การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ชื่อหลี่ชิงหลิงเลื่องชื่อลือชาว่าแกร่งกล้า หลังจากได้ยินเื่ซุบซิบในหมู่บ้าน ผมของนางจ้าวแทบจะกลายเป็ผมหงอกจนหมด
เมื่อเห็นหลี่ชิงหลิงผู้นิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางถึงกับต้องถอนหายใจ โชคดีที่ลูกสาวนางหมั้นแล้ว ถ้าไม่ละก็… ใครจะกล้าแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่มีชื่อเสียงไม่ดีแบบนี้เล่า
หลี่ชิงหลิงไม่ได้สนใจเื่เ่าั้เลย ตอนนี้นางยุ่งอยู่กับการทำลูกธนู พ่อของนางทิ้งลูกธนูไว้สี่ดอก ซึ่งไม่เพียงพอแม้แต่นิด
นางไม่มีเงินพอที่จะจ้างคนทำ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ทำลูกศรไม้ไผ่ง่ายๆ ใช้เอง
"ท่านพี่ทำลูกศรอยู่หรือ ใช้ได้หรือไม่” หลี่ชิงเฟิงนั่งยองๆ มองหลี่ชิงหลิงปอกไม้ไผ่ เขาเอื้อมมือไปแตะด้วยความสงสัย
นางยื่นมือออกไปปัดมือเล็ก ๆ ของหลี่ชิงเฟิงออก บอกว่าอย่ามาจับ ระวังโดนบาด
นางลับหัวลูกศร หยิบคันธนูและลูกธนูยิงไปที่ต้นท้อในสวน เสียงดึงฟึบ ลูกธนูปักบนลำต้นสั่นไปมา
หลี่ชิงหลิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แบบนี้สามารถยิงไก่ป่าและกระต่ายป่าได้
หลี่ชิงเฟิงอ้าปากค้าง แต่แววตามองหลี่ชิงหลิงด้วยความชื่นชม "ท่านพี่… เก่งจัง? ข้าอยากเรียนด้วย" ไว้เรียนรู้แล้วจะสามารถไปล่าสัตว์กับพี่ได้
หลี่ชิงหลิงลูบหัวหลี่ชิงเฟิงยิ้มๆ "ไว้ฉันจะสอนตอนเ้ามีพละกำลังมากกว่านี้นะ” แม้ว่านาง้าให้หลี่ชิงเฟิงเรียนหนังสือ แต่ก็อยากสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้ด้วย
ยิ่งรู้สิ่งต่างๆ มากเท่าไรก็ยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้เด็กชายก็พยักหน้าอย่างมีความสุข เขาบีบแขนเล็กๆ ของตน ตัดสินใจต้องกินให้เยอะขึ้น พละกำลังจะได้มากขึ้น
หลี่ชิงหลิงชำเลืองมองเขาด้วยรอยยิ้ม ไม่พูดอะไร ก้มหัวลงและเริ่มทำลูกศรดอกใหม่
นางจ้าวมองไปที่ร่างผอมบางของลูกสาวพลางถอนหายใจ อดเกลี้ยกล่อมอีกครั้งไม่ได้ "เสี่ยวหลิง แม่ไม่อยากให้เ้าไปล่าสัตว์อีก ที่บ้านจะจนหน่อยก็ไม่เป็ไร ขอแค่ปลอดภัยก็พอ”
สามีไปล่าสัตว์นางยังกังวลแทบแย่ นับประสาอะไรกับลูกสาวที่ยังเด็ก
เื่นี้อีกแล้ว...
