เจินจูกับหลี่ซื่อยุ่งเป็อย่างมาก
ในบ้านใหม่เพิ่มลูกหมูขึ้นมาสองตัว กับลูกเจี๊ยบค่อนข้างโตสามสิบตัว
ไก่โตของที่บ้านให้หลิวผิงเอาไปหมดแล้ว ขณะนี้แม้แต่แม่ไก่ออกไข่ล้วนไม่มีเลยสักตัว
ตอนหลิวผิงมารับไก่กับกระต่าย พบว่าสกุลหูยังไม่เริ่มเลี้ยงหมู สีหน้าจึงเปลี่ยนไปขาวซีด
เขายังคิดมาโดยตลอดว่าถึงเวลาจะขนส่งหมูไปเมืองหลวงอย่างไร ผู้ใดจะรู้ว่าแม้แต่เส้นขนหมูของสกุลหูก็ยังไม่มี
เจินจูยิ้มแสดงการขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเป็ฝ่ายผิด กล่าวออกมาตามตรงว่า่นี้มีเื่ยุ่งอยู่มากมาย ไม่มีเวลาว่างไปจับลูกหมูเลย
หลิวผิงที่ท่าทางโกรธเคือง พอตกตอนบ่ายจึงให้คนลากรถนำลูกหมูสี่ตัวมาให้
เจินจูจนปัญญา นางไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงลูกหมูมากมายเช่นนั้น หมูกินมากมูลก็มากไปด้วย หากคอกหมูไม่ได้ทำความสะอาดหนึ่งวัน กลิ่นบริเวณหลังบ้านนั้นคงสำลักคนตายได้ เลี้ยงสองตัวก็มากสุดแล้ว จึงให้บิดาสกุลหูนำไปปล่อยเลี้ยงที่บ้านเก่าครอบครัวหูทางนั้นสองตัว
เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงล่อ นอกเหนือจากนั้นยังเลี้ยงปลาเลี้ยงแมวและเลี้ยงสุนัข เวลาครึ่งวันก็ผ่านไปแล้ว
รดน้ำผัก ตัดหญ้า ใส่ปุ๋ย ซักผ้าตากผ้า ทำงานเหล่านี้เสร็จก็ต้องเริ่มเตรียมอาหารกลางวันอีก
เจินจูมองเสื้อผ้าสกปรกที่เต็มกะละมัง สายตาละเหี่ยใจ คิดถึงเครื่องซักผ้าแบบอินเวอร์เตอร์ของตนเองอย่างยิ่ง
เฮ้อ... ตอนนี้มีแค่เครื่องซักผ้ากำลังคนแบบอัตโนมือทั้งหมดแล้วล่ะ
ขยี้หนึ่งรอบ ล้างน้ำสองรอบ บิดให้หมาดแล้วเอาขึ้นตาก
งานโดยรวม่เช้าของเจินจูก็เสร็จสิ้น
นางยืดเอวบิดี้เี ทันใดนั้นก็ได้หยุดชะงักการกระทำนั้นทันที
เด็กชายที่ปรากฏข้างมุมกำแพง แต่งกายชุดสีน้ำเงินเข้ม เสื้อผ้าตัดเย็บประณีต ขับให้เขามีชีวิตชีวาดูกระฉับกระเฉง ยิ่งดูไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น
เจินจูรีบปล่อยมือลงแล้วยิ้มอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น “วันนี้ไม่แลกเปลี่ยนความรู้กับอาชิงหรือ ถึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้ได้?
“เขาไปช่วยเก็บกวาดที่บ้านซิ่วฉายหยางแล้ว” หลัวจิ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้นาง ขณะที่สีหน้าปรากฏความลังเลเล็กน้อย บนใบหน้าสง่างามมีสีแดงเข้มผุดขึ้นมาอย่างน่าสงสัย
“ให้เ้า”
เขาถือดอกไม้สดสีชมพูที่เบ่งบานสะพรั่งหนึ่งช่อออกมาจากข้างหลัง
ดวงตาสองข้างของเจินจูจ้องกลมดิก เขา… มอบดอกไม้ให้นาง?
