เมื่อองค์ชายใหญ่จ้าวหยาง ผู้าุโเฉียน จ่านเฉิน และคนอื่น ๆ เห็นหินวัดพลังแตกสลายต่างก็ตกตะลึง
ดวงตาขององค์ชายใหญ่จ้าวหยางวาบประกายคมกริบ เย่เฟิงอยู่จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 7 ไม่เพียงแต่จุดไฟทั้งเก้าดวง แต่ยังทำให้หินวัดพลังแตกสลาย เป็อย่างที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงคนนั้นพูดไว้ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมีความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการโจมตีเมื่อครู่ของเย่เฟิงมีพลังมากกว่า 90,000 จิน เกินระดับมาตรฐานถึงแสนจิน จึงทำให้หินวัดพลังทนพลังมหาศาลนั้นไม่ได้จนแตกสลายเป็ผุยผง
“พลังโจมตีของเขาไม่เลว แต่ข้าในตอนนี้ก็สามารถทำให้หินวัดพลังแตกได้เหมือนกัน เพราะงั้นสิ่งที่เขาทำจึงไม่น่าแปลกใจอะไร!” จ่านเฉินกล่าว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาพูดจาดูถูกเย่เฟิงสารพัดอย่าง แต่บัดนี้การกระทำของเย่เฟิงได้ตบหน้าเขาทางอ้อม ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตนเองขายหน้า จ่านเฉินจึงกล่าวเช่นนี้
“เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 แต่เทียบผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ ช่างน่าขันนัก” จ้าวซินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ทนไม่ได้ จึงตวัดสายตาไปมองจ่านเฉินด้วยท่าทีเ็า
“องค์หญิงรู้จักเด็กคนนั้นหรือ ถึงได้ช่วยเขาพูดเช่นนี้?” จ่านเฉินกล่าวเสียงเย็นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“จะรู้จักหรือไม่ท่านก็ไม่จำเป็ต้องรู้ ข้าเพียงอยากเตือนท่าน อย่าพูดจาให้ร้ายผู้อื่นลับหลัง” จ้าวซินอี๋กล่าวเสียงเย็น องค์ชายใหญ่คำนึงถึงสถานะของจ่านเฉิน แต่กลับไม่เกรงกลัว เดิมทีนางอดกลั้นอดทนเพราะเห็นแก่สถานะของอีกฝ่าย แต่จ่านเฉินผู้นี้กลับพูดจาดูถูกเย่เฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วนางจะทนต่อไปได้อย่างไร?
“เ้า...” จ่านเฉินถึงกับพูดไม่ออก
“พี่จ่านเฉินอย่างถือสาหาโทษเลย น้องสาวข้าคนนี้เป็คนอารมณ์ร้อน แม้ว่าพลังของเย่เฟิงผู้นั้นจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโดดเด่นในทุก ๆ ด้าน พี่จ่านเฉินไยต้องสนใจรอบนี้ด้วยเล่า?” องค์ชายใหญ่จ้าวหยางเห็นบรรยากาศไม่ดี จึงรีบกล่าวเช่นนั้น
“หึ!” จ่านเฉินแค่นเสียงเ็าแต่ไม่พูดอะไร อีกฝ่ายเป็ผู้หญิง ทั้งยังเป็ผู้หญิงที่สวยงดงามอย่างมาก เขาจ่านเฉินจึงไม่ถือสาหาโทษ
