ซ่งอวี้กัดฟันแน่น มองไปที่นายพราน แล้วหันไปมองกลุ่มคนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ได้ หากมีนายพรานเช่นท่านปรากฏตัวบนหุบเขา พวกเขาต้องสงสัยอย่างแน่นอน ดังนั้นท่านต้องซ่อนตัวอยู่กับชายาเ็ ส่วนข้าจะเป็คนล่อพวกนั้นไปเอง”
พูดจบ ซ่งอวี้ก็เอาตะกร้าสะพายหลังให้นายพราน
“หากเกิดเื่อะไรขึ้นกับข้า ขอให้ท่านเอาสมุนไพรเหล่านี้ไปให้ปัญญาชนในสำนักศึกษา บอกว่าเป็สมุนไพรที่ซ่งอวี้เก็บมา ให้พวกเขาเอาไปรักษาตัว เร็วเข้า! พวกมันตามมาแล้ว ท่านรีบเข้าไปเถอะ ตราบใดที่ข้ายังไม่กลับมา ห้ามออกมาเด็ดขาด!”
นายพรานลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าการที่ตนทิ้งซ่งอวี้เอาไว้คนเดียวเช่นนี้ไม่ดีเท่าใดนัก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีเวลาให้เขาคิดมากแล้ว
ซ่งอวี้กัดฟันแน่น ผลักนายพรานเข้าไปในโพรงต้นไม้ แล้วใช้เถาวัลย์ปิดโพรง หลังจากนั้นนางก็สะพายตะกร้าอีกใบ แล้ววิ่งไปทางอื่น
ซ่งอวี้วิ่งมาตลอดทางจนหายใจหอบ นางวิ่งไปอีกประมาณห้าสิบเมตรก็ไปต่อไม่ไหวแล้ว จึงทิ้งตัวนั่งลงบนก้อนหิน
ในเวลานี้ซ่งอวี้รู้สึกราวกับว่ามีมีดจี้อยู่ที่คอ พร้อมจะเอาชีวิตนางทุกเมื่อ
กลุ่มคนเ่าั้เดินไล่ตามมาติดๆ เพื่อไม่ให้น่าสงสัย นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ทั้งยังหยิบอาหารขึ้นมาทำทีเป็ชาวบ้านที่ขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรกำลังพักเหนื่อย
ตอนที่คนกลุ่มนั้นไล่ตามมาถึงใต้ต้นไม้ พวกเขาพบทางแยกสามทาง จึงแบ่งกันออกเป็สามกลุ่มแล้วไล่ตามต่อ
หนึ่งในสามกลุ่มนั้นขี่ม้าไปไม่ไกลก็เห็นหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้านนั่งพักอยู่บนก้อนหิน จึงเอ่ยถามเสียงดัง “เ้าเป็ใคร! เหตุใดจึงอยู่บนหุบเขา!”
มาแล้ว!
ซ่งอวี้ได้ยินเสียงก็หันไปมองด้วยความใ ตอนที่เห็นดาบในมือพวกเขา นางนั่งขดตัว ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ข้า...ข้าเป็เพียงชาวบ้านที่ขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรเลี้ยงชีพ หากพวกท่านอยากจะจี้ปล้น ไปปล้นผู้อื่นดีหรือไม่? ข้าไม่มีเงินทอง...”
ชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนจะเป็หัวหน้าจับจ้องซ่งอวี้ตาไม่กะพริบ คล้ายกำลังวิเคราะห์ว่านางพูดความจริงหรือโกหก
ลูกสมุนอีกคนที่อยู่ด้านล่างเดินออกมาจากกลุ่มคน ชี้ไปยังตะกร้าของนางแล้วถามขึ้น “ในนี้นอกจากสมุนไพรแล้ว ยังมีอะไรอีก?”
