“ข้าได้ยินอาจารย์จ้าวบอกว่า พักนี้เ้าไม่ค่อยได้หลอมยา เกิดอะไรขึ้นรึ?”
ขงเหวินมองเขาสีหน้าเรียบ และสายตาหยุดอยู่ที่ขาขวาของเขา เห็นเขาเดินด้วยท่าทางปกติ จึงไม่ได้เอ่ยถาม หากแต่ใส่ใจเื่การหลอมยามากกว่า ด้วยความเป็อาจารย์จึงถือเป็เื่ปกติ
โหยวเสี่ยวโม่เตรียมใจมาแล้ว เพราะยาเซียนตันที่เขาหลอมได้ในเดือนนี้เทียบกับเดือนก่อนแล้วน้อยกว่ามาก ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
อย่าว่าแต่อาจารย์จ้าวที่แปลกใจเลย อาจารย์ขงเหวินก็ต้องสงสัยแน่นอน อีกอย่างขงเหวินรับเขาเป็ศิษย์ก็อาจเพราะด้วยเื่นี้
เมื่อถูกถาม โหยวเสี่ยวโม่ที่ได้คาดการณ์ไว้แล้วจึงตอบอย่างสุภาพว่า “อาจารย์ ่ก่อนศิษย์หลอมยาโหมหนักเกินไป หลังจากนั้นแม้ใจอยากหลอมแต่ร่างกายไม่เอื้อ ศิษย์เกรงว่าถ้าเป็แบบนี้ต่อไป ร่างกายจะรับไม่ไหว เลยตัดสินใจพักก่อน”
ในแต่ละวันหลอมยาเกินกว่าร้อยเม็ดถือว่าผิดปกติมากแล้ว ฉะนั้นการหลอมยาน้อยลง จึงใช้เป็ข้ออ้างได้
ขงเหวินไม่ได้กังขาอะไร พยักหน้าแล้วเอ่ย “การหลอมยานั้นว่าด้วยการทำอย่างตั้งมั่นสุขุม อีกหน่อยจงจำไว้”
“ศิษย์น้อมรับคำสอนของอาจารย์!” โหยวเสี่ยวโม่ตอบรับอย่างเคารพ
ขงเหวินพยักหน้าพอใจ แล้วให้เขานั่งเก้าอี้แถวหลังสุด นี่เป็การจัดตำแหน่งตามความาุโ ่เวลาที่โหยวเสี่ยวโม่เข้าสำนักสั้นที่สุด ทั้งยังเป็ศิษย์น้องเล็ก ถัดจากเขาล้วนเป็ศิษย์พี่ทั้งนั้น นั่งหลังสุดก็เป็เื่ปกติ
ผ่านไปไม่นาน ฝูจื่นหลินก็ปรากฏตัว
แม้จะพูดว่าการให้อาจารย์และทุกคนรอเขาเพียงคนเดียวดูให้ความสำคัญไปหน่อย แต่ทุกคนเข้าใจนิสัยเขาจึงไม่ได้พูดอะไร กลับกันสีหน้าดูปกติมาก รวมถึงคนที่พูดมากอย่างจ้าวต๋าตันด้วย
ทว่าฝูจื่นหลินมีความสามารถพอให้ทุกคนรอเขาได้ ไม่พูดถึงการเป็นักหลอมโอสถขั้นสี่ แต่กลับมาจากลงเขาครั้งนี้เขายังได้ของดีกลับมาฝากอาจารย์ด้วย
โหยวเสี่ยวโม่มองออกไปตรงประตูเห็นเงาร่างคนก้าวข้ามคันประตูเข้ามา ความรู้สึกแรกที่ััคือเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
ฝูจื่นหลินดูสง่าองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาราวถูกแกะสลัก เส้นคิ้วเรียงตัวสวย จมูกโด่งเป็สัน ผิดจากที่เขาจินตนาการไว้ ตอนแรกเดาว่าจะเป็ชายหนุ่มหน้าสวย ไม่คิดเลยว่าจะเป็ชายชาตรีเช่นนี้ อีกทั้งยังเหมือนกับหุ่นยนต์มนุษย์เ็า
คนแบบนี้ยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่ ไม่มีใครคิดแน่ว่าเขาจะอ่อนกว่าศิษย์พี่ใหญ่ถึงสองปี
โหยวเสี่ยวโม่สังเกตฝูจื่นหลินเดินเข้ามาสายตาก็มุ่งไปเพียงทางอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ ทั้งยังหาได้ใส่ใจศิษย์น้องคนอื่นที่อยู่บริเวณนั้น
