“เซี่ยอวิ้น” เสิ่นเยี่ยนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเ็า มือของเขาที่วางอยู่บนเข่าค่อยๆ กำแน่นขึ้น
“ใช่เ้าค่ะ เป็เขา ท่านพี่ แม่ทัพใหญ่เซี่ยคนนี้เก่งกาจมากหรือเ้าคะ?” กู้เจิงเอนศีรษะพิงไหล่สามี
เสิ่นเยี่ยนก้มหน้าลงมองภรรยาที่เอนกายพิงเขาเงียบๆ
เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบว่า “เก่งกาจมาก เขาเป็น้องชายร่วมสาบานของฮ่องเต้ และเป็กงเจวี๋ยที่อายุน้อยที่สุดในต้าเยว่ อายุแค่เพียงสิบหกปีเขาก็กลายเป็แม่ทัพ หลังจากนั้นก็พาทหารหนึ่งหมื่นนายเข้าปกป้องฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นยังเป็แค่องค์รัชทายาท เขาและองค์รัชทายาทได้ฝ่าวงล้อมและเข้าช่วยฮ่องเต้องค์ก่อนที่ถูกกักบริเวณเอาไว้ในวัง เมื่อจบเื่องค์รัชทายาทจึงเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ และก็ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์กงเจวี๋ยให้แม่ทัพเซี่ยพร้อมแต่งตั้งให้เขาเป็แม่ทัพใหญ่”
กู้เจิงฟังพร้อมคิดภาพตามอย่างตื่นเต้น เซี่ยกงเจวี๋ยคนนี้มีประวัติความเป็มาแบบนี้นี่เอง และเขายังเป็ถึงน้องชายร่วมสาบานของฮ่องเต้อีก บนโลกนี้คนที่ได้เป็พี่น้องร่วมสาบานกับฮ่องเต้ก็คงมีแค่เขาคนเดียวแล้วกระมัง
“เขาเป็ถึงกงเจวี๋ย แล้วทำไมยังต้องไปเฝ้าที่ชายแดนด้วยล่ะเ้าคะ? ต้าเยว่ของพวกเรา ไม่มีแม้แต่แม่ทัพที่สามารถเฝ้าชายแดนได้หรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามอย่างแปลกใจ แม้ชายแดนจะสำคัญ แต่คงไม่ถึงกับต้องให้แม่ทัพที่เก่งกาจเช่นนี้ไปประจำการหรอกกระมัง
เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาที่ทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น “เ้าอยากรู้มากหรือ?”
“อยากสิเ้าคะ” กู้เจิงตอบคำถามสามี
“เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาราษฎร์ เพื่อ...” เสิ่นเยี่ยนชะงัก ก่อนกล่าวต่อ “เพื่ออิสตรี”
กู้เจิงมองสามีอย่างไม่พอใจ “ท่านพูดเหลวไหลอะไรกัน?” บุรุษผู้ควรค่าแก่การยกย่องเช่นนี้น่ะหรือจะทำเพื่ออิสตรี
“เขาไปประจำอยู่ที่ชายแดนก็เพื่อสตรีคนหนึ่ง"
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ เสิ่นเยี่ยนไม่ใช่คนที่จะมาพูดล้อเล่นในเื่แบบนี้ งั้นแม่ทัพใหญ่เซี่ยไปประจำที่ชายแดนก็เพื่อสตรีคนหนึ่งจริงๆ งั้นหรือ?
