ในลานบ้านสกุลหวัง บรรยากาศสนุกครึกครื้น โต๊ะในห้องโถงย้ายมาอยู่ตรงกลางลานบ้าน หวังซื่อกับเฉียนซื่อกำลังนั่งคุยอยู่ด้วยกัน
หน้าเล้าไก่เตี้ยๆ ข้างลานบ้าน หูฉางหลินกับหวังเป่าหยวนกำลังปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อใช้เลี้ยงกระต่ายได้ หวังหงเซิงก็ช่วยออกความคิดเห็นอยู่ข้างๆ ด้วยกัน
ในครัวมีเสียงสะท้อนออกมาตึงตังๆ เถียนซื่อกำลังเชือดไก่ทำอาหารกลางวันอยู่
ผิงซุ่นก็วนเวียนอยู่กับหวังหรงฟา อยากให้เขาสอนตนเองยิงธนู
ครั้นเจินจูเข้ามาในลานบ้าน หวังซื่อจึงกวักมือเรียก “เจินจู เ้ามานี่”
“มีอะไรหรือเ้าคะ ท่านย่า”
“ไม่มีอะไร แค่ย่าใหญ่อยากคุยกับเ้า”
เจินจูนั่งลงข้างหวังซื่อ ยิ้มแล้วหันไปร้องเรียกเฉียนซื่อ “ท่านย่าใหญ่”
“อื้ม เจินจูน้อย เมื่อครู่ย่าไม่ได้มองเ้าให้ละเอียด เจินจูของพวกเราเปลี่ยนไปเป็สาวหมดแล้ว รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปจนย่าเกือบจำเ้าไม่ได้” เฉียนซื่อกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมา
หลังชื่นชมอยู่พักหนึ่ง เฉียนซื่อจึงถามอย่างระมัดระวัง “เจินจู ท่านย่าเ้ากล่าวว่า กระต่ายล้วนเป็เ้าที่เลี้ยง เช่นนั้นกระต่ายนี่เลี้ยงได้รอดจริงหรือ?”
เมื่อก่อนเฉียนซื่อเคยเลี้ยงกระต่ายอยู่หลายรอบ ไม่กี่วันก็ล้วนตายหมด นางไม่เคยรู้เลยว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ครั้งนี้หวังซื่อเอากระต่ายหกตัวมาให้พวกนาง เื่ที่ควรใส่ใจในการเลี้ยงกระต่ายแน่นอนว่าต้องจัดการให้ถูกต้องถึงจะถูก
“เลี้ยงรอดได้เ้าค่ะ แค่ยามปกติต้องระวังมากสักหน่อย” เจินจูยิ้มแล้วเอาหัวข้อที่ต้องใส่ใจบอกนางทีละอย่าง เฉียนซื่อตั้งใจฟังมากนัก ถามเื่ปลีกย่อยทุกอย่างจนชัดแจ้งทั้งหมด
“เป็เจินจูที่ฉลาดนัก เมื่อก่อนพวกข้าก็เคยเลี้ยงกระต่าย น่าเสียดายไม่ได้ใส่ใจเื่เหล่านี้ หญ้าที่เก็บมาเลี้ยงพอล้างแล้วก็ป้อนเลย ไม่ได้ตากให้แห้ง ไม่แปลกใจเลยที่กระต่ายจะท้องเสีย แล้วยังต้องต้มน้ำให้พวกมันอีก เฮ่อ กระต่ายเหล่านี้มีปัญหาที่ต้องใส่ใจละเอียดอ่อนมากจริงๆ” เฉียนซื่อถอนหายใจ ไม่เหมือนการเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูเลยสักนิด กระต่ายมีขั้นตอนยุ่งยากลำบากอยู่บ้าง แต่พวกมันราคาดี สืบพันธุ์ก็เร็ว หากเลี้ยงได้แล้วก็จะเป็อาชีพหาเงินอย่างหนึ่ง
เจินจูหัวเราะ เห็นว่าเฉียนซื่อคลึงเอวข้างหลังอยู่บ่อยๆ ะเืใจอยู่ข้างในเล็กน้อย จึงหยัดกายขึ้น “ท่านย่าใหญ่ ข้าไปเทน้ำใส่ถ้วยให้พวกท่านนะเ้าคะ”