หลี่ชิงหลิงไม่ออกเสียง ถ้าพูด แม่จะร้องไห้อีก อย่าเลยดีกว่า…
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง นางจ้าวไม่ได้ยินเสียงของหลี่ชิงหลิง เห็นแค่นางเร่งความเร็วในการสร้างลูกศร จึงรู้ว่าลูกสาวไม่อยากฟังเื่นี้อีก
นางอดทน แต่ดวงตาก็ยังอดแดงขึ้นมาไม่ได้ “เ้าโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็ง ไม่ฟังแม่แล้ว” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง
มือที่กำลังทำลูกศรหยุดลงอย่างช้าๆ หลี่ชิงหลิงค่อยๆ ถอนหายใจ หยุดความรู้สึกอยากจะร้องไห้ นางเข้าใจนางจ้าวดี แต่ไม่ยอมเชื่อฟัง
นางมุ่งมั่นที่จะเลี้ยงดูครอบครัวนี้ ไม่มีใครสามารถหยุดนางได้
"ท่านพี่?" หลี่ชิงเฟิงชำเลืองมองหลี่ชิงหลิงอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นจมูกแดงก็รู้สึกแย่ "การล่าสัตว์... มันอันตรายใช่ไหม ท่านแม่ถึงได้ไม่อยากให้พี่ไป”
"ไม่เข้าูเาลึกก็ไม่เป็ไร” หลี่ชิงหลิงใช้โอกาสนี้สอนความรู้การล่าสัตว์ให้ เมื่อเห็นเขาดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจจึงยิ้ม “ท่านแม่ไม่พอใจแล้ว เ้าเข้าไปปลอบหน่อย”
เขายังเด็กอยู่ เอาไว้สอนเขาตอนโตดีกว่า
หลี่ชิงเฟิงตอบรับ ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในห้อง เขาเห็นนางจ้าวก้มหน้าก้มตาถักเย็บผ้า เดินเข้าไปก้าวเล็กๆ ไปถึงข้างกาย และถามเสียงเบาว่าท่านแม่โกรธอยู่หรือเปล่า?
นางจ้าวส่ายหัวไม่ตอบ หลี่ชิงเฟิงนั่งยองๆ เงยหน้ามองนางจ้าว เห็นนางตาแดงจึงพูดอย่างลังเล “ท่านพี่… ท่านพี่ก็ร้องไห้”
มือที่ถักชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มถักต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใจรู้สึกเ็ปอย่างมาก
นางรู้ว่าลูกสาวทำเพื่อครอบครัว แต่นางก็ยังมองข้ามไม่ได้จริงๆ
หลี่ชิงเฟิงนั่งยองๆ บนพื้น ใช้มือขุดดินและพูดอย่างเศร้าๆ "ถ้าข้าอายุมากกว่านี้ ข้าคงสามารถช่วยท่านพี่ล่าสัตว์ได้ แล้วท่านก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”
เมื่อฟังคำพูดแบบเด็กๆ ของลูกชาย น้ำตานางจ้าวที่กลั้นมานานก็ไหลหยดบนผ้า นางรีบเช็ดด้วยเกรงว่าน้ำตาไหลจะทำลายงานเข้า
นางไม่อยากให้ลูกชายเห็นตนร้องไห้อีกแล้ว จึงหันหน้าหนีและส่งลูกชายออกไปเล่น
"ท่านพี่บอกว่าท่านแม่กำลังเศร้า ให้ข้ามาปลอบท่าน!" หลี่ชิงเฟิงปฏิเสธและยังคงอยู่ข้างๆ นางจ้าวต่อไป "ท่านแม่อย่าโกรธท่านพี่เลย ที่นางไปล่าสัตว์ก็เพื่อไม่ให้พวกเราหิว” เขาไม่อยากหิวอีกแล้ว มันแย่จริงๆ
น้ำตาที่นางจ้าวเช็ดออกด้วยความยากลำบากไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง
หลี่ชิงเฟิงได้ยินเสียงสะอื้นของนางจ้าวจึงรีบลุก เช็ดน้ำตาให้แม่เป็พัลวัน เขาพูดไม่เก่งจึงพูดซ้ำไปมาแค่คำเดิม แม่อย่าร้องไห้
เมื่อเห็นว่าตนยิ่งปลอบ นางจ้าวยิ่งร้องไห้ หลี่ชิงเฟิงก็ยิ่งลุกลี้ลุกลนและวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากหลี่ชิงหลิงอย่างรวดเร็ว "ท่านพี่ ท่านแม่ร้องไห้หนักกว่าเดิม ท่านไปปลอบแทนดีกว่าไหม?”