“สตรีแบบไหนกันที่ทำให้บุรุษจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างท่านแม่ทัพหลงใหลเช่นนี้?” กู้เจิงพึมพำอย่างแปลกใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น ทั้งสองสามีภรรยาก็ตรงเข้าห้องนอน
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศหนาวเย็นขึ้นกว่าเมื่อวานมาก
น้อยครั้งนักที่กู้เจิงจะตื่นพร้อมสามี เมื่อก่อนนางรู้สึกแปลกใจอยู่ตลอดว่าเสิ่นเยี่ยนตื่นมาทำอะไรแต่เช้าทุกวัน ต่อมาถึงได้พบว่าเขามีนิสัยติดอ่านหนังสือยามรุ่งเช้า
เช้าวันนี้นางก็หลับสนิทจนกระทั่งชุนหงมาเรียก หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ นายหญิงเสิ่นก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว เป็ข้าวต้มกินคู่กับซาลาเปาผักดอง และยังมีไข่ทอดกุยช่ายด้วย กลิ่นหอมของกุยช่ายตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องครัว
“ท่านพ่อจะออกไปจับกุ้งั้แ่เช้าตรู่เลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามพ่อสามี เพราะเห็นเขากำลังจัดเตรียมอุปกรณ์จับกุ้ง
“กุ้งที่เลี้ยงในบ้านกินกันแทบจะหมดแล้ว ท่านแม่ของเ้าเลยให้ข้าไปจับมาเพิ่มน่ะ” นายท่านเสิ่นตอบ
นายหญิงเสิ่นแบ่งซาลาเปาให้ทุกคนพลางพูดว่า “ก็ท่านกับชุนหงชอบกินซุปหัวไชเท้าใส่กุ้งไม่ใช่หรือ?”
“น้ำซุปนั่นอร่อยมากเ้าค่ะ” ชุนหงพูดขึ้นบ้าง
“หลายวันมานี้น้ำในแม่น้ำยังไม่แข็งตัว น่าจะยังจับกุ้งได้เยอะ คงพอให้พวกเ้าได้กินซุปนี้จนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเลยล่ะ” นายหญิงกล่าวยิ้มๆ
กู้เจิงก็ชอบกินน้ำซุปนั่น ยิ่งเวลาที่ใส่น้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย และโรยต้นหอมเพิ่มอีกสักหน่อย จะอร่อยยิ่งนัก
“จริงสิ” นายหญิงเสิ่นหันมาพูดกับสามี “ท่านไปเอาของขวัญที่เราจะมอบให้คุณหนูสามมาให้อาเจิงไว้สิจะได้ไม่ลืม”
“ได้สิ” นายท่านเสิ่นรีบออกจากห้องครัวไปหยิบของ
“ท่านพ่อท่านแม่ก็เตรียมของขวัญแต่งงานให้น้องสามด้วยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามด้วยความแปลกใจ
“แน่นอนสิ ถ้าพวกเราไม่ส่งของขวัญไป เ้าก็จะถูกคนอื่นดูถูกได้” นายหญิงเสิ่นตอบ “เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมอบอะไรให้ดี จึงทำชุดให้คุณหนูสาม คิดว่าน่าจะเอาไปใช้ได้”
นายท่านเสิ่นเอาของขวัญที่จะมอบให้คุณหนูสามเข้ามาพอดี โดยมีเสิ่นเยี่ยนเดินตามเข้ามาด้วย
“เสื้อผ้าชุดนี้ ท่านแม่ใช้เวลาหลายวันในการปักด้วยตัวเองแล้วค่อยให้น้าเฝิงเป็คนทำต่อ เพิ่งทำเสร็จเมื่อวานนี้เอง” เสิ่นเยี่ยนบอกกล่าวให้กู้เจิงรับรู้
พอเห็นชุด กู้เจิงก็ถึงกับอุทานอย่างตกตะลึง “นี่คือวิธีการปักผ้าแบบไหนกัน ทั้งด้านนอกและด้านในล้วนมีลายปัก อีกทั้งยังเป็คนละลายกันอีก”
กู้เจิงก็เป็คนถนัดงานเย็บปักถักร้อย แต่งานเย็บแบบนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน
“นี่เป็ชุดที่ท่านแม่ของเ้าทำด้วยตัวเอง นางปักอยู่หลายคืนเลยทีเดียว” นายท่านเสิ่นบอกเล่าให้กู้เจิงฟัง