ในห้องครัว เถียนซื่อกำลังหั่นผักเตรียมทำอาหารกลางวัน เมื่อเจินจูถามหาของที่้าแล้วก็เทน้ำอุ่นสองถ้วยแล้วยกออกไป แน่นอนว่านางเจาะจงเติมน้ำแร่จิติญญาครึ่งถ้วยลงไปในถ้วยใบหนึ่ง
เฉียนซื่อกล่าวชื่นชมเจินจูอยู่หนึ่งที ก่อนจะค่อยๆ หยิบถ้วยขึ้นมาดื่ม
มองเฉียนซื่อที่ดื่มน้ำหนึ่งถ้วยทั้งหมดลงท้องไป เจินจูก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา
“ล้วนว่ากันว่าเมื่อพบปะเื่น่ายินดีจิตใจจะมีความสุข มิใช่เพราะเหตุนี้หรือ น้ำเปล่านี่ถึงมีรสหวานชื่นใจ เจินจู เ้าเติมน้ำตาลลงไปในน้ำหรือไม่?” เฉียนซื่อเม้มปากลิ้มรส ความหวานอร่อยบางส่วนคล้ายยังอยู่ในลำคอ
“ฮ่าๆ” คำของเฉียนซื่อทำให้หวังซื่อและเจินจูที่ฟังอยู่ล้วนหัวเราะเสียงดังออกมา
เวลาเที่ยงตรงมาถึง ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะทานอาหารกลางวันกันอย่างคึกคัก ทั้งหมดล้วนไม่ใช่คนอื่นคนไกล หวังหงเซิงจึงไม่ได้นั่งแยกโต๊ะ
“เป่าหยวน เมื่อไรหรงเฉียงจะกลับมาได้หรือ?” หวังซื่อทานไปด้วยคุยเื่ทั่วไปกับหลานชายไปด้วย หรงเฉียงเป็บุตรชายคนโตของหวังเป่าหยวน แต่งงานได้สองปีแล้ว
หลังคาบ้านของพ่อแม่ภรรยาของเขาถูกหิมะทับถมจนพังลงมา เลยถือโอกาสที่สองสามวันนี้อากาศดี ไปซ่อมบ้านทั้งหมดให้ดีขึ้น ไม่เช่นนั้นถ้าผ่านไปสักพักหิมะตกขึ้นมาอีก อาจทนความลำบากได้ยากแล้ว คาดว่ายังต้องอยู่อีกระยะหนึ่งเลย” หวังเป่าหยวนกล่าว
“เฮ่อ หิมะปีนี้ตกหนักกว่าปีที่แล้วๆ มา ยังดีว่าหลังคาของที่บ้านเพิ่งรื้อทำใหม่ ไม่เช่นนั้นคงจะห้อยลงมาเช่นกัน พี่ชาย หลังคาบ้านเราก็ต้องระวังหน่อยนะ” หวังซื่อมองหลังคาบ้านที่เก่ามากแล้วของสกุลหวังด้วยความกังวลใจแวบหนึ่ง
“สิ่งเหล่านี้พวกเรารู้ เ้าไม่ต้องกังวลใจไป เหนือกว่าสิ่งใดข้าอยากให้เ้าใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้ด้วยดี” หวังหงเซิงดื่มสุราสองจอก เสียงพูดเริ่มหนักขึ้น “ตอนนี้ ความเป็อยู่ของครอบครัวเ้าค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว บ้านซ่อมดีแล้ว ที่ดินเพิ่มมาหลายหมู่ แล้วยังซื้อลูกวัวแข็งแรงบึกบึนอีก ในใจพี่ชายนี้มีความสุข มาฉางหลิน ดื่มเป็เพื่อนลุงหลายจอกหน่อย”
เมื่อหวังซื่อฟังคำพูดของหวังหงเซิงแล้วเบ้าตาก็แดงเล็กน้อย หลายปีมานี้ตนเองอยู่อย่างยากจน พี่ชายและพี่สะใภ้ช่วยเหลือทางการเงินไม่น้อย ตนเองรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด ขณะนี้ความเป็อยู่ของครอบครัวตนเองค่อยๆ เปลี่ยนมาดี ย่อมเป็ธรรมดาที่ต้องตอบแทนกลับบ้างเช่นกัน
หวังซื่อจึงเอาวิธีอบแห้งเห็ดบอกแก่สกุลหวังไปด้วย หมู่บ้านสกุลหวังอยู่ในป่าเขาลึก เป็แหล่งที่มีเห็ดอุดมสมบูรณ์ แค่จัดการให้เหมาะสม เอาเห็ดอบแห้งและสะสมไว้ พอราคาดีก็เอาออกไปขาย เช่นนั้นก็จะเป็รายได้ที่ได้รับอีกส่วนหนึ่ง