“อาจารย์ ศิษย์กลับมาแล้ว!” ฝูจื่นหลินกุมมือคำนับ เอ่ยน้ำเสียงเย็นเยือก
ขงเหวินหาได้ตำหนิเื่ที่เขามาสาย เพราะว่าศิษย์รองผู้นี้ไม่เคยมาสายโดยไร้เหตุผลเว้นแต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น จึงให้เขานั่งลง
เมื่อคนครบหมดแล้ว จ้าวเจินที่อยู่ข้างกันพยักหน้าส่งสัญญาณให้ขงเหวิน
“ครั้งนี้ที่เรียกพวกเ้ามารวมกันนั้นเพราะมีเื่สำคัญจะแจ้งให้ทราบ คิดว่าพวกเ้าคงได้ยินกันมาบ้าง แขนงการต่อสู้จะมีการจัดประลองประจำปีขึ้น แม้จะแค่การประลองแลกเปลี่ยนเชิงความรู้ แต่ก็เป็เื่น่ายินดีของสำนักเทียนซิน ฉะนั้นท่านเ้าสำนักให้ความสนใจกับเื่นี้มาก ปีก่อนคนที่ไปมีเฉินเล่อ อู่เยี่ยนและเหมาชัน ปีนี้พวกเ้าปรึกษากันว่าจะส่งใครไป”
เมื่อจบประโยค โหยวเสี่ยวโม่หน้าชาทันใด
การประลองเชิงแลกเปลี่ยน? ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ฟังดูแล้วน่าจะยิ่งใหญ่ คงเก็บตัวนานเกินไปจนตกข่าว
ทว่าโหยวเสี่ยวโม่ยังคงไม่คลายความสงสัย การประลองของแขนงการต่อสู้เกี่ยวอะไรกับแขนงโอสถ ถึงต้องส่งคนไปด้วย
เมื่อศิษย์ไม่ออกเสียง ขงเหวินจึงเอ่ย “พวกเ้าคงรู้เกี่ยวกับการพบเจุ์ปีศาจที่เมืองเหอผิง แม้เราจะไม่เจุ์ปีศาจปะปนอยู่ในสำนักเทียนซิน แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มี ไม่กี่วันก่อนข้าได้ถกเื่พวกนี้กับเหล่าผู้าุโและเ้าสำนักแล้ว ไม่ว่ายังไง ทัพพิภพต้องมีคนคอยดูแลควบคุมสองคน สำหรับการประลองของแขนงการต่อสู้ปีนี้ พวกเ้าพาคนไปเยอะหน่อย ถึงเวลาให้อาจารย์จ้าวนำกลุ่มไป”
“อาจารย์ ครั้งนี้ให้ศิษย์ไปด้วยดีกว่า” ฟางเฉินเล่อลุกขึ้นเอ่ยอย่างเคารพ
“ก็ดี เ้าเลือกอีกสามคนไปกับเ้า” ขงเหวินไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ย แม้ปีก่อนเขาจะเคยไปแล้ว หากมีศิษย์คนโตไปด้วย ตัวอาจารย์เองก็วางใจยิ่งขึ้น
ฟางเฉินเล่อมีศักดิ์เป็ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เพียงแต่าุโกว่า ทั้งยังมีความเป็ผู้นำ ที่สำคัญเป็คนใส่ใจในรายละเอียด สุขุมเมื่อเจอปัญหา หากเกิดสถานการณ์ฉุกละหุกอะไรขึ้น ถ้ามีเขาอยู่ก็คงรับมือได้ดีกว่า ในบรรดาศิษย์ทั้งเจ็ด ขงเหวินไว้วางใจเขามากที่สุด
ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นไม่ออกความเห็น เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของฟางเฉินเล่อกับทุกคนนั้นดีแค่ไหน
“ศิษย์น้องฝูปีที่แล้วกับปีก่อนหน้าเลี่ยงมาสองครั้ง ครั้งนี้จะหนีไม่ได้อีกแล้วนะ” ฟางเฉินเล่อเอ่ยอย่างขำขันและหันไปมองฝูจื่นหลินที่ยืนเงียบกริบ