นายหญิงเสิ่นยิ้มรับบางๆ “ไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือยังใช้ได้หรือเปล่า หวังว่าคุณหนูสามจะชอบนะ”
“น้องสามต้องชอบแน่เ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่เ้าค่ะ” กู้เจิงรีบตอบแม่สามี
สองสามีภรรยาเสิ่นมองหน้ากันแล้วยิ้ม นายหญิงเสิ่นกล่าวอีกว่า “พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน มีอะไรต้องขอบคุณกัน”
เมื่อรถม้าของตระกูลเสิ่นมาถึงหน้าจวนสกุลกู้ ก็ได้ยินเสียงร้องเล่นเต้นรำดังออกมาจากด้านใน บ่าวรับใช้ที่มายืนต้อนรับอยู่หน้าประตูใหญ่มีเพิ่มมากกว่าแต่ก่อนถึงสี่ห้าคน
หลังจากกู้เจิงเข้ามาในจวนแล้ว นางก็ขอตัวไปอยู่เป็เพื่อนกู้อิ๋ง ส่วนเสิ่นเยี่ยนก็แยกไปยืนต้อนรับแขกอยู่กับบิดาของนางและกู้เจิ้งชิน
เว่ยซื่อเข้ามาดูแลความเรียบร้อยในห้องของบุตรสาวั้แ่เช้าตรู่ พอนางเห็นบุตรสาวสวมชุดแต่งงาน และคิดว่าบุตรสาวจะต้องออกเรือนไปแล้ว นางก็รู้สึกใจหายเล็กน้อย
ตอนที่กู้เจิงเข้าไป ก็เห็นนายหญิงกำลังซับน้ำตาอย่างอาลัยอาวรณ์ กู้อิ๋งกับกู้เหยาก็มีสีหน้าเศร้าโศก
“คุณหนูใหญ่มาแล้วเ้าค่ะ” แม่เฒ่าซุนเห็นกู้เจิงก็รีบเข้าไปทำความเคารพ
“ท่านแม่” กู้เจิงคารวะเว่ยซื่อ นางรีบมอบของขวัญของพ่อแม่สามีให้กู้อิ๋ง และได้อธิบายถึงวิธีการปักชุดนี้อย่างละเอียด
เว่ยซื่อเมื่อได้ยินว่าเป็การปักลายผ้าทั้งสองด้าน สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางรีบหยิบชุดออกมาดู
กู้เหยาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก นางเพียงแต่รู้สึกว่าชุดนี้ทำออกมาประณีตกว่าเสื้อผ้าทั่วไปมาก “ทำไมถึงมีรอยด่างมากมายขนาดนี้เล่าเ้าคะ?”
รอยด่าง? กู้เจิงรีบกวาดสายมอง ตรงปลายกระโปรงที่เป็ลายช่อดอกโบตั๋นดูมีรอยด่างๆ จริงดังที่กู้เหยาว่า หากไม่ใช่เพราะกู้เหยาเอ่ยทักคงมองไม่ออกง่ายๆ
“แม่สามีของเ้าใช้ใจทำแล้ว เสื้อผ้าแบบนี้ใช่ว่าจะหาซื้อกันได้ คิดไม่ถึงว่าแม่สามีของอาเจิงจะมีฝีมือเช่นนี้” เว่ยซื่อจ้องมองลายปักและลายดอกโบตั๋นบนกระโปรง ดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจ “ชุดนี้แม้จะดูธรรมดาไม่หรูหรา แต่รอให้อิงเอ๋อร์ใส่เมื่อไหร่ ทุกคนก็จะรู้ข้อดีของมันเอง”
กู้เจิงไม่เข้าใจสิ่งที่เว่ยซื่อกล่าวนัก แต่เมื่อเห็นว่าของขวัญของแม่สามีนางดูท่าว่าจะถูกใจผู้รับ นางก็สบายใจ
ในตอนเที่ยง เว่ยซื่อได้ออกไปต้อนรับแขก แม่เฒ่าซุนก็ออกไปช่วยด้วย ในห้องจึงเหลือแค่สามพี่น้องที่คุยกัน
“พี่ใหญ่กินข้าวกลางวันเสร็จ ก็จะตรงไปที่จวนตวนอ๋องเลยหรือเ้าคะ?” กู้อิ๋งถามขึ้น
“ใช่แล้ว” กู้เจิ้งชินกับกู้เหยานั้นไปเพื่อส่งตัวเ้าสาว แต่นางไปเป็แขก
กู้อิ๋งพยักหน้า นางคว้าจับมือกู้เจิงและกู้เหยา ตอนนี้ขอบตาของนางแดงระเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ นางไม่อยากแยกจากกู้เหยาและคนอื่นๆ ในครอบครัว ตอนนี้พอถึงเวลาต้องแต่งงานออกไปจากบ้านจริงๆ นางก็เกิดอาการใจหายอยู่บ้าง