ครอบครัวหวังหงเซิงตื่นเต้นกับวิธีนี้มาก ถามวิธีการอย่างละเอียด หลังผ่านต้นฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว รอจนฝนของฤดูใบไม้ผลิตกก็สามารถทดลองอบแห้งได้แล้ว
อาหารหนึ่งมื้อได้พูดคุยสนุกสนานเฮฮาทานดื่มกันอย่างมีความสุข ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยามจึงเสร็จสิ้น
พระอาทิตย์หลังเที่ยงเอียงไปทางตะวันตกเล็กน้อย หวังซื่อพาเด็กๆ กล่าวลากับครอบครัวสกุลหวัง
“มาครั้งนี้ หลักๆ คือเพื่อให้ทันก่อนฉลองปีใหม่แล้วเอาเงินที่ยืมไปมาคืน ขอให้เป็ปีที่ดีของทุกคน พี่ชาย ท่านรับเงินไว้นะ” หวังซื่อยื่นเงินในมือไป อมยิ้มแล้วขอบคุณหวังหงเซิง
“แค่เ้าแข็งแรงก็พอแล้ว ข้าไม่ได้รีบใช้เงินจะรีบคืนทำไมกัน คืนเมื่อไรก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรอกหรือ” หวังหงเซิงบ่นหวังซื่อ น้องสาวคนเล็กของเขาผู้นี้เข้มแข็งั้แ่เด็ก ทุกสิ่งที่กล่าวถึงที่บ้านล้วนเป็ด้านดี ความทุกข์ยากและความลำบากส่วนตัวกลับไม่เคยเอ่ยถึง
“พี่ชาย ท่านก็รู้นิสัยข้า หากว่าก่อนปีใหม่ที่จะถึงนี้ยังไม่คืนหนี้สินให้ได้ เกรงว่าจะข้ามปีไปด้วยจิตใจไม่สงบแล้ว” หวังซื่อกล่าวยิ้มตาหยี
อำลากับทุกคนแล้ว หูฉางหลินก็จูงวัวเดินลงทางลาดอย่างช้าๆ หวังซื่อหันกลับมาโบกมืออำลาอีกครั้ง
“บ๊อกๆ” ลูกสุนัขสีเหลืองพุ่งออกมาจากลานบ้าน วิ่งมาถึงข้างหน้าเจินจูในพริบตาเดียว ถลันมาหานางแล้วเอาแต่ส่ายหางไปมา
“โอ๊ะ ท่านพี่ เสี่ยวหวงตามมา” ผิงอันร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ “มันอยากตามพวกเรากลับบ้านหรือ?”
“ใช่ ท่านย่า พวกเราพาเสี่ยวหวงกลับไปเลี้ยงได้หรือไม่ขอรับ?” ผิงซุ่นก็ะโด้วยเสียงดีใจเช่นกัน
“ฮ่าๆ ดูท่าเ้าลูกสุนัขนี่กับเจินจูมีวาสนาต่อกัน เ้าดู เอาแต่เดินวนรอบเ้า ดีเลย มันก็หย่านมแม่แล้ว เ้าพามันกลับไปเลี้ยงเถิด ช่วยเฝ้าบ้านได้ดีนักล่ะ” หวังหงเซิงยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้ทางพวกเขา
“พากลับไปได้จริงหรือขอรับ? ท่านปู่ มันจะไม่ร้องหาแม่หรือขอรับ?” ผิงอันดีใจและกังวลใจไปพร้อมกัน
“ไม่มีทาง ต้าหวงออกลูกมาหลายคอกแล้ว ครั้งนี้ออกมาแค่สองตัว ไม่กี่วันก่อนพี่ชายเฉียงจื่อของเ้าเอาไปให้คนอื่นแล้วหนึ่งตัว ตัวนี้พวกเ้าเอากลับไปเฝ้าบ้านก็พอดีเลย” หวังหงเซิงคว้าลูกสุนัขสีเหลืองขึ้นมาแล้วยื่นไปวางบนเกียนวัว
