บทที่ 7 เสียงสะท้อนในความเงียบ
เืสีดำข้นคลั่กที่พุ่งทะลักออกมาจากปากของอาเป่า สาดกระเซ็นลงบนพื้นดินเย็นเฉียบราวกับหมึกสีดำที่ถูกสาดลงบนผืนผ้าใบสีซีด มันคือภาพแห่งความตายที่เด่นชัดที่สุด คือจุดสิ้นสุดของความหวังที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้น
"ไม่นะ! อาเป่า! ลูกแม่!"
เสียงกรีดร้องของป้าหลิวแหลมสูงจนบาดลึกเข้าไปในโสตประสาทของทุกคน นางถลาเข้าไปหมายจะกอดร่างของบุตรชาย แต่ถูกหลี่ซือที่ตั้งสติได้ก่อนรั้งตัวไว้แน่น
อันจินยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่าซ้ำสองดวงตาของเขาเบิกกว้างจับจ้องไปยังภาพอันน่าสยดสยองนั้นความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาตลอดชีวิตกำลังกรีดร้อง อยู่ในหัวของเขา จบสิ้นแล้ว!
"พิษ พิษมันทะลวงเข้าสู่หัวใจแล้ว!" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาและแหบพร่าราวกับเสียงใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบย่ำ "เืพิษย้อนกลับ เส้นลมปราณหัวใจถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่รอดแล้ว ไม่มีทางรอดแล้ว "
ทุกถ้อยคำของเขาเปรียบดังค้อนปอนด์ที่ทุบซ้ำลงบนหัวใจที่แหลกสลายของป้าหลิว จนแหลละเอียด นางทรุดฮวบลงไปในอ้อมแขนของหลี่ซือ ร้องไห้จนแทบจะขาดใจ
กระท่อมทั้งหลังตกอยู่ในความโกลาหลและความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์แบบ
ยกเว้นเพียงคนเดียว
"เงียบ!!!"
เสียงของอันหนิงตวาดก้องขึ้นมาดังราวกับสายฟ้าฟาดมันไม่ใช่เสียงะโที่เกรี้ยว กราดแต่เป็เสียงที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาดที่บังคับให้ทุกคนต้องหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติ
นางยังคงคุกเข่าอยู่ข้างเตียง มือข้างหนึ่งยังคงประคองศีรษะของอาเป่าไว้ แม้ใบหน้าของนางจะซีดเผือดแต่ดวงตาของนางกลับส่องประกายคมกล้าและเยือกเย็นราวกับน้ำในบ่อลึกยามค่ำคืน
"นี่ไม่ใช่สัญญาณแห่งความตาย" นางกล่าวเสียงเรียบแต่ทุกถ้อยคำกลับหนักแน่นราว กับภูผา "แต่มันคือสัญญาณของการต่อสู้! คือสัญญาณว่ายาได้ออกฤทธิ์แล้ว!"
อันจินหันขวับมามองบุตรสาวด้วยแววตาที่เหลือเชื่อ "เ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! ตำราแพทย์เล่มไหนสอนเ้าว่าการสำลักเืพิษออกมาคือการรักษา! นี่มันคืออาการสุดท้ายก่อนที่อวัยวะภายในจะล้มเหลวโดยสมบูรณ์!"
"ตำราแพทย์ที่ท่านไม่เคยอ่านน่ะสิ!" อันหนิงสวนกลับทันควัน ไม่มีความยำเกรงในแววตาเลยแม้แต่น้อย "พิษของงูเห่าเพลิงห้าก้าวร้ายกาจเกินไป มันเกาะกินอยู่ในเส้นเืราวกับสนิมเหล็ก รากน้ำค้างจันทราช่วยปกป้องหัวใจ ใบเจ็ดดาวขับพิษร้อน และเฟินเกล็ดงูทองชำระล้างเื! เมื่อยาออกฤทธิ์ มันก็เหมือนกับการส่งกองทัพเข้าไปกวาดล้างศัตรู! การสำลักเืพิษออกมาก็คือการขับไล่ซากศพของศัตรูออกมาจากสมรภูมิ! ถ้าเขาไม่ขับมันออกมาสิ ถึงจะหมายความว่าเขาพ่ายแพ้แล้วจริง ๆ!"