“วันนั้นเ้าไม่ได้ดูชื่นชอบมากหรอกหรือ เมื่อสักครู่ข้าเลยเก็บติดมือมาให้เ้าเล็กน้อย” เด็กชายอธิบายอย่างงุ่มง่าม มือที่ถือดอกไม้ควบคุมอาการสั่นเล็กน้อยไม่ได้
วันนั้น? เจินจูมองดอกไม้สดที่คุ้นตา พลันคิดขึ้นมาได้ เป็ส่วนหนึ่งบริเวณพื้นราบที่ถูกโอบล้อมไปด้วยูเาละแวกใกล้เคียงบึงมรกต มีกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยป่าแย้มบาน วันนั้นดอกไม้บานสะพรั่งสวยงามกำลังดี นางมองอยู่หลายครั้งอย่างอดใจไม่อยู่
เจินจูมองเขา สายตาสลับซับซ้อนเล็กน้อย บึงมรกตห่างไปไม่ใกล้เลย เขาเก็บติดมือมาด้วยการปีนถนนูเาขึ้นไปตั้งเท่าไรถึงจะเอาติดมือมาได้
“ขอบคุณ” นางรับกุหลาบป่าพันธุ์ไม้เลื้อยมาจากมือของเด็กหนุ่ม กุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยมีหนามมาก ยามนี้ห่อไว้ด้วยใบไม้เขียวสดอยู่สองสามใบ
ดอกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยสีชมพูยิ่งขับใบหน้าเล็กขาวสะอาดและนิ่มนวลของเด็กสาวให้เด่นยิ่งขึ้น ช่างเป็คนงดงามและอ่อนช้อยกว่าดอกไม้นัก หลัวจิ่งชำเลืองมองอยู่หลายครั้ง เส้นประสาทที่เกร็งแน่นถึงได้ผ่อนคลายลง หันไปยิ้มทางนางอย่างไม่เป็ธรรมชาติ “ข้ากลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”
แล้วหมุนกายจากไปราวกับ้าหนีไปจากตรงนี้
เจินจูใช้สองมือประคองดอกกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยไว้ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย
เด็กชายมอบดอกไม้ให้เด็กสาว ั้แ่โบราณจนถึงยุคปัจจุบันความหมายล้วนเหมือนกันกระมัง
ชีวิตนี้... นางเพิ่งอายุสิบเอ็ดปีก็ได้รับดอกไม้สดแสดงความรู้สึกดีช่อแรกแล้ว
อีกฝ่ายยังเป็เด็กหนุ่มที่คะแนนความหล่อระดับปรอทแตกอีกด้วย
นาง... ควรจัดการอย่างไรดีนะ?
เจินจูขมวดคิ้วแน่น
...ขณะที่ชิงเหมยยกชาขิงเข้ามาภายในห้อง กู้ฉีกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวใหญ่ ดูจดหมายที่หลิวผิงส่งมา
ดูอยู่เกือบหนึ่งเค่อแล้วกระมัง? เนื้อหาอะไรที่ทำให้คุณชายมองได้เคลิบเคลิ้มเช่นนี้?
“คุณชาย ชาขิงของท่านเ้าค่ะ” ชิงเหมยวางชาลงด้วยความระมัดระวัง
“อื้ม” กู้ฉีขานรับหนึ่งเสียง
ละสายตาขึ้นจากจดหมายแล้วยกชาขิงอุ่นร้อนขึ้นค่อยๆ จิบหนึ่งอึก
เด็กน้อยที่เพิ่มขึ้นมาของสกุลหู กำเนิดออกมาวันที่ห้าเดือนห้า บังเอิญเพียงนี้เลยหรือ ช่างเหมือนกันกับบิดาของเขาเหลือเกิน
การหาพระอาจารย์ลัทธิเต๋ามาแก้ไขวันเกิดเป็วิธีที่เหมาะสมและเชื่อได้จริงๆ
วัดโบราณชิงเหยียนก็นับได้ว่าเป็หนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรต้าสยา ให้หลิวผิงไปแจ้งกับวัดด้วยวาจาสักคำก่อน แล้วเพิ่มเงินตะเกียงน้ำมัน [1] เชิญไต้ซือคงอู้ออกมาด้วยตัวเอง เื่นี้ก็นับได้ว่าเหมาะสมใช้ได้แล้ว
สกุลหูทำการก่อสร้างเป็การใหญ่ เตรียมจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในหมู่บ้านและรับสมัครเด็กในหมู่บ้านเข้าเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สกุลหูเชิญอาจารย์สอนศิลปะป้องกันตัว แต่คนสอนการต่อสู้ผู้นั้นกลับเป็คนป่วย…
สกุลหูจับกวางป่ากับงูน้ำ นำเนื้อกวางกับเนื้องูพะโล้มามอบให้กับหลิวผิง…
ผักสดใหม่อย่างพวกแตงและถั่วของสกุลหูเติบโตอย่างบานสะพรั่ง น่าเสียดายไม่เหมาะให้ขนส่งทางไกล…
ทำไมสกุลหูถึงได้ถือโอกาสในตอนที่เขาไม่อยู่ ทำเื่มากมายเพียงนี้?
