บทที่ 35 ศาสตร์ฝึกตนทั้งหก
สามวันต่อมาลู่อวี่ให้ลู่หงิและคนอื่นๆ อยู่ต่อที่เมืองเทียนตูเซียน เพื่อซื้อยาวิเศษแต่ละชนิดในงานประมูลต่างๆ เพิ่มขึ้นแทนเขา สำหรับเื่เงินก็ให้ไปเอาที่ลู่เหง่ยผิง เขาคาดการณ์ว่าอีกไม่นาน ราคาของยาวิเศษแต่ละชิดต้องเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงฉวยโอกาสในขณะที่ราคายังคงทรงตัว ซื้อมามากได้แค่ไหนก็ให้ซื้อมาแค่นั้น
ลู่อวี่นำตู้เสวียนเฉิงและลู่เสียงพร้อมกับคนอื่นๆ โดยสารอาวุธเวทย์รูปร่างคล้ายกระสวยเล็กๆ ลำหนึ่งออกจากเมืองเทียนตูเซียน และการเคลื่อนไหวนี้ก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในกองกำลังจำนวนมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็ได้แค่จับตาดูเท่านั้น
“สหายน้อย อย่างน้อยก็มีคนติดตามเรามามากกว่าสิบคลื่นลูกเล็กๆ ได้ เมื่อใดที่เราออกจากอาณาเขตของเมืองเทียนตูเซียน อาจมีแนวโน้มที่จะถูกคุกคามหรือถูกโจมตีได้! ตู้เสวียนเฉิงที่สวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋าสีน้ำตาลกล่าว”
ลู่อวี่พยักหน้ารับรู้ ถึงแม้ตู้เสวียนเฉิงจะเป็ยอดฝีมือของขั้นเกิดเทพเ้า แต่มีนักพรตจำนวนเหลือคานับที่เข้าออกเมืองเทียนตูเซียนเป็ว่าเล่น มันจึงยากที่จะแยกแยะที่มาและจุดประสงค์ของพวกเขาได้ ดังนั้นจึงแค่เอยถามไปว่า “เห็นคนของตระกูลเมิ่งและเขาหนิงชุยไหม?”
“ไม่มีนะ ไม่เพียงจะไม่มีคนของตระกูลเมิ่งและเขาหนิงชุย แม้แต่กองกำลังที่มีอำนาจกว่านี้ก็ไม่มี ทั้งหมดน่าจะเป็นักพรตสันโดษหรือตระกูลเล็กและกลางที่พึ่งพิงกองกำลังหลัก คงคิดอยากจะพิสูจน์ความจริงกับเราก่อน!”
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ลู่เสียงเพิ่มความเร็ว ข้าจะดูสิว่ามีใครคนไหนที่กล้าลงมือกับข้าและคิดจะมาฉวยโอกาสเอาเปรียบข้า มันต้องมีตรงไหนที่แตกต่างจากคนอื่นบางแหละ มิเช่นนั้นจู่ๆ จะมามีคนชี้นิ้วสั่งข้าตามใจชอบได้อย่างไร ถ้าเป็แบบนั้นตระกูลลู่คงได้ตกต่ำจริงๆ” ลู่อวี่พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
กระสวยสีเงินเดิมทีก็มีความรวดเร็วมาก แต่เมื่อเพิ่มความเร็วขึ้นอีกในเวลานี้ ทันใดนั้นก็ทิ้งระยะห่างกับคนที่ติดตามมาพวกนั้นออกไปไกลมาก และคนพวกนี้ก็เป็นักพรตสันโดษและคนจากตระกูลเล็ก และกลางตามที่ตู้เสวียนเฉิงกล่าวมาจริงๆ พวกเขาไม่ได้ความกล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับลู่อวี่ซึ่งหน้า แต่เมื่อใดที่มีโอกาสที่เหมาะสม พวกเขาจะดุร้ายและโเี้มากกว่าสัตว์ป่าอย่างแน่นอน ดังนั้นแม้ว่าลู่อวี่ในชาติก่อนเริ่มแรกมาก็เป็นักพรตสันโดษเช่นเดียวกันแต่กลับมีภาพจำต่อนักพรตสันโดษที่แย่มาก
แต่ทันใดนั้นกระสวยบินที่บินล่วงหน้าไปก่อนอย่างรวดเร็วก็หยุดลงกะทันหัน จากนั้นเสียงที่ใของลู่เสียงก็ดังตามมา “นายน้อย ที่นี่มีกับดัก มันคือค่ายกลกระบี่หนึ่ง สามารถจำแนกและตรวจจับจากพลังจิตได้”