ขงเหวินหัวเราะพร้อมพยักหน้า “จริงด้วย ครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่เ้าเจาะจงเอง จื่อหลินครั้งนี้เ้าจะหาข้ออ้างอีกไม่ได้นะ”
ฟางเฉินเล่อรู้ดีว่าอาจารย์ไม่คัดค้าน จึงกล่าวต่อ “ศิษย์น้องสามกับศิษย์น้องหก ปีที่แล้วพึ่งไปมา ปีนี้ก็เอาไว้ก่อน ฉะนั้นคนที่สองคือศิษย์น้องหนานกง ผู้หญิงจะละเอียดอ่อนกว่า สำหรับคนสุดท้าย…ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ เ้าแล้วกัน จะเก็บตัวบ่อยๆ ก็ไม่ดี ถึงเวลาอันควรแล้วที่จะออกไปดูโลกข้างนอกบ้าง”
โหยวเสี่ยวโม่ที่ถูกขานชื่อถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองปะทะกับสายตายิ้มกริ่มของศิษย์พี่ใหญ่
เขาคิดว่าเขาคงไม่มีส่วนร่วมในครั้งนี้แน่นอน เพราะเขาเองก็พึ่งจะเข้าร่วมสำนักไม่ถึงสองเดือน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเองก็ไม่ได้ไปปีก่อน” จ้าวต๋าตันที่ยืนถัดจากเหมาชันเอ่ยอย่างน้อยใจ เขานึกว่าคราวนี้ขานชื่อต้องมีชื่อเขาแน่นอน ใครจะคิดว่าท้ายสุดกลับเป็โหยวเสี่ยวโม่ คนที่เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ถ้าพูดถึงคุณสมบัติเขาแทบไม่มีหวังเลย
ฟางเฉินเล่อรู้ว่าเขาจะค้าน จึงพลันอธิบาย “ศิษย์น้องห้า เ้าอยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุขั้น สมควรที่จะตั้งใจฝึกฝน”
จ้าวต๋าตันอ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นบน ผู้เป็พ่อก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ชัดเจนว่าเห็นด้วยกับศิษย์พี่ใหญ่ แต่ก็หมดหวัง เขาคิดว่าครั้งนี้เขาต้องได้ไปแน่นอน ทว่าโอกาสหายวับไปกลางอากาศ
โหยวเสี่ยวโม่ที่นั่งอยู่แถวหลังสุดอ้าปากงึมงำ เมื่อเห็นศิษย์พี่จ้าวค้าน กำลังจะยกสิทธิ์นั้นให้เขา แต่โดนศิษย์พี่ใหญ่ชี้แจงเหตุผลเสียก่อน
เขาไม่รู้ว่าการไปแขนงการต่อสู้นั้นมีผลดีอะไร รู้แต่ว่าควรฝึกฝนการหลอมยาเพื่อเลื่อนขั้นสำคัญกว่า คิดแบบนี้จะได้ไม่เป็คนใจร้าย
“งั้นก็ตกลงตามนี้ ออกเดินทางวันมะรืน พวกเ้าอย่าลืมเตรียมตัว”
เมื่อจบธุระ ขงเหวินก็สั่งให้ทุกคนแยกย้าย
อาจารย์จ้าวเดินไปหน้าลูกชายพร้อมลูบหัวปลอบใจ เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าลูกชายคิดอะไรอยู่ เพียงแค่อยากไปครื้นเครงกับบรรยากาศ คลุกคลีกับแก๊งนักฝึกตน สู้ตั้งใจหลอมยาดีกว่า ฉะนั้นจึงไม่ได้คัดค้าน
ขณะเดินออกจากโถงประชุมอย่างใจลอย จู่ๆ โหยวเสี่ยวโม่ก็ร้องอ้า ฟางเฉินเล่อกับฝูจื่อหลินที่อยู่ด้านหน้าหันมามองทันใด อีกคนงฉงน อีกคนขมวดคิ้ว