กู้ฉีกลัดกลุ้ม “แค่กๆ” ไอเบาๆ สองที เขารีบดื่มชาขิงหนึ่งอึกใหญ่ลงไป
ขิงนี่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว โชคดี... ในสิ่งของที่กำลังขนส่งมาครั้งนี้ ขิงก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย
“พี่ห้าล่ะ?” คนยังมาไม่ถึง เสียงนำมาก่อนแล้ว
กู้ฉีขมวดคิ้ว เงยหน้าบอกใบ้ชิงเหมยในทำนองว่า “บอกว่าข้าพักผ่อนอยู่”
ชิงเหมยเข้าใจ รีบเดินออกมานอกห้องและปิดประตูลงเบาๆ
“คุณหนู คุณชายห้ากำลังพักผ่อนอยู่เ้าค่ะ” ชิงเหมยจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาลง
“ทำไมพักผ่อนอีกแล้ว? ท่านป้าไม่ใช่บอกว่าร่างกายของพี่ห้าดีขึ้นแล้วหรือ?” โหยวอวี่เวยบ่นพึมพำ
“อาการป่วยของคุณชายห้าดีขึ้นมาได้หน่อยแล้วเ้าค่ะ ดังนั้นยิ่งต้องพักผ่อนบำรุงรักษาร่างกายให้มากๆ” ชิงเหมยอธิบายเสียงเบา
“เอาเถอะ เช่นนั้นตอนบ่ายข้าค่อยมาใหม่” โหยวอวี่เวยไม่พอใจ
“ตอนบ่ายเมื่อคุณชายห้าตื่นแล้วต้องไปเยี่ยมฮูหยินใหญ่ด้วยเ้าค่ะ” ชิงเหมยเตือน
“เอ๊ะ ทำไมพี่ห้ายุ่งเช่นนี้กัน ข้าล้วนไม่ได้เจอเขาหลายวันแล้วนะ” โหยวอวี่เวยโกรธจนกระทืบเท้าออกมา
กู้ฉีฟังการพูดคุยนอกประตูด้วยความปวดหัว ลูกผู้น้องผู้นี้ราวกับไม่เห็นการปฏิเสธของเขาอยู่ในสายตามาตลอด มักปรากฏออกมาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่ลดละและยืดหยัดจนถึงที่สุด
เขาคลึงหว่างคิ้ว ่เวลาที่กลับเมืองหลวงนี้ จวนสกุลกู้แต่ละบ้านรู้ว่าร่างกายเขากลับดีขึ้นมาได้บ้างแล้ว ล้วนกล่าวอ้างว่ามาเยี่ยมเยือน เพื่อวิ่งมาสืบหาความเป็จริงภายในถึงที่พักไท่อัน
การเยี่ยมเยียนและความเป็ห่วงในนามเหล่านี้ กู้ฉีรับมือพอเป็พิธีด้วยความเหนื่อยล้า จึงแสร้งว่าป่วยแล้วปฏิเสธแขกที่มาเยี่ยมเสียเลย
อันซื่อรักและสงสารบุตรชายคนเล็ก จึงทำเป็ไม่เห็นการกระทำแกล้งป่วยของเขา ล้วนมาเยี่ยมเยือนทุกวันเช้าค่ำตรงเวลา
หลังกู้ฉีทานอาหารเที่ยงแล้ว ได้นำกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้าหนึ่งถ้วยเล็กถือติดตัวไว้แล้วไปที่พักเฮ่อเหยียนถัง
ระยะนี้ในเวลาบ่ายเขาล้วนหิ้วของหนึ่งถ้วยเล็กไปเยี่ยมท่านย่า
“เ้าเด็กคนนี้ ไม่ใช่คุยกันแล้วหรือว่าไม่ต้องเอามาให้ย่าแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าข้าดีขึ้นมากแล้วหรือ เสบียงเ้าเหลืออีกไม่กี่ตัวแล้ว อย่าเอาอาหารที่เ้าต้องทานทุกวันมาให้ข้าทานจนหมดเกลี้ยงสิ” หญิงชราตีมือของหลานชายเบาๆ กล่าวด้วยความเ็ปใจ
“ท่านย่า เสบียงอาหารที่ส่งมาใหม่ผ่านไปอีกสองวันก็มาถึงแล้วขอรับ ท่านไม่ต้องกังวลใจ ขอแค่ร่างกายท่านดีขึ้นได้ คงทำได้เพียงเอาเสบียงอาหารของข้าให้ท่านทานให้เกลี้ยงทั้งหมดแล้ว” หาได้ยากที่กู้ฉีจะตอบอย่างมีชีวิตชีวา