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านปู่เ้าค่ะ เดิมทีข้าก็อยากเลี้ยงลูกสุนัขหนึ่งตัวไว้เฝ้าบ้าน ยังคิดอยู่ว่าจะให้ท่านพ่อไปซื้อในเมืองมาหนึ่งตัว ลูกสุนัขนี่ข้าจะเลี้ยงอย่างดีเลยเ้าค่ะ” เจินจูไม่ได้ปฏิเสธ ที่บ้านอาศัยอยู่ห่างไกลผู้คน เลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านถือเป็สิ่งที่จำเป็มากนัก
การเดินทางเป็ไปอย่างราบรื่น เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม เกวียนวัวก็กลับมาถึงหมู่บ้านวั้งหลิน
ผิงซุ่นกลับไม่มีความสุขเล็กน้อย เขาอยากเอาเสี่ยวหวงไปเลี้ยงไว้ที่บ้านของตนเอง แต่ท่านย่ากล่าวว่าจะให้เลี้ยงไว้บ้านท่านอารองไว้เฝ้ากระต่าย อีกอย่างเ้าลูกสุนัขเสี่ยวหวงนี่ชอบตามพี่สามมากนัก ตนเองจะไปเย้าแหย่มันอย่างไร มันก็ไม่พุ่งมากระดิกหางกับเขาเลย
“ ผิงซุ่น เ้าอย่าทำหน้ามุ่ยไปเลย เ้าต้องมาเรียนหนังสือทุกวันอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ได้เห็นเสี่ยวหวง หากเ้าคุ้นเคยกับมัน มันย่อมกระดิกหางใส่เ้า! เ้าดู มันก็ไม่กระดิกหางใส่ผิงอัน” เจินจูยิ้มปลอบโยนเขา เด็กน้อยชอบใกล้ชิดสัตว์เล็กๆ เป็เื่ดี สามารถปลูกฝังความรักและความรับผิดชอบของเด็กได้
“โอ้... เช่นนั้นทำไมมันเอาแต่กระดิกหางใส่พี่สามเล่า?” ผิงซุ่นมองเสี่ยวหวงที่เอาแต่อยู่ข้างกายเจินจูด้วยความเสียใจ
“เอ่อ...” เจินจูเงียบงันกล่าวไม่ออกไปพักหนึ่ง นางจะกล่าวว่า... เป็เพราะความรู้สึกในการได้รับกลิ่นที่ว่องไวของสัตว์ได้หรือไม่?
เจินจูเกาศีรษะ แต่งเหตุผลออกมาอย่างไม่คิดอะไร ยิ้มหนึ่งทีแล้วกล่าว “ปกติเป็เพราะพี่สามของเ้ากับสัตว์มีวาสนาต่อกันกระมัง ฮ่าๆ เ้าดูอย่างเสี่ยวเฮยที่บ้านก็ไม่ใช่ว่าชอบตามข้าหรือ”
“นั่นก็ใช่…” ผิงซุ่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เสี่ยวเฮยก็ชอบเ็าไม่สนใจเขาจริงๆ หรือว่าเขาจะไม่มีวาสนาต่อสัตว์กัน? ผิงซุ่นอัดอั้นตันใจ
กลับมาถึงบ้านเก่า หวังซื่อจัดแจงเอาเนื้อกวางแห้ง เนื้อกวางแม่น้ำ ลูกเกาลัด ซานเหอเถา แต่ละอย่างแบ่งเป็สองชุดใส่ในตะกร้าไผ่สานให้เจินจูเอากลับไป
“กลับบ้านกัน ผิงอัน ...ปะ เสี่ยวหวง ตามมา” เจินจูแบกตะกร้าไผ่สาน ก้าวเท้ากลับบ้านบนทางเดินด้วยใจที่มีความสุข
“ท่านพี่ นานแล้วที่ไม่ได้ทานเม็ดเกาลัด กลับไปพวกเราเอามันต้มทานกันเถิด” ผิงอันมองเห็นเม็ดเกาลัดที่ชอบก็อยากทานอยู่นานแล้ว ปลายฤดูใบไม้ร่วงที่แล้วๆ มา หูฉางกุ้ยจะพาพวกเขาไปเก็บเม็ดเกาลัดกับซานเหอเถาไม่น้อย ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้หูฉางกุ้ยออกไปทำงานรับจ้างชั่วคราวนอกบ้าน จึงไม่มีคนพาพวกเขาเข้าไปเก็บของในป่าเขาเลย โชคดีนักที่ท่านปู่หวังหงเซิงให้ทั้งหมดมาครึ่งถุง เมื่อแบ่งมาถึงพวกเขาก็ยังมีอีกมาก