ตู้เสวียนเฉิงฮึดฮัดไม่พอใจจะลงมือทำลายค่ายกล ถ้าด้วยพลังยุทธ์ที่เขามีแล้วมีความละเอียดรอบคอบกว่านี้ มีหรือจะไม่มีทางตรวจจับกับดักก่อนได้ แต่เพราะเขาสูญเสียทักษะพลังไปหลายร้อยปีและเพิ่งจะฟื้นฟูพลังกลับมาได้ไม่นาน และยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะปกติ ดังนั้นจึงตกหล่นไปบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลู่อวี่ยกมือขึ้นห้ามตู้เสียนเฉิงไว้ พร้อมกับหลับตาลงใช้พลังจิตเพ่งตรวจสอบดู จากนั้นก็ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “มันก็แค่ค่ายกลเทพมายาระดับหกอันหนึ่งเท่านั้น คิดเพ้อฝันจะมาจับพวกเราไว้งั้นเหรอ?” แม้ลู่อวี่จะไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านค่ายกลกระบี่อะไร แต่ชาติก่อนมีความรู้เชิงกว้าง นอกจากปรุงโอสถแล้ว ก็พอจะเข้าใจศาสตร์ฝึกตนทั้งหมดอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเวลาฝึกบำเพ็ญเพียรได้ ไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร แต่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร
ทันทีที่ร่างกายกะพริบถี่ ลู่อวี่ก็หายวับออกจากกระสวยและไปยืนนิ่งอยู่ในอากาศ จากนั้นก็ตั้งจิตกวาดสายตามองหาไปทั่วทันที ขอบเขตของจิตััขั้นพลังจิตนั้นมีรัศมีครอบคลุมกว่าหมื่นกิโลเมตร แต่ในเวลานี้จู่ๆ เขาก็ค้นพบว่าสามารถตรวจจับได้เพียงรัศมีสิบกิโลเมตรเท่านั้น ทำเห็นได้ว่าค่ายกลกระบี่มีความเร้นลับซ่อนอยู่ในตัวเอง
ค่ายกลเทพมายาไม่ใช่ค่ายกลกระบี่อะไรที่ทรงพลังและพบเห็นได้ยาก แต่อำพรางตัวเก่งมาก ไม่เพียงแต่สามารถสกัดกั้นการตรวจจับจากจิตััได้ แต่ภายใต้การรบกวนของภาพลวงตาก็ยากที่จะทะลวงผ่านไปได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจอตัวศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ ถ้าเกิดบุ่มบ่ามเข้าไป ภายใต้การโจมตีของภาพลวงตาก็จะทยอยถูกตีพ่ายไปทีละอย่าง เว้นแต่ว่ามีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบค่ายกลกระบี่อย่างลึกซึ้ง หรือมีพลังยุทธ์ที่สูงมาก ก็จะสามารถทำลายค่ายกลนั้นได้ทันที มิเช่นนั้นภายใต้ค่ายกลกระบี่ที่มีคนค่อยสั่งการอยู่ ยังจะมีคนกล้าบุ่มบ่ามเข้าไปในค่ายกลกระบี่อีกงั้นเหรอ ถ้าแบบนั้นก็เรียกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนแล้ว
“ผู้อ่อนาุโของตระกูลลู่ ข้าจะให้โอกาสเ้า มอบสูตรยาของยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวมา แล้วข้าจะจากไปทันที อีกทั้งยังสามารถคุ้มครองส่งเ้าไปได้่ระยะเวลาหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทำอันตรายเ้า ข้ามีความจริงใจ แต่หวังว่าเ้าจะรู้จักชั่วดี!” น้ำเสียงแหบพร่าแก่ชราหนึ่งดังมาจากทุกทิศทุกทางในเวลานี้ ฟังแค่เสียงจึงไม่อาจตัดสินทิศทางและตำแหน่งของบุคคลนี้ได้