หญิงชรายิ้มแย้มอย่างยินดี สองสามวันมานี้จิตใจของนางดีขึ้นได้หน่อยจริงๆ แม้ไม่สามารถแน่ชัดได้ว่าเป็ผลจากเสบียงอาหารที่กู้ฉีนำมาหรือไม่ แต่ตัวหญิงชราเองก็เชื่อมั่น
หญิงชราสกุลกู้ซดน้ำแกงกระต่ายหัวไชเท้าหนึ่งถ้วยเล็กหมดเกลี้ยง แม้แต่น้ำและเนื้อก็ไม่เหลือเลยสักนิด
ส่งถ้วยให้คนรับใช้หญิงชราที่ปรนนิบัติในห้อง นางกล่าวกับกู้ฉีด้วยคำชี้แนะที่จริงใจ “ฉีเอ่อร์ สองสามวันนี้ย่าดีขึ้นมามากหน่อยแล้วจริงๆ แม้ไม่ได้ชัดเจนมาก แต่มีผลที่ดีจริง ดังนั้นครอบครัวเกษตรกรในเขตูเาเล็กๆ แห่งนั้นยิ่งต้องระมัดระวังให้มากหน่อย หากเื่นี้รั่วไหลออกไปเพียงนิดจะทำให้พวกเขาในหมู่บ้านเขตูเาทั้งหมดล้วนประสบภัยพินาศได้ คนที่ติดตามเดินทางไปกับเ้าไม่กี่คนนั้น สามารถเก็บความลับได้หรือ?”
“ท่านย่า ท่านวางใจ หลานรู้ความร้ายแรงของเื่นี้ดี ข้ากำชับพวกเขาแล้ว ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปขอรับ” กู้ฉีพยักหน้าอย่างรอบคอบ
“เช่นนั้นก็ดี เหตุและผลหมุนเวียนกรรมตามสนองไม่คลาดเคลื่อน [2] พวกเรารับเอาผลประโยชน์ของผู้อื่นมา อย่านำอันตรายที่ยุ่งยากไปให้พวกเขา เื่นี้แม้เป็ประโยชน์ต่อเ้าและข้าแต่น่าเหลือเชื่อมากเกินไป ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกผู้ใด รวมถึงบิดาเ้าด้วย” ั์ตาหญิงชราเผยทุกสิ่งออกมาไม่เก็บงำ “สถานการณ์ในราชสำนักกำลังตึงเครียด หากบิดาเ้าอยากเอาตัวรอดก็ไม่สามารถเข้าไปคลุกคลีกับกองกำลังขององค์ชายได้ ส่วนในวังมีข่าวแพร่มาว่าพระประชวรขององค์ฮ่องเต้ยังนับได้ว่ามั่นคง เพียงร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ หวงกุ้ยเฟย [3] ตามหาท่านหมอเทวดาจางมาพักที่เมืองหลวงได้เป็การชั่วคราว มีการบำรุงรักษาจากท่านหมอเทวดา อาการประชวรขององค์ฮ่องเต้น่าจะดีขึ้นได้ สรุปแล้วสถานการณ์ตอนนี้ผู้ที่ฉลาดล้วนรู้ตัวว่าควรรักษาตัวอยู่อย่างเงียบๆ”
กู้ฉีเงียบไม่พูดไม่จา พักนี้ท่านย่าของเขามักวิเคราะห์อำนาจการบริหารของราชสำนักให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ เขาเข้าใจความร้ายแรงในนั้นอย่างชัดแจ้ง ฮ่องเต้ประชวรมามากกว่าครึ่งปี ความสงบระหว่างองค์ไท่จื่อกับขุนนางผู้ช่วยบริหารบ้านเมืองยังคงรักษาไว้ต่อหน้าพระพักตร์ แต่ลับหลังไม่รู้ว่าลงมือกันอย่างโเี้กันไปเท่าไรแล้ว
ครั้งหนึ่งที่โเี้ร้ายแรงที่สุด เป็เหตุการณ์ใส่ร้ายองค์ชายสามอย่างจงใจว่าวางแผนก่อฏ ไม่เพียงกักบริเวณขังองค์ชายสาม แต่ยังตัดหัวขุนนางจำนวนมากมายที่มีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม ณ ประตูอู๋เซวียนอย่างป่าเถื่อน