ซ่งอวี้วางตะกร้าที่ตนสะพายอยู่ลงมาด้วยมือที่สั่นเทา เทของทั้งหมดที่อยู่ข้างในออกมา พูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ไม่มีอะไรทั้งนั้นเ้าค่ะ วันนี้ข้ามาเก็บสมุนไพร รวมถึงผักป่าและเห็ดที่นำไปต้มกินได้ก็เท่านั้น ข้ายากจน บางครั้งไม่มีข้าวกิน ก็ต้องกินผักป่าประทังชีวิตเ้าค่ะ”
ความหวาดกลัวของซ่งอวี้ในเวลานี้ไม่ใช่การเสแสร้ง มีชายฉกรรจ์หลายคนถือดาบชี้มาที่นางเช่นนี้ นางหวาดกลัวมากจริงๆ หากอีกฝ่ายไม่ฟังเหตุผลแล้วฟันนางทิ้ง เช่นนั้นนางก็คงตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก
เมื่อหัวหน้าของชายฉกรรจ์เ่าั้เห็นว่าความหวาดกลัวในแววตาของซ่งอวี้เป็ความหวาดกลัวที่แท้จริงไม่ได้เสแสร้ง เขาก็โบกมือสั่งให้ลูกสมุนกลับมา จากนั้นเอ่ยถาม “เ้าเคยเห็นบุรุษสวมชุดสีขาวดวงจันทร์ ทั้งยังาเ็หรือไม่?”
ซ่งอวี้แกล้งทำเป็ก้มหน้าครุ่นคิด วินาทีที่ก้มหน้าลงแววตาของนางฉายความเข้าใจ คนกลุ่มนี้พุ่งเป้าไปที่คุณชายที่พวกนางช่วยเอาไว้จริงๆ ตอนเงยหน้าขึ้นมาสีหน้าของซ่งอวี้ก็กลับมาเป็หวาดกลัวอีกครั้ง
“คล้าย...คล้ายจะเห็นอยู่เ้าค่ะ แต่ว่าคุณชายคนนั้นไม่ได้อยู่ตามลำพัง รอบตัวของเขายังมีอีกหลายคน แต่ละคนดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ข้าไม่กล้ามองนาน จึงรีบวิ่งหนี”
ความจริงแล้วซ่งอวี้อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่เคยพบเจอ ทว่าหากนางพูดออกไปเช่นนั้น หัวหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ย่อมไม่มีวันปล่อยนางไปแน่นอน จึงทำได้เพียงบอกว่าตนเคยพบเจอ
ลูกสมุนได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “พี่ใหญ่ มีคนมาช่วยคุณชายนั่นไปแล้วหรือไม่?”
ลูกสมุนพูดยังไม่ทันจบ หัวหน้าของเขาก็หันไปตำหนิ บอกให้เขาหุบปาก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ซ่งอวี้ได้ยิน
ซ่งอวี้ยืนอยู่นาน กระทั่งหัวหน้าของพวกชายฉกรรจ์โบกมือ อนุญาตให้นางไปได้
ในที่สุดซ่งอวี้ก็โล่งอก นางเก็บสมุนไพรใส่ตะกร้า แล้วเดินออกมาด้วยความหวาดกลัว
หลังจากซ่งอวี้เดินจากไป ลูกสมุนที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถามหัวหน้าของตน “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงปล่อยนางไป? ไม่แน่นางอาจจะเป็คนช่วยคุณชายนั่นเอาไว้ก็ได้ บนหุบเขานี้ไม่มีผู้คน แต่พวกเรากลับเจอนางตอนที่กำลังไล่ล่าคุณชายนั่น ไม่น่าสงสัยหรือขอรับ?”
“เ้าจะเข้าใจอะไร เ้าไม่ได้ตรวจดูของในตะกร้าเมื่อครู่หรือ? ด้านในคืออาหารที่พวกชาวบ้านกินกันจริงๆ ทั้งยังมีสมุนไพรที่นำไปขายเพื่อแลกเป็เงินอีกด้วย” หัวหน้ากลุ่มพูด
“หญิงสาวเช่นนางจะมีความกล้าไปช่วยคนที่าเ็สาหัสหรือ? เมื่อเทียบกับการคิดเล็กคิดน้อยกับหญิงสาวคนหนึ่ง สู้คิดหาวิธียังจะดีเสียกว่า ไม่แน่ว่าคุณชายนั่นอาจจะถูกช่วยไปแล้วจริงๆ ก็ได้”
รอจนกระทั่งไม่มีสายตาของผู้ใดมองตนแล้ว ในที่สุดซ่งอวี้ก็โล่งอกอย่างแท้จริง
แม่เ้าโว๊ย เป็ตัวล่อเช่นนี้ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย หัวใจเกือบจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว เมื่อครู่นี้หากนางพูดประโยคใดผิดไป ไม่แน่ว่าอาจจะถูกฆ่าตายทันทีก็ได้
เวลานี้พวกนั้นตามหาคนไปทั่วทั้งหุบเขา ซ่งอวี้จึงยังไม่กล้ากลับไปที่โพรงต้นไม้ ทำได้เพียงแกล้งทำเป็พักเหนื่อยอยู่ที่เดิม
ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นตามหาคนไปทั่วหุบเขาครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเสียงของพวกเขาก็ค่อยๆ หายไป ซ่งอวี้จึงค่อยลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังโพรงต้นไม้ที่นายพรานซ่อนตัวอยู่
“ท่านนายพราน ท่านอยู่ด้านในหรือไม่?”