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ทันสะกิดใจ เขาจมอยู่กับความคิดเื่เมื่อครู่นี้ ถ้าไปแขนงการต่อสู้ นั่นก็หมายความว่าเขาต้องไปเจอเ้าหลิงเซียวบ้านั่นอีกน่ะสิ นี่มันช่างน่าสยดสยอง
“ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ เกิดอะไรขึ้น?” ฟางเฉินเล่อเดินมาถามอย่างห่วงใย
โหยวเสี่ยวโม่แหงนหน้ามองเห็นฝูจื่อหลินที่อยู่หลังฟางเฉินเล่อ เขามองด้วยสายตาขึงขังปนรำคาญครู่หนึ่ง สะดุ้งเล็กน้อยพลันรีบหันไปทางศิษย์พี่ใหญ่
“ศิษย์พี่ใหญ่ ครั้งนี้เราไปแขนงการต่อสู้ประมาณกี่วัน?” เมื่อศิษย์พี่ใหญ่อยู่ตรงหน้า ก็ถามให้หายข้องใจไปเลยดีกว่า
“ถ้าราบรื่นละก็แค่ห้าวัน” ฟางเฉินเล่อขำ เขาลืมไปเลยว่าศิษย์น้องผู้นี้น่าจะยังไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย
“งั้นหากว่าไม่ราบรื่นล่ะขอรับ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามต่อ ห้าวันเขายังรู้สึกว่านานเกินไป ถ้าไม่ราบรื่นคงไม่ลากยาวกว่าเดิมมากนักใช่มั้ย?
“เื่นี้พูดยาก ทว่าเ้าไม่ต้องห่วง มากสุดคงไม่เกินสิบวัน เพราะแขนงโอสถก็มีกิจของตัวเอง อยู่นานไม่ได้” ฟางเฉินเล่อรู้สึกว่าศิษย์น้องยิ่งดูยิ่งน่ารักน่าเอ็นดู คิดอะไรก็พูดออกมา จึงยื่นมือไปลูบหัวเบาๆ
ลูบจนโหยวเสี่ยวโม่เอ๋อไปชั่วครู่ จนคนจากไปแล้วถึงรู้สึกตัว เหมือนตัวเขาเป็เด็กอย่างไรอย่างนั้น
พอกลับไป เขาเริ่มสืบถามข้อมูลเื่การประลองนี้
หากว่าเป็โหยวเสี่ยวโม่คนเดือนก่อนหน้านี้ คงไม่มีใครแยแสเป็แน่ แต่พอเป็ศิษย์ขงเหวินแล้ว คนประจบเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ใช่่ก่อนที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องชอบคุยจ้อทั้งหลายคงมาบอกเขาแล้ว
การประลองเชิงแลกเปลี่ยนที่ว่ากันนี้ ความจริงเป็การจัดประลองที่ปลุกกำลังใจภายในกลุ่มของสำนักเทียนซิน ศิษย์ทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมได้
แต่ขึ้นว่าเป็การประลอง ย่อมต้องมีการาเ็เกิดขึ้น แผลภายในนั้นรักษาได้โดยการกินยาเซียนตัน ทว่าแผลภายนอกไม่ใช่ว่ากินยาเซียนตันแล้วจะช่วยได้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อศิษย์นักฝึกตนทั้งหลายจึงต้องมีนักหลอมโอสถเหล่านี้ ด้านหนึ่งสามารถช่วยรักษา อีกด้านยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับแขนงการต่อสู้
นโยบายเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนนโยบายการคบค้าสมาคมนั่นเอง อีกอย่างสำหรับแขนงโอสถนั้นเป็สิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเกี่ยวเนื่องถึงหนทางในอนาคตของนักหลอมโอสถ