หลี่ชิงหลิงหยุดมือที่กำลังตัดลูกศรไม้ไผ่ วางมีดลง เก็บลูกศรไม้ไผ่ที่ทำเสร็จแล้วเดินเข้าไปในบ้าน
นางยืนที่ประตู มองนางจ้าวที่กำลังก้มหน้าเช็ดน้ำตา รู้สึกเ็ปใจเช่นกัน นางหลับตาเล็กน้อย หายใจเข้าลึก ๆ เดินไปหานางจ้าวทว่ากลับไม่รู้จะพูดอะไร?
นางเองก็ไม่อยากโกหกนางจ้าวว่าตนจะไม่ออกล่าสัตว์
คนสองคน หนึ่งยืนหนึ่งนั่งต่างเงียบ หลี่ชิงเฟิงมองไปมา แต่ไม่กล้าพูด
ครู่ใหญ่ เสียงแหบๆ ของนางจ้าวก็ดังขึ้นในห้องเงียบ "เ้าตั้งใจจะไปจริงๆ หรือ? แม่ห้ามเ้ายังไงก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหม?”
“อืม…”
นางจ้าวเช็ดน้ำตา วางผ้าไว้ข้างๆ และเอื้อมมือไปจับมือหลี่ชิงหลิง หลี่ชิงหลิงแข็งค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนคลาย
“งั้นก็ไปเถอะ แม่… ทีหลังแม่จะไม่ห้ามลูกอีก แต่ขออย่างเดียว ห้ามเข้าไปลึก ต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
ช่วยไม่ได้ ลูกสาวนางหัวดื้อเกินไป!
ดวงตาของหลี่ชิงหลิงฉายแววตกตะลึงและยินดี นางไม่คาดคิดว่านางจ้าวจะคิดได้เร็วขนาดนี้ คิดว่ารอบนี้ก็ต้องแอบไปเสียอีก!
นางย่อตัวลงวางหัวของตนบนเข่าของนางจ้าว และพูดเบา ๆ "ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย" อุตส่าห์มีชีวิตอีกครั้ง นางย่อมรักและหวงแหนชีวิตนี้
นางจ้าวลูบผมที่ลีบแห้งของลูกสาวแล้วส่งเสียงอืม นางรู้ว่าถ้าไม่ประนีประนอม ลูกสาวจะแอบไปแน่ เหมือนเมื่อสองสามคืนก่อน ตกลงไปก่อนเลยเสียจะดีกว่า
หากเป็แบบนี้ ลูกจะสามารถออกล่าโดยไม่ว่อกแว่กและกลับมาอย่างปลอดภัย
"ท่านแม่ ข้าก็ด้วย..." หลี่ชิงเฟิงวิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้ม นอนบนตักของจ้าวเหมือนหลี่ชิงหลิง
นางจ้าวมองดูลูกชายและลูกสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า ลูกๆ เชื่อฟังแบบนี้ นางก็ควรจะพอใจแล้ว
เมื่อนางจ้าวตอบรับ หลี่ชิงหลิงก็ขะมักเขม้นทำลูกศรไม้ไผ่มากกว่าเดิม หวังจะล่าเหยื่อได้มากขึ้น
หลังเตรียมของพร้อมแล้วก็เตรียมไปูเาซง
ใน่กลางดึก หลิวจือโม่อุ้มหลิวจือโหรวพลางเคาะประตูบ้านของหลี่ชิงหลิงพร้อมหลิวจือเยี่ยน
หลี่ชิงหลิงลุกขึ้นเปิดประตูให้หลิวจือโม่เข้าบ้าน หลิวจือโม่อุ้มหลิวจือโหรวเข้าไปในห้องวางลงบนเตียง ดันหลังให้หลิวจือเยี่ยนที่กำลังหาวอยู่ขึ้นไปด้วย
หลิวจือเยี่ยนปีนขึ้นไปมองหลิวจือโม่ด้วยดวงตาที่ลุกโชน "ท่านพี่ ต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ" เขารู้ว่าการล่าสัตว์เป็สิ่งที่อันตราย เขาไม่อยากให้พี่ชายของเขาไป แต่ครอบครัวเขาเป็หนี้ หากไม่ไปจะไม่มีเงินคืนให้คนอื่น
"อืม..." หลิวจือโม่ตบหัวหลิวจือเยี่ยน "เชื่อฟังท่านป้า ดูแลน้องสาวให้ดี แล้วรอข้ากลับมา"