“ข้าไม่ได้ใช้พลังยุทธ์ แต่ก็ะเิพลังได้ถึงแสนจิน แม้จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ แต่เมื่อเทียบด้านพลังล้วน ๆ ไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เย่เฟิงยิ้มอย่างพอใจขณะมองหินวัดพลังที่ถูกทำลายด้วยหมัดของตัวเอง จากนั้นเดินลงจากเวที
“เ้าคิดว่าเ้าจุดไฟแปดดวงแล้วจะมีแค่เ้าคนเดียวที่ทำได้งั้นหรือ?” ขณะที่เย่เฟิงเดินผ่านมู่เยี่ยนก็กล่าวเย้ยหยันพลางแสยะยิ้ม
“อย่าเหิมเกริมนักเลย ประลองฝีมือรอบที่สามจะเป็จุดจบของเ้า!” มู่เยี่ยนกล่าว แต่สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีเท่าไร บัดนี้การวัดพลังของเย่เฟิงได้ทลายสถิติที่องค์ชายใหญ่จ้าวหยางเคยทำไว้แล้ว นี่เป็การตบหน้ามู่เยี่ยนชัด ๆ
เย่เฟิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะกลับไปยังที่ของตัวเอง
“พี่เย่ เก่งมาก!” อวิ๋นเจี๋ยยกนิ้วให้เย่เฟิง ตอนงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียน อวิ๋นเจี๋ยอยากสู้กับเย่เฟิง แต่ตอนนี้เขารู้สึกเลื่อมใสเย่เฟิงเป็อย่างมาก
แววตาของนี่จ้านเทียนดูสับสน ครั้งหนึ่งผู้ที่เขาเคยดูถูก ไม่เพียงแต่ก้าวข้ามเขา แต่ยังทิ้งเขาห่างไปไกล นี่ทำให้ความเชื่อมั่นที่นี่จ้านเทียนมีค่อย ๆ จางหายไป
รอบที่หนึ่งการวัดพลังสิ้นสุดลง มีทั้งหมด 128 คนที่ผ่านเข้ารอบ ส่วนคนที่เหลือตกรอบ
“รอบที่หนึ่งจบลงแล้ว สองชั่วยามต่อจากนี้ ทุกคนสามารถพักผ่อนให้เต็มที่ อีกสองชั่วยามจะเริ่มรอบที่สอง นั่นคือบุกฝ่าเจดีย์เชื่อมฟ้า”
ขุนนางใหญ่ผู้ดำเนินการผู้นั้นลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวช้า ๆ แต่สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เย่เฟิงครู่หนึ่ง งานชุมนุมหวงปั่งนั้นคือการแข่งขันของเหล่าอัจฉริยะจากทั่วทั้งอาณาจักรจ้าว รอบที่หนึ่งทุกคนต่างถูกเย่เฟิงกลบแสงเฉิดฉายจนมิด ทำให้หลาย ๆ คนไม่พอใจ โดยเฉพาะอัจฉริยะชั้นยอดเ่าั้ก็ยิ่งไม่ชอบใจ พวกเขาเริ่มชิงชังเย่เฟิง กระทั่งมีหลายคนคิดจัดการเย่เฟิงในการแข่งขันรอบต่อไป พวกเขาอยากดูว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ะเิพลังถึงแสนจินได้ในรอบที่หนึ่งจะมีพลังแข็งแกร่งมากเพียงใด
แต่เย่เฟิงไม่สนใจสายตาของคนเ่าั้ เขาไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มปรับลมหายใจ ครู่ต่อมามีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่ด้านหน้าเย่เฟิงก่อนจะกล่าวว่า “ตื่น!”
