให้เห็นรอยกระบี่ลึกลงไปกว่าสองนิ้ว
“ว้าว นี่มันพลังของเพลงกระบี่ในขั้นที่สอง!”
ซูเหยียนมองข้าด้วยความประหลาดใจ“การพัฒนาของเ้าเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
ข้าได้ยินแล้วยักไหล่ “ก็ไม่มีทางเลือกนี่ ใครใช้ให้ข้าเพิ่งมาฝึกเป็ครั้งแรกล่ะแถมยังห่างจากขั้นที่หกของเ้าอีกตั้งไกลอีกต่างหาก”
นางเม้มปากทำท่าครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น“ถ้าเ้าพัฒนาเร็วขนาดนี้อีกไม่เกินครึ่งเดือนก็จะเข้าสู่ขั้นที่หกแล้วล่ะจะรีบร้อนไปทำไมกัน พวกเรายังต้องเรียนรู้วรยุทธ์ิญญาอีกเยอะเลยนะ”
“อืม”
“เลิกเรียนแล้ว ไปกินข้าวกันไหม?”
“ไปสิ”
ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหารพร้อมกันสักทีแถมยังมีสาวงามไปนั่งกินด้วยกันถึงสี่คนด้วยแต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเพื่อนในห้องต่างเห็นพวกเราเป็ ‘สหายทั้งห้าแห่งจวี๋ฉี’ไปแล้ว ดังนั้นการนั่งกินข้าวด้วยกันก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร
...
ณ โรงอาหาร
ศิษย์จำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้ามากินข้าวเที่ยงกันไม่หยุดหลังจากที่สั่งอาหารแล้วก็มีพนักงานเดินมาเสิร์ฟ จึงได้รู้ว่าพอเข้ามาในสำนักจวี๋ฉีแล้วอาหารการกินก็ดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเห็นแบบนี้เลยทำให้นึกตอนยังเป็ศิษย์สำรองที่ใน่เที่ยงของบางวันแทบไม่มีเนื้อให้กินเลยด้วยซ้ำ
โต๊ะข้างๆ มีกลุ่มคนที่คุ้นเคยกันดีนั่งอยู่...
จวงเหิงซิ่ง หลี่สวิน หวังอี้ ไอลาและคนอื่นๆ อีกทั้งโต๊ะนึกไม่ถึงว่าพวกหัวดีจะมารวมตัวอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ แต่จะว่าไปก็ไม่แปลกเพราะตอนนี้พวกนั้นมีศัตรูร่วมกันนั่นก็คือสหายทั้งห้าแห่งจวี๋ฉีอย่างพวกข้านั่นเอง
หลี่สวินที่ถือน้ำอัดลมอยู่ในมือหันมาทางพวกข้าก่อนจะพูดขึ้น“ได้ยินว่าบางคนเข้าขั้นเริ่มต้นของเพลงกระบี่วายุสังหารแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“จริงด้วย”
ข้าหันไปหาพร้อมกับรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น “นึกไม่ถึงว่าข่าวจะไปเร็วขนาดนี้หลี่สวินเ้านี่ช่างให้ความสนใจห้องสองอย่างพวกเราไม่น้อยเหมือนกันนะ”
หลี่สวินกระตุกยิ้มก่อนจะพูดต่อ “ข้าแค่ได้ยินมาเท่านั้น ไม่ใช่เพราะสนใจพวกเ้าสักหน่อยเพิ่งจะเข้าแค่ขั้นเริ่มต้นมันน่าอวดตรงไหนกันห้องหนึ่งอย่างพวกเราต่างอยู่ในขั้นที่ห้ากันทั้งนั้น!”
ซูเหยียนที่ได้ยินว่าพลางยิ้มออกมา “อย่างนั้นเหรอ? เท่าที่ข้าได้ยินมาพวกคนเก่งห้องหนึ่งส่วนใหญ่ก็เป็พวกที่เรียนในสำนักมาแล้วหนึ่งถึงสองปีแต่ทำไมถึงยังฝึกได้แค่ขั้นที่ห้าล่ะ แบบนี้ไม่น่าอายไปหน่อยหรือไง? คอยดูแล้วกันไม่เกินครึ่งเดือนผู้อี้เชวียนก็จะเรียนได้ถึงขั้นที่ห้าแน่!”
“เหอะ...” หลี่สวินไม่ได้พูดอะไรก่อนจะนั่งลงอย่างคับแค้นใจเพราะเขาคงรู้ดีว่าข้าสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่กลับเป็ไอลาที่มองมาทางพวกเราแล้วแสยะยิ้มขึ้น“อย่าเพิ่งรีบอวดดีไปหน่อยเลยอย่าลืมสิว่าพวกเ้ายังเอาชนะข้ากับเชวียนหยวนจิ้นไม่ได้เลยแล้วยังกล้ามาพูดอะไรที่ยังไม่แน่นอนอีกเหรอ?”
ผู้หญิงคนนี้ต้องเก่งมากแน่ๆขนาดหวังอี้ยังโดนเล่นงานจนไม่มีโอกาสได้ตอบโต้...
ถังเชวียหรานดันแก้วน้ำมาให้ข้าก่อนจะถลึงตาใส่แล้วพูดขึ้น“เอาเวลาที่คุยเื่ไร้สาระกับพวกนั้นมาดื่มน้ำเติมพลังให้ร่างกายไม่ดีกว่าเหรอ”
“เอ่อ...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้