พอซ่งอวี้มาถึงใต้ต้นไม้ นางก็ร้องถามที่ปากโพรงต้นไม้ก่อน รอนายพรานที่อยู่ด้านในขานตอบ นางค่อยปัดเถาวัลย์ออก เผยให้เห็นโพรงต้นไม้
“ท่านหมอซ่ง คนพวกนั้นไปแล้วหรือ?” นายพรานมองดูรอบๆ ด้วยความกังวล คล้ายกลัวว่าจะมีคนปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน แล้วเอาชีวิตพวกเขา
ซ่งอวี้เม้มปากพูดเสียงเบา “ไปแล้ว คุณชายคนนั้นเล่า? ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
ตอนที่พวกนางเจอตัวชายาเ็คนนี้ เขาก็หายใจรวยรินแล้ว หลังจากเื่ทุกอย่างจบลง นางไม่รู้ว่าเขาจะอดทนมาถึงตอนนี้ได้หรือไม่
เมื่อซ่งอวี้พูดถึงชายที่ได้รับาเ็ นายพรานก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนอยู่ในโพรงต้นไม้ เขารีบหันกลับไปพยุงชายหนุ่มออกมาแล้วตรวจดูลมหายใจ
“ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ แต่ว่าหายใจแ่ยิ่งนัก หากไม่รีบทำการรักษาตัว ไม่แน่ว่าชายคนนี้อาจจะตายจริงๆ ก็เป็ได้”
ซ่งอวี้ครุ่นคิด ตนลำบากถึงขั้นนี้แล้ว หากสุดท้ายคุณชายท่านนี้ตายขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นความลำบากความใที่นางเผชิญเมื่อครู่ ล้วนสูญเปล่าไม่ใช่หรือ?
ขาดทุนแย่
นายพรานและซ่งอวี้เร่งฝีเท้า หวังว่าจะเจอที่ที่สามารถทำการรักษาชายาเ็คนนี้ได้ ก่อนที่เขาจะสู้ต่อไปไม่ไหว
โชคดีที่โพรงต้นไม้อยู่ไม่ไกลจากด้านล่างหุบเขานัก เดินเพียงครึ่งชั่วยามก็ถึงเรือนของนายพรานแล้ว
นายพรานวางชายาเ็ลงบนเตียง แล้วซ่งอวี้ก็ทำการตรวจรักษาทันที
“บาด...าแเยอะถึงเพียงนี้ รักษาได้หรือ?”
นายพรานมองดูอยู่ข้างๆ ด้วยความตกตะลึง ตอนที่เห็นซ่งอวี้ฉีกเสื้อของชายาเ็ออกจนเผยให้เห็นาแบนตัว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม
เป็ความจริง าแของเขาช่างน่าใยิ่งนัก มากกว่าตอนที่นางช่วยหรงจิ่งเสียอีก
“พ่อซานหวา รบกวนท่านไปซื้อเหล้ามาหนึ่งไห แล้วก็ช่วยเตรียมเข็มกับด้ายมาให้ข้าหน่อย ข้าจะใช้รักษาาแให้เขา” ซ่งอวี้บอกกับนายพราน
นาทีเป็นาทีตาย ซ่งอวี้ไม่อาจสนใจอะไรมากมาย นางเพียงอยากจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อม จะได้รักษาอย่างสุดความสามารถ
นายพรานไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีประโยชน์อะไร แต่ซ่งอวี้บอกให้เขาเตรียม เช่นนั้นนางย่อมจำเป็ต้องใช้ นายพรานไม่ถามอะไรมาก รีบออกไปเตรียมของให้ซ่งอวี้ทันที