ผู้มาคือจ่านเฉิน แม้เสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่กลับเป็น้ำเสียงที่ออกคำสั่ง ราวกับว่าเย่เฟิงต้องเชื่อฟังเท่านั้น
“ไม่รู้ว่าจ่านเฉินหาเย่เฟิงมีธุระอันใด?” ผู้คนไม่น้อยสังเกตเห็นทางด้านนี้จึงเผยสีหน้าสงสัย บัดนี้พวกเขาส่วนใหญ่รู้ความเป็มาของจ่านเฉินแล้ว นั่นคือศิษย์สายในของสำนักชิงอวิ๋น มีฐานะสูงส่ง เป็การดำรงอยู่ที่พวกเขาเลื่อมใสศรัทธา แต่บุคคลสูงส่งเช่นนี้เป็ฝ่ายมาหาเย่เฟิงก่อน ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
แน่นอนว่าเย่เฟิงได้ยินจ่านเฉิน แต่เขาไม่ตอบกลับ เขาขยับตัวเล็กน้อย ซึ่งเย่เฟิงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็ใครมาจากไหน เพียงแต่ไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งเช่นนี้
“ข้าพูดกับเ้าอยู่นะ หูหนวกหรือไง?” จ่านเฉินเห็นเย่เฟิงเงียบก็เอ่ยเสียงเย็นเช่นนั้น ในความคิดเขา ด้วยสถานะศิษย์สายในแห่งสำนักชิงอวิ๋นของเขา การที่พูดคุยกับผู้มีตบะต่ำต้อยในอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ติดพรมแดนนี่ ถือว่าเป็เกียรติของอีกฝ่าย อีกฝ่ายต้องตอบกลับเขาถึงจะถูก
เย่เฟิงขมวดคิ้ว แต่ยังคงไม่ขยับเขยื้อน นี่ทำให้จ่านเฉินโมโห คิดว่าเย่เฟิงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทันใดนั้นพลังพวยพุ่งออกจากร่างเขา ก่อนจะไปเยือนร่างเย่เฟิง
“กร๊อบ!” พลังมหาศาลกดทับร่างเย่เฟิงจนมีเสียงกระดูกดังลั่น
“เย่เฟิงผู้นี้ไร้มารยาทมาก จ่านเฉินเรียกเขา แต่เขากลับนิ่งเงียบ บัดนี้จ่านเฉินโมโหแล้ว เขาต้องแย่แน่ ๆ ” ผู้คนเห็นจ่านเฉินใช้พลังกดดันเย่เฟิงต่างก็คิดในใจเช่นนี้
ตอนนั้นเองเย่เฟิงลืมตาขึ้นมา พร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา จากนั้นเขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับพลังปราณแผ่ออกจากร่าง เพื่อกำจัดพลังของจ่านเฉิน “ท่านหาข้ามีธุระอันใด?”
“เมื่อครู่ข้าเรียกเ้าไม่ได้ยินหรือไง?” จ่านเฉินไม่ตอบเย่เฟิง แต่ย้อนถามเย่เฟิงแทน
“ท่านกับข้าไม่รู้จักกัน ข้าไม่จำเป็ต้องตอบ อีกอย่างท่านใช้พลังกดดันตอนข้าอยู่ในสภาวะบำเพ็ญ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเลวทรามมาก” แม้เผชิญหน้ากับจ่านเฉิน แต่เย่เฟิงก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว
“กล้าดียังไงมาพูดจาเช่นนี้กับข้า ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่เ้าเป็คนแรกเลยนะที่กล้าเช่นนี้!” จ่านเฉินตาเผยประกายคมกริบพลางยิ้มหยัน “เ้ากล้าแลกเปลี่ยนวิชากับข้าหรือไม่?”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตาเผยประกายเฉียบคม คิดแล้วเชียวว่าจ่านเฉินไม่ได้มีเจตนาดี
“หากข้าดูไม่ผิด ท่านน่าจะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 แต่จะให้ข้าแลกเปลี่ยนวิชากับท่าน ท่านคิดว่ามันยุติธรรมหรือ?” เย่เฟิงกล่าวพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเื่ยุติธรรมกับข้า? เ้ายิ่งไม่มีสิทธิ์สู้กับข้าด้วยซ้ำ” จ่านเฉินแสยะยิ้ม ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ตราบใดที่เ้ารับสามกระบวนท่าของข้าได้ ข้าจะไม่มารบกวนเ้าอีก”