ชื่อเสียงเลื่องลือของโลหิตที่ไหลกลายเป็แม่น้ำ [4] แผ่ออกมา ทำเอาขุนนางขี้ขลาดที่พบเห็นใกลัวกันสุดขีด ยื่นสาส์นกราบทูลความดุร้ายและเผด็จการขององค์ไท่จื่อดั่งเกร็ดหิมะกองพะเนินเต็มภายในศาลา
แต่ตอนนั้นองค์ฮ่องเต้ทรงประชวรอย่างรุนแรง เดี๋ยวฟื้นเดี๋ยวหลับ สติเลอะเลือน สถานการณ์ย่ำแย่มาก ผู้ใดต่างก็ไม่กล้ากราบทูลเื่ราวแก่ฮ่องเต้ กลัวมากว่าพระองค์จะรับความะเืใจไม่ไหวแล้วขี่นกกระเรียนลาลับไปทางตะวันตก [5] เช่นนั้นจะยิ่งไม่มีคนปราบปรามองค์ไท่จื่อได้แล้ว
กู้ฉีกลับมาถึงที่พักไท่อัน
อันซื่อคอยอยู่เป็เวลานาน “ฉีเอ่อร์ อีกสามวันถัดไป ท่านน้าของเ้าจะจัดงานเลี้ยงชมบุปผา เมื่อตอนกลางวันอวี่เวยมาส่งเทียบเชิญให้เ้า เ้าไม่เจอนาง”
นางมองกู้ฉีที่ไม่พูดจาแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ
“แม่รู้ เ้าไม่ชอบงานเลี้ยงส่วนตัวเหล่านี้ แต่ฉีเอ่อร์ เ้าโตแล้ว ต้องก่อร่างสร้างตัวรับมือกับฐานะทางครอบครัว เมื่อก่อนเ้าสุขภาพไม่ดี แม่ไม่กล้าเอาเื่เหล่านี้มากวนใจเ้า แต่ตอนนี้ร่างกายเ้าดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ออกจากบ้านคบหาสหายดีๆ นิดหน่อย ต่อไปจะมีประโยชน์ต่อเ้า”
“ฉีเอ่อร์ไปปรากฏตัวในงานหน่อย นั่งสักครึ่งชั่วยามก็ได้ งานเลี้ยงชมบุปผาในจวนท่านโหวเหวินชาง [6] คุณหนูและคุณชายของขุนนางมากมายล้วนไปประจบประแจงปรากฏตัว ฉีเอ่อร์ไปสยบความวุ่นวายในงานให้ท่านน้าเ้าหน่อย แล้วถือโอกาสไปเจอบรรดาลูกพี่ลูกน้องชายหญิงด้วย ถือเสียว่าผ่อนคลายจิตใจก็ได้”
อันซื่อหันไปยิ้มประจบทางเขาอย่างระมัดระวัง แต่กู้ฉีอึดอัดในใจ
บนใบหน้าของเขาขาวซีดเกือบจะโปร่งใส ปรากฏความกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างเ็า
งานเลี้ยงชมบุปผาในจวนของท่านโหวเหวินชาง เขาเคยไป
ในฤดูใบไม้ผลิที่เขาอายุสิบเอ็ดปีในปีนั้น ร่างกายของเขาค่อนข้างดีขึ้นกว่าปีที่แล้วๆ มา อันซื่อก็เป็เช่นนี้ อยากให้เขาออกจากบ้านไปคบหาสหายให้มากหน่อย จึงพาเขาไปจวนของท่านโหวเหวินชางพร้อมกัน
ชุดผ้าไหมตระการตา เสียงดนตรีบรรเลงมีชีวิตชีวา บรรยากาศการสังสรรค์ครึกครื้น ชาดและผงแป้งโชยเข้าจมูก กู้ฉีนั่งใจลอยพักอยู่บนชั้นลอย ข้างกายนอกจากโหยวอวี่เวยที่เจี๊ยวจ๊าวแล้วไม่มีคนอยู่ข้างกายอีกเลย
คุณชายและคุณหนูที่ห่างไปไม่ไกลคุยกระซิบกระซาบหัวชนกัน แอบพิจารณาเสียดสีเป็การส่วนตัว
“เขาเป็บุตรชายคนเล็กในครอบครัวใหญ่ของสกุลกู้ ทั้งผอมทั้งตัวเล็ก เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มิน่าเล่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเห็นเขาเลย”
“ได้ยินว่าร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ป่วยอย่างรุนแรงเลยล่ะ”
“เ้าดูสีหน้าของเขาสิ อึมครึมซีดขาว ไม่รู้ว่าป่วยเป็อะไร จะไม่นำโรคมาติดต่อใช่ไหมเนี่ย?”