“พวกนักย่องเบาที่ซ่อนหัวและโชว์แต่หาง ก็คู่ควรมาคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายต่อหน้าคุณชายอย่างข้าเหรอ? มันก็แค่ค่ายกลเทพมายาระดับหกหนึ่งเท่านั้น มาดูกันว่าข้าจะทำลายมันได้อย่างไร!” ลู่อวี่พูดจาถากถางพร้อมกับเยาะเย้ย
ในเวลานี้ตู้เสวียนเฉิงและลู่เสียงกับคนอื่นๆ ก็ตามเข้ามาด้วยเช่นกัน ตู้เสวียนเฉิงยืนอยู่ด้านหลังลู่อวี่ ในขณะที่ลู่เสียงสี่คนก็กวาดตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังตัว
ในเวลานี้ พื้นที่ภายในค่ายกลเทพมายา ดูเหมือนโลกที่มีแต่หมอกขาวโพลนกว้างใหญ่ ไม่มีความแตกต่างเลยระหว่างตะวันออก ตะวันตก เหนือ ใต้ บน ล่าง ซ้าย หรือขวา
ลู่อวี่ยกมือขึ้นแล้วชี้ขึ้นไปในอากาศ จากนั้นเปลวไฟสีน้ำเงินก็ทะยานพวยพุ่งบินออกไปแต่ไม่เร็วมาก แต่เมื่อเปลวไฟสีน้ำเงินเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เปลวไฟก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากลูกบอลเปลวไฟขนาดเท่ากำปั้นก็บางลงและยาวขึ้นในพริบตา และสุดท้ายก็กลายเป็โซ่ใสสีน้ำเงินที่ก่อตัวจากเปลวไฟสีน้ำเงินเหมือนกับิญญางู มีความหนาบางเท่าสองนิ้วและเหมือนของจริงมาก แต่มันค่อยๆ ยาวขึ้นเรื่อยๆ ตามความคิดของลู่อวี่ เลื้อยคดเคี้ยวสำรวจเข้าไปในหมอกหนาทึบนั้น
ตู้เสวียนเฉิงถึงกับตาเบิกกว้าง และแอบพยักหน้าเงียบๆ ประหลาดใจและคิดว่า นี่เป็ฝีมือที่ลึกล้ำของการเปลี่ยนความว่างเปล่าให้เป็ความจริง มันไม่เกี่ยวอะไรกับพลังยุทธ์ แต่ต้องมีความเข้าใจในลัทธิเต๋าในระดับที่สูงมากถึงจะเข้าใจ โดยปกติทั่วไปแล้ว คนที่สามารถใช้วิธีนี้ได้อย่างน้อยจะต้องมีพลังยุทธ์ถึงขั้นตงซวน และเป็ยอดฝีมือที่เริ่มเข้าใจความลี้ลับของ์และโลกอย่างลึกซึ้งมาก คิดไม่ถึงว่าลู่อวี่ที่เป็เพียงนักพรตขั้นพลังจิตคนหนึ่งจะฝีมือเช่นนี้ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เ้าเด็กหนุ่มนี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็เป็คนปรุงโอสถขั้นห้าแล้ว อีกทั้งยั้งควบคุมและความเข้าใจเกี่ยวกับเปลวไฟมาก ตอนนี้ยังใช้ “ไฟแท้หนิงคง”อีก สามารถเข้าถึงระดับนี้ได้ถึงแม้มันจะเกิดความคาดหมาย แต่ก็สมเหตุสมผลอยู่
ที่ใจกลางของค่ายกลเทพมายา ชายชราในชุดดำ ดวงตาเฉียบคมเหมือนนกอินทรี จมูกตะขอ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าจะตระหนักรู้อยู่ก่อนแล้วว่านายน้อยตระกูลลู่ไม่มีทางยอมแพ้ให้ง่ายๆ แต่สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะอยู่ใกล้กับเมืองเทียนตูเซียนมาก แต่ยังมีคนแบบเขาจำนวนมากที่แอบมองอยู่ใกล้ๆ หากตัวเองไม่สามารถแย่งชิงของมาไว้ในมือได้อย่างรวดเร็วฉับไว แค่ล่าช้าไปเพียงเล็กน้อย ผลสุดท้ายคือตัวเองทำแทนคนอื่นลำบากเสียเปล่า คงได้อับอายขายขี้หน้าจริงๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกใจร้ายและโเี้ขึ้นมาทันที เดิมทีเขาไม่อยากมองหน้ากับตระกูลลู่ไม่ติด แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของเขาจะไม่อ่อนแอ แต่เขาก็ต้องรับแรงกดดันอย่างมากในการเป็ศัตรูกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลู่ หากไม่มีกำลังและฝีมือ การต่อสู้กับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลู่ก็เหมือนกับหาเื่ตาย แม้ว่านายน้อยของตระกูลลู่จะมีพลังยุทธ์ที่ไม่สูงนัก แต่ชายชราที่อยู่ข้างหลังเขาคนนั้นแม้แต่เขายังเดาไม่ออก และรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดจึงไม่มีทางเลือกอื่นคงต้องลงมืออย่างไร้ปรานีเสียแล้ว
แค่แย่งชิงยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวมาไว้ในมือได้ แล้วตัวเองก็แค่หนีไปให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็พอ
เวลานี้ โซ่ใสสีน้ำเงินของลู่อวี่ได้ยื่นขยายเข้าไปในหมอกหนา โดยยึดคนไม่กี่คนนี้เป็ศูนย์กลางแล้วยื่นขยายเข้าโอบรัดไว้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าชายชราในชุดดำคนนั้นก็รู้ตัวเหมือนกัน แต่กลับไม่ใส่ใจเลย ก็แค่พลังวิเศษที่มดขั้นพลังจิตตัวหนึ่งใช้ต่อให้มันจะลึกลับแค่ไหนแล้วมันจะทรงพลังขนาดไหนกันเชียว?
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว ชายชราชุดดำก็รีบหยิบธงรูปขบวนสีดำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกำไลข้อมือลับของเขาทันที แสงสีดำส่องประกายบนธงตามมาด้วยเสียงลมโหยหวนที่ดังแ่เบาเข้ามา นี่คืออาวุธเวทย์ระดับหกชิ้นหนึ่งของข้า “ธงนรกหยินเฟิง” เมื่อใช้ร่วมกับค่ายกลเทพมายาของเขา ลมมืดที่โชยมาจากนรกที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็พัดโหมเข้ามา หากไม่ทันระวังตัว ตายไปทุกอย่างที่ฝึกฝนมาก็จะมลายหายไป เพราะมันมีพลังที่มหาศาลมาก
หากชายชราในชุดสีน้ำตาลไม่ได้คุกคามเขามากเกินไป เขาคงไม่คิดที่จะหยิบอาวุธนี้ออกมาใช้ ก็คงใช้แค่กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ จัดการเขาได้ง่ายๆ แล้ว?
ในเวลานี้ ชายชราในชุดดำก็สั่งการ “ธงนรกหยินเฟิง” และปล่อยลมมืดสีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุดพัดเข้าไปในค่ายกลอย่างแ่เบา ดูเหมือนไม่มีพลังใดๆ แต่เมื่อถูกลมพัดโดน คนที่มีพลังยุทธ์ต่ำก็จะถูกแช่แข็งเป็มนุษย์น้ำแข็งทันทีด้วยพลังลี้ลับของความมืดในลมมืดที่โชยมาจากนรกหากระดับพลังยุทธ์ยิ่งสูงสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีกเพราะลมมืดที่โชยมาจากนรกมาจากอากาศเย็นที่เป็พิษในสถานที่ที่อยู่ลึกลงไปใต้โลก สามารถกัดกร่อนพลังชีวิตได้ดีที่สุด เมื่อใดที่มันถูกเป่าโดนตัว แม้ว่าจะต้านทานพลังหยินที่หนาวเย็นในตัวมันได้ แต่ก็ไม่สามารถทนต่อพลังกัดกร่อนอย่างไม่ขาดสายนั้นได้