“มีสิทธิ์อะไรมาให้ข้ารับสามกระบวนท่าของท่าน?” เย่เฟิงขมวดคิ้ว จ่านเฉินให้เขารับสามกระบวนท่า เขาก็ต้องทำอย่างนั้นหรือ? เขาเย่เฟิงไม่ชอบให้ใครชักจูงจมูก
“ต่อหน้าข้า เ้ามีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยหรือ? หากเ้ารับสามกระบวนท่าของข้าไม่ได้ ต่อให้พลังของเ้าจะแกร่งกล้าเพียงใดแล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า” จ่านเฉินกล่าว จากนั้นเห็นแสงเข้าปกคลุมร่างเขาหนึ่งชั้น คล้ายกับมีพลังประหลาดพวยพุ่งออกมา นี่ทำให้ผู้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกกดดัน ก่อนเหงื่อที่จะแตกพลั่กในพริบตา
“จ่านเฉินสมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 จากสำนักชิงอวิ๋น ขนาดพลังที่ปล่อยออกมาก็น่ากลัวขนาดนี้!” ผู้คนรอบข้างต่างถอยหลังไปห่าง ๆ เพื่อหลบหนีจากพลังที่แข็งแกร่งนั่น
บัดนี้ร่างจ่านเฉินถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจรัส เขาเพียงยืนตรงนั้นก็มิอาจปิดบังปราณาาได้ จากนั้นเขาก้าวออกมาเล็กน้อย พร้อมแสงสีครามพวยพุ่งออกจากฝ่ามือ ก่อนจะปล่อยไปโจมตีเย่เฟิง
“ฝ่ามือน้ำแข็งคราม!” ขณะเดียวกันจ่านเฉินแผดเสียงะโ พลันฝ่ามือน้ำแข็งสีครามปรากฏตัวที่กลางอากาศก่อนจะพุ่งเข้าหาเย่เฟิง
ดวงตาของเย่เฟิงเผยประกายเย็นเยือก จ่านเฉินผู้นี้ร้ายกาจมาก เขาไม่เห็นด้วยที่จะแลกเปลี่ยนวิชากับอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับลงมือตรง ๆ โดยไม่บอกไม่กล่าว
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!”
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังฝ่ามือของจ่านเฉิน เย่เฟิงจะนิ่งดูดายได้อย่างไร จากนั้นเขาวาดฝ่ามือภูผาพิฆาตระดับสูงโจมตี หลังจากผสานกับพลังหอก พลังของฝ่ามือภูผาพิฆาตก็ทรงอานุภาพขึ้นหลายเท่า
“วูบ!” ขณะที่เย่เฟิงปล่อยพลังฝ่ามือภูผาพิฆาตโจมตี จู่ ๆ รังสีหอกปรากฏที่กลางอากาศ ก่อนจะเข้าปะทะกับน้ำแข็งพวกนั้น
“ปัง ๆ ๆ!” เสียงะเิดังต่อเนื่อง รังสีหอกทำลายน้ำแข็ง ก่อนพลังฝ่ามือของทั้งสองคนจะเข้าปะทะกัน
“ตูม!” เสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหว พลันคลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วอากาศ ด้วยการปะทะนี้ทำเย่เฟิงถอยหลังไปหลายก้าว ตัวสั่นสะท้าน ทั้งยังมีเืไหลออกที่มุมปาก
เขารู้สึกได้ถึงพลังอันแกร่งกล้าของจ่านเฉิน ศิษย์สายในแห่งสำนักชิงอวิ๋น ตบะแห่งขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 นี่ไม่ใช่คำโกหกหลอกลวงอย่างที่คิด แม้พลังโจมตีของเย่เฟิงจะหนักถึงแสนจิน แต่ก็ยังด้อยกว่าจ่านเฉิน ถึงอย่างไรช่องว่างระหว่างพวกเขาสองคนก็ยังห่างชั้นกันมากโข
“หนึ่งการโจมตีทำลายเ้าไม่ได้ เ้าควรจะภูมิใจนะ!” จ่านเฉินกล่าว จากนั้นพลังที่แกร่งกล้ากว่าเมื่อครู่ปะทุออกจากร่างเขา
“ผนึกน้ำแข็งคราม!” จ่านเฉินก้าวไปข้างหน้าต่อ พร้อมกับวาดฝ่ามือที่ทรงพลังกว่าเมื่อครู่เข้าโจมตีเย่เฟิง