“…”
คำพูดของเด็กสาวเด็กชายอ่อนวัยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด เสียงแว่วออกมาเข้าหูเขาได้โดยตรง
ไกลออกไปอีก บรรดาลูกพี่ลูกน้องผู้ชายและผู้หญิงของเขา พูดคุยกับสหายสามคนห้าคนอย่างสนุกสนานต่อเนื่อง ราวกับไม่รู้เื่ราวทางด้านนี้เลย
อยู่จวนท่านโหวเหวินชางเป็เวลานานกว่าหนึ่งชั่วยาม เมื่อกลับไปก็ไข้ขึ้นสูงทันที
อันซื่อใจนขวัญหนีดีฝ่อ รอให้ไข้ของเขาลดลงแล้ว จึงไม่กล้าให้เขาออกจากบ้านไปเข้าสังคมอีกเลย
กู้ฉีไตร่ตรองชั่วขณะ ทันทีหลังจากนั้นก็ถอนหายใจ “ท่านแม่ งานเลี้ยงชมบุปผาข้าไปได้ แต่…”
เชิงอรรถ
[1] เงินตะเกียงน้ำมัน หมายถึง เงินอุทิศเพื่อธูป เทียน ตะเกียงน้ำมันที่ใช้จุดบูชาภายในวัด
[2] เหตุและผลหมุนเวียนกรรมตามสนองไม่คลาดเคลื่อน (因果循环报应不爽) เหตุและผลหมุนเวียน หมายถึง สาเหตุและผลลัพธ์วนเวียนกันไปไม่จบไม่สิ้น เป็การบ่งชี้ว่าเื่ราวหรือปัญหาจะสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ โดยเป็เหตุและผลของกันและกัน ส่วนกรรมตามสนองไม่คลาดเคลื่อน หมายถึง ผู้ใดทำไม่ดีย่อมได้รับผลนั้น
[3] หวงกุ้ยเฟย (皇贵妃) คือ ชื่อตำแหน่งแบบเต็มของพระอัครเทวีในองค์จักรพรรดิ เป็พระมเหสีรองซึ่งมีอำนาจในการปกครองวังหลังรองจากฮองเฮา ตำแหน่งนี้จึงมีได้เพียง 1 คน
[4] โลหิตที่ไหลกลายเป็แม่น้ำ เป็การอุปมาว่ามีคนตายจำนวนมากมาย
[5] ขี่นกกระเรียนลาลับไปทางตะวันตก หมายถึง การเสด็จสู่าลัย นกกระเรียนเป็สัตว์มงคลของจีนั้แ่โบราณ เป็สัญลักษณ์ของความอายุมั่นขวัญยืน ว่ากันว่านกกระเรียนจะบินมุ่งทิศตะวันตกไปสู่์ ความเชื่อของจีนจึงเชื่อว่า ผู้วายชนม์หากเป็ผู้มีบุญบารมี บุญญาธิการสูง เมื่อถึงแก่กรรมลงจะนั่งกระเรียนเป็พาหนะสู่สรวง์
[6] โหว (侯) คือหนึ่งในตำแหน่งบรรดาศักดิ์ของจีน เทียบเท่าเ้าพระยา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้