ในไม่ช้าโซ่ใสสีน้ำเงินของลู่อวี่ก็ัักับลมมืดที่โชยมาจากนรกที่พัดเข้ามา ทั้งสองต่างก็มีคุณสมบัติพลังลี้ลับ แต่ไฟหนิงคงของลู่อวี่เกิดจากพลังหยางที่อยู่ในหยินก่อตัวเป็ไฟ ลมมืดที่โชยมาจากนรกกลับเกิดจากพลังลี้ลับที่ก่อตัวเป็ไฟ ถ้าพิจารณากันแล้ว ในแง่ของความเหนือกว่า ไฟแท้หนิงคงของลู่อวี่ก็เหนือกว่าอยู่แล้ว แต่เพราะระดับพลังยุทธ์ของเขาต่ำเกินไป ดังนั้นไฟแท้หนิงคงที่ฝึกฝนมา เทียบกับไฟแท้หนิงคงที่เกิดจากธรรมชาติก็อ่อนกำลังกว่ามากไม่รู้เท่าไร แม้ลมมืดที่โชยมาจากนรกของชายชราในชุดดำจะไม่มีอุปสรรคในด้านพลังยุทธ์ แต่มันก็กระจัดกระจายมาก ดังนั้นทันทีที่ทั้งสองเข้ามาปะทะกัน จึงมีกำลังพอๆกัน
ลมมืดที่โชยมาจากนรกไม่สามารถพัดให้โซ่ใสสีน้ำเงินของลู่อวี่ขยับได้ และไฟแท้หนิงคงบนโซ่ใสก็ทำอะไรลมมืดที่โชยมาจากนรกไม่ได้เช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน อาศัยแค่การขับเคลื่อนของพลังปราณที่เชื่อมต่อกัน ลู่อวี่และชายชราชุดดำคนนั้นก็ค้นพบวิธีการของแต่ละฝ่าย แต่ชายชราในชุดดำกลับหัวเราะเยาะ เขาไม่จำเป็ต้องทำลายโซ่ใสสีน้ำเงินแปลกประหลาดนี้ แค่ลมมืดที่โชยมาจากนรกพัดเข้ามาโดนตัวคนพวกนี้ ต่อให้เป็ต้าหลัวจินเซียนก็ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ไม่ได้
ทำให้ลู่อวี่จึงต้องปรับเปลี่ยนเคล็ดวิชาเพื่อรับการโจมตี ในเมื่อโซ่ใสก็ไม่สามารถหยุดยั้งลมมืดที่โชยมาจากนรกที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามา
โซ่ใสสีน้ำเงินของลู่อวี่ เป็วิธีที่เขามักใช้ในชาติก่อน ชื่อว่า “โซ่เมฆาอัคคี” มันเป็เพียงการใช้กระบวนท่า “ฉานฝ่า” ใน “วิชาทดแทนสิบสอง” ที่เขาสร้างขึ้นเองเท่านั้น เดิมทีมันเป็วิธีหนึ่งที่ใช้ควบคุมพลังปราณในเตาหลอมยาเวลากลั่นยาอายุวัฒนะ แต่ต่อมาบังเอิญพบเห็นในระหว่างการต่อสู้ และนึกไม่ถึงว่ามันจะมีพลังที่น่าอัศจรรย์พอๆ กัน ดังนั้นถึงได้ศึกษามันอย่างละเอียด และภายหลังจึงสร้างคาถาระดับสูงขึ้นจากพื้นฐานนี้ ซึ่งนำมาใช้กลั่นยาอายุวัฒนะได้ และในขณะเดียวกันมันก็เป็เคล็ดวิชาลับที่จวนเจียนจะมีพลังวิเศษอีกด้วย
การใช้วิธีนี้ไม่เพียงแต่ไฟแท้หนิงคงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังปราณระดับสูงที่เขาเชี่ยวชาญอยู่ ก็สามารถใช้เพื่อเปลี่ยนความว่างเปล่าให้กลายเป็ความจริงได้ แม้ว่าจะไม่ใช่พลังวิเศษแต่พลังของมันก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพลังวิเศษเลยอีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้มาก แปลกประหลาดและคาดเดาได้ยาก มีเพียงแต่พลังยุทธ์ในตอนนี้ของเขาที่ต่ำเกินไป เวลาจะนำออกมาใช้จึงค่อนข้างจะกินแรงไปหน่อย ทำให้ไม่มีความราบรื่นและใช้ได้เต็มกำลัง
เวลานี้เมื่อััได้ถึงการโจมตีของคู่ต่อสู้ผ่านโซ่ใส จึงเปลี่ยนวิธีประสานนิ้วร่ายคาถาทันที ไม่ยื่นขยายความยาวของโซ่เมฆาอัคคีอีกแต่ะโออกมาเบา ๆเพียงแต่ะโออกมาว่า “เจิ้น ฟ้าดินเยือกเย็น” และยังคงใช้กระบวนท่า “เจิ้นฝ่า” หนึ่งในวิชาทดแทนสิบสองอยู่