“ขอรับ” หลิวจือเยี่ยนพยักหน้า
หลิวจือโม่ยิ้มหันหลังออกจากห้อง ขณะที่หลิวจือเยี่ยนขึ้นเตียง และร้องไห้เงียบๆ
"พวกเ้าระวังหน่อยนะ อย่าเข้าไปในูเาลึก อย่าโลภ แค่ล่าไก่และกระต่ายก็พอ..." นางจ้าวพูดมากด้วยความเป็ห่วง ด้วยกลัวว่าหากหลี่ชิงหลิงใจร้อนและโลภมาก จะวิ่งตามเหยื่อตัวใหญ่เ่าั้เข้าไปในเขาลึก
หลี่ชิงหลิงฟังคำพูดเหล่านี้มาสองวันแล้ว แต่นางยังคงผงกหัวและรอจนนางจ้าวพูดจบโดยไม่รำคาญหรือหงุดหงิด นางพูด "ท่านแม่ ข้าไปก่อนนะ ถ้าพวกท่านย่ามาก็ดูแลตัวเองด้วย อย่าไปปะทะด้วยเชียว” ไว้นางกลับมาจะจัดการให้เรียบ
นางไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายนี้ นางรู้ว่าถ้าพูด นางจ้าวจะต้องจู้จี้อีกครั้ง
“แม่รู้ ลูกไม่ต้องห่วงที่บ้านหรอก”
"ท่านป้า ข้าฝากจือเยี่ยนและจือโหรวด้วยนะขอรับ” เขาเป็ห่วงเด็กสองคนจึงได้แต่ส่งมาให้นางจ้าวดูแล
นางจ้าวส่ายหน้าบอกว่าไม่มีปัญหา กำชับหลิวจือโม่อีกพักใหญ่ หลิวจือโม่พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าจึงยอมปล่อยไป
หลังจากออกจากบ้าน หลี่ชิงหลิงถอนหายใจโล่งอก ทักษะการบ่นของแม่นางพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
เมื่อเห็นนางเช่นนี้ หลิวจือโม่ก็หัวเราะเบาๆ หลี่ชิงหลิงเหลือบมองเขาและถามว่าทำไมเขาถึงหัวเราะ?
"ไม่มีอะไร..." แค่คิดว่านางน่าสนใจดี
หลี่ชิงหลิงไม่ได้ถามอะไรอีก ทั้งสองรีบเดินทางเงียบๆ นางเคยมาูเาซงแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่ต้องเสียเวลาในการสำรวจเส้นทางเหมือนครั้งที่แล้ว
ครั้งนี้มาถึงูเาซงโดยฟ้ายังไม่สว่างดี
หลี่ชิงหลิงมองหลิวจือโม่ เห็นว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ นางจึงไม่รีบร้อนขึ้นูเาและพักผ่อนที่เชิงเขาก่อน
"พักผ่อนก่อน รอรุ่งสางแล้วค่อยเข้าไป" นางพบหินก้อนใหญ่ ดึงหลิวจือโม่ให้นั่งลง
หลิวจือโม่เหนื่อยมาก นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเดินไกลขนาดนี้ ขาของเขาอ่อนแรงเล็กน้อย
หันมองหลี่ชิงหลิงซึ่งดูเหมือนจะสบายดีแล้วก็รู้สึกอิจฉา สาวน้อยคนนี้ตัวเล็กแต่มีพละกำลังดีจริงๆ
เขาคงจะต้องออกกำลังกายให้มากแล้ว หากไม่ออกกำลังกายอีก เขาจะทิ้งห่างจากนางไกล
หลี่ชิงหลิงไม่รู้ว่าหลิวจือโม่กำลังคิดอะไรอยู่ นางเอนหลังพิงตะกร้าก้มหัวงีบหลับไป การตื่นกลางดึกทำให้นางง่วงมาก
เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว นางขยี้ตาพลางลุกขึ้นยืนบิดี้เี
เมื่อเห็นว่าหลิวจือโม่ยังคงหลับอยู่ นางคุกเข่าลงมองใบหน้าขาวสะอาดหล่อเหลาของเขา เอื้อมมือไปัั บีบเล่นสองครั้ง ผิวดีจริงๆ
“จือโม่ เช้าแล้ว ได้เวลาขึ้นเขาแล้ว"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้