นางอธิบายฉากใหญ่โดยอ้างอิงหลักการแพทย์แผนจีนที่บิดาเข้าใจ แต่ผสมผสานตรรกะและเหตุผลที่ชัดเจนแบบคนยุคใหม่เข้าไปด้วย
ทุกคนในห้องถึงกับนิ่งอึ้งไปกับคำอธิบายของนาง มันฟังดู มีเหตุผลอย่างน่าประหลาด
"ท่านพ่อ" อันหนิงหันไปสบตากับบิดาโดยตรง แววตาของนางจริงจังถึงขีดสุด "ท่านคือหมอเทวดา ข้าเชื่อในความรู้ของท่าน แต่ในยามนี้ท่านช่วยเชื่อในตัวข้าสัก ครั้งได้หรือไม่ อย่าเพิ่งตัดสินแพ้ชนะ ในเมื่อการต่อสู้มันยังไม่จบ!"
อันจินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของบุตรสาวเขามองเห็นความมั่นใจที่ไม่ได้มาจากความโอหังหรือความโง่เขลา แต่มันคือความเชื่อมั่นที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความรู้บางอย่าง ที่เขาไม่อาจหยั่งถึงได้
เขากลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอ ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างไม่รู้ตัว
อันหนิงหันกลับมาสนใจร่างของอาเป่าอีกครั้งนางใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเืออกจากปากของเด็กน้อยอย่างใจเย็น จากนั้นจึงวางมือลงบนข้อมือของเขาเพื่อจับชีพจร แม้มันจะยังเต้นอ่อนและไม่สม่ำเสมอ แต่มันยังคงเต้นอยู่!
"ท่านแม่ ต้มน้ำขิงร้อน ๆ เตรียมไว้" นางสั่งการต่อ "ป้าหลิว อาเป่ายังไม่เป็อะไร เขาแค่้าเวลาพักฟื้น"
เวลาผ่านไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทุกวินาทีในกระท่อมหลังนี้ยาวนานราวกับหนึ่งชั่ว ยามมีเพียงเสียงสะอื้นของป้าหลิว และเสียงลมหายใจที่แ่เบาของอาเป่าเท่านั้นที่ ดังอยู่ในความเงียบ
อันหนิงยังคงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ยอมลุกไปไหน นางคอยเช็ดตัวลดไข้ให้เด็กน้อย และคอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างด้วยความใส่ใจ
และแล้ว ปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้น
สีม่วงคล้ำบนริมฝีปากของอาเป่าเริ่มจางลง กลายเป็สีซีด แล้วค่อย ๆ มีสีเืฝาดจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาแทนที่
รอยไหม้สีดำคล้ำที่าแบนขาก็ค่อย ๆ หยุดการลุกลาม และดูเหมือนจะจางลงเล็กน้อย
และที่สำคัญที่สุด ลมหายใจของเขา จากที่เคยขาดห้วงและแ่เบา ก็เริ่มกลับมาสม่ำเสมอและลึกขึ้น แม้จะยังอ่อนแรงก็ตาม
"ท่านพ่อ " อันหนิงเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่ละสายตาไปจากร่างของอาเป่า "ช่วยตรวจชีพจรให้เขาอีกครั้งได้หรือไม่"
นี่คือการหยิบยื่นกิ่งมะกอก คือการเชื้อเชิญให้บิดาของนางกลับมายืนในจุดที่เขาเคย ยืนอยู่อีกครั้ง อันจินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินขากะเผลกเข้ามาที่ข้างเตียง เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่หลี่ซือรีบเลื่อนมาให้เขายื่นนิ้วชี้และนิ้วกลางที่สั่นเทาเล็กน้อยของ ตนออกไป แตะลงบนข้อมือเล็ก ๆ ของอาเป่าอย่างแ่เบา
วินาทีที่ปลายนิ้วัักับชีพจร ดวงตาของอันจินก็พลันเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง!
แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่ความตกตะลึงจากความสิ้นหวัง แต่เป็ความตื่นตะลึงจากความเหลือเชื่อ!