“ได้สิ” เจินจูรับปากอย่างสบายๆ “น่าเสียดาย ในูเาบ้านเราไม่มีต้นเกาลัดกับต้นซานเหอเถา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะได้ย้ายกลับมาปลูกหนึ่งต้น เช่นนี้ทุกปีจะได้มีเม็ดเกาลัดกับซานเหอเถาทานแล้ว”
“ท่านพี่ ท่านลืมแล้วหรือ ในูเาของพวกเรามีก็ต้นเม็ดเกาลัดกับซานเหอเถา แค่ไกลออกไปสักหน่อย ูเากั้นออกไปสองลูก ท่านพ่อบอกว่าอันตราย ไม่ให้พวกเราไปเก็บกันเอง” ผิงอันตอบกลับทันที
“อ้อ เช่นนี้หรือ ข้าลืมไปเล็กน้อย เช่นนั้นก็ได้ รอถึงเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว พวกเราให้ท่านพ่อไปขุดสองต้นกลับมาปลูก ปีหน้าก็ไม่ต้องกลุ้มใจที่จะไม่มีทานแล้ว ฮ่าๆ” เจินจูหัวเราะสดใส
สองคนหนึ่งสุนัขคุยไปพลางหัวเราะไปพลาง ไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน
“ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้วขอรับ!” ผิงอันส่งเสียงะโแล้ววิ่งเข้าไป
“บ๊อกๆ” ลูกสุนัขสีเหลืองติดตามมาตลอดทาง ไม่ได้กลัวคนแปลกหน้าและเดินตามเจินจูเข้าประตูบ้าน
“เหมียว” เสี่ยวเฮยวิ่งลงมาจากหลังคาบ้าน มองดูสัตว์แปลกหน้าที่บุกรุกอาณาเขตด้วยสองตาเขียวเข้ม ชั่วพริบตาเดียวก็พองขนขึ้น
เสี่ยวหวงไม่ได้สนใจมันเป็พิเศษ แค่ดมซ้ายดมขวาทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่
“หง่าว” เสี่ยวเฮยพุ่งเข้ามาส่งเสียงร้องขู่เสี่ยวหวง ขนทั้งตัวตั้งขึ้น
“เสี่ยวเฮย มานี่” เจินจูวางตะกร้าไผ่สานลง มองเสี่ยวเฮยที่พองขนแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ แมวและสุนัขเป็คู่กัดกัน ไม่เป็ความเท็จเลยจริงๆ มองที่การวางอำนาจนี่สิ ถึงกับต้องตีกันให้ได้เลยหรือ
เสี่ยวเฮยมองนางแวบหนึ่งอย่างแ่เบา ร่างกายผ่อนคลายลง แล้วเดินเข้ามาช้าๆ แต่ดวงตายังคงมองที่เสี่ยวหวงอย่างตื่นตัว
“ฮ่าๆ...” เจินจูนั่งยองลูบขนตามร่างกายของมันให้เรียบ หลังจากนั้นยิ้มแล้วกล่าว “เสี่ยวเฮย นี่เป็เสี่ยวหวง ต่อไปก็จะอาศัยอยู่บ้านเราแล้ว มันเด็กกว่าเ้านัก เ้าห้ามรังแกมันนะ”
“เหมียว” ดวงตาของเสี่ยวเฮยสีเขียวเกือบดำราวกับว่ามีความรู้สึกน้อยใจ มันไม่ชอบสุนัข นั่นไม่ใช่เพื่อนของมัน
แต่เสี่ยวหวงกลับวิ่งเข้ามาอย่างไม่คิดอะไร มองเสี่ยวเฮยที่มีขนาดตัวไม่ต่างจากมันเท่าไรด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ดูแล้วราวกับว่าได้พบเจอเพื่อนใหม่ จึงส่ายหางขึ้นแสดงว่ายินดีทันที
หนึ่งตัวมีใจใกล้ชิด หนึ่งตัวไม่ยินดีอย่างมาก ภาพที่เห็นมีความน่าสนใจและกลมกลืนเข้าด้วยกัน เจินจูยิ้ม...