ชีพจร แม้จะยังคงอ่อนแรง แต่กลับเต้นอย่างมีจังหวะและมั่นคง! มันไม่ใช่ชีพจรของคนที่กำลังจะตาย!แต่เป็ชีพจรของคนที่กำลังฟื้นตัวจากการต่อสู้ที่หนักหน่วง! พลังหยินและหยางที่เคยปั่นป่วนบัดนี้กำลังค่อย ๆ กลับสู่สมดุล!
"เป็ไปได้อย่างไร " เขาพึมพำกับตัวเองราวกับละเมอ "นี่มัน เป็ไปได้อย่างไร "
เขาเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาวของตนเอง มองเด็กสาวอายุสิบห้าปีที่เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดวิ่นใบหน้าซีดเซียวจากความเหนื่อยล้าแต่ดวงตาคู่นั้นกลับส่องประกายสุก ใสราวกับดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดบนท้องฟ้ายามรัตติกาล
ภาพของนางในยามนี้ ซ้อนทับกับภาพของตัวเขาเองในวัยหนุ่ม ภาพของหมอเทวดาผู้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คน ภาพที่เขาคิดว่ามันได้ตายจากไปพร้อมกับขาของเขาและชื่อเสียงของเขาแล้ว
"หนิงเอ๋อร์ " เขาเอ่ยชื่อนางออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง มันไม่มีความเกรี้ยวกราดไม่มีความขมขื่นมีเพียงความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะบรร ยายได้ความทึ่งความสับสนและบางทีอาจมีความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ "เ้า คือใครกันแน่"
อันหนิงมองสบตาบิดาของนางตรง ๆ นางรู้ดีว่าคำถามนี้ไม่ได้หมายถึงชื่อของนาง แต่หมายถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง
นางยิ้มออกมาบาง ๆ เป็รอยยิ้มแรกที่จริงใจและอ่อนโยนที่สุดนับั้แ่นางทะลุมิติ มา
"ข้าคืออันหนิง ลูกสาวของท่านหมอเทวดาอันจิน" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่น "ความรู้ของข้า ก็คือความรู้ของท่าน ความสามารถของข้าก็คือสิ่งที่ท่านได้มอบให้ข้าเป็เพียงเสียงสะท้อนของท่านในวันที่ท่านยังคงยืนอยู่บนจุดสูงสุด ท่านพ่อ ท่านไม่ได้สูญเสียมันไปเลย ท่านแค่ลืมมันไปชั่วคราวเท่านั้น"
คำพูดของนาง ราวกับสายน้ำเย็นที่ชะโลมลงบนหัวใจที่แห้งผากของอันจิน ราวกับเสียงก้องที่สะท้อนกลับมาจากหุบเหวแห่งความเงียบงันที่เขาสร้างขึ้นมาขังตัว เอง
เขาไม่ได้ตอบอะไร ทำได้เพียงมองหน้าบุตรสาวของตนเองนิ่งงัน ขณะที่หยาดน้ำอุ่นๆ ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ััอีกแล้วในชีวิตนี้ ค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากหางตาช้า ๆ
"แม่ ข้าหิวน้ำ "
เสียงเล็ก ๆ ที่แหบพร่าดังขึ้นจากบนเตียง ปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์!
อาเป่า เด็กน้อยที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากปากประตูยมโลก ได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว!
"อาเป่า!" ป้าหลิวร้องออกมาอย่างดีใจสุดขีด นางถลาเข้าไปกุมมือลูกชายไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันคือน้ำตาแห่งความสุขที่แท้จริง
หลี่ซือรีบนำน้ำขิงอุ่น ๆ มาป้อนให้เด็กน้อยอย่างเบามือ
กระท่อมที่เคยจมอยู่ในความมืดมิด บัดนี้กลับสว่างไสวขึ้นมาด้วยแสงแห่งปาฏิหาริย์ แสงที่เกิดจากความรู้ ความกล้าหาญและความเชื่อใจซึ่งกันและกันของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง
ติ๊ง!
เสียงของระบบดังขึ้นในหัวของอันหนิงอีกครั้ง แต่คราวนี้นางไม่ได้สนใจมันมากนัก
[ภารกิจฉุกเฉิน: แข่งขันกับจุมพิตอสรพิษ... สำเร็จ!]