แม้นางจะเป็คนที่ระมัดระวังตัวมากเพียงไร ทว่าก็ยังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ มองไม่เห็นแม้แต่สติปัญญาของคุณหนูใหญ่ ทั้งยังมองไม่ออกว่าใครเป็คนที่มีอำนาจมากที่สุด เช่นนั้นก็สมควรแล้ว!
จางอี๋เหนียงตรึกตรองชั่วครู่ ในที่สุดนางก็รู้ว่าควรจะพึ่งใคร
ดูอย่างหลิวหรงตอนนี้ยังถูกคุณหนูใหญ่จัดการเสียจนเจียนตาย เหนือฟ้ายังมีฟ้าคำนี้เห็นจะเป็เื่จริง!
ภายในจวนไม่ว่าใครจะมีแผนการที่แยบยลหรือความสามารถสูงส่งเพียงใด ก็ต้องมีคนที่มาเหนือกว่าเข้าสักวัน! ดังนั้นท้ายที่สุดสิ่งที่นางสมควรทำนอกจากการระมัดระวังตัวให้ดี ยังต้องดูแลคุณชายใหญ่ เพื่อที่จะได้มีที่พึ่งพิงในวันข้างหน้า
เมื่อคิดถึงจุดนี้จางอี๋เหนียงเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า หายใจเข้าออกเฮือกหนึ่ง พลางบีบผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่นราวกับมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ดวงตากลมมองตามอีกฝ่ายไป คล้อยหลังเมื่อพ้นสายตาต้วนชิงิถึงค่อยๆ หลับตาลงพูด “หญิงโง่”
กล้าเอาหลิวหรงมาเทียบกับข้าหรือ? ทว่าจางอี๋เหนียงก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อนางมากขนาดนั้น! แม่นมหนิงเดินมาจากไหนก็สุดที่จะรู้ เข้ามากระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน
“คุณหนูใหญ่ คุณชายหลิวเพิ่งกลับมาจากข้างนอกเ้าค่ะ” ต้วนชิงิฟังนิ่งๆ ปัดไปที่เสื้อต้วนอวี้เบาๆ ยกยิ้มขึ้น
ในเมื่อหลิวยวนกลับมาแล้ว เช่นนั้นไปพูดเหน็บแนมเขาสักทีเป็ไร หลิวยวนในครั้งนี้ข้าช่วยเ้า แต่ต่อจากนี้ไปเ้าถือว่าเป็พี่ชายของต้วนอวี้แล้วกัน
ในเวลานี้เอง สีหน้าและแววตาของหลิวยวนละม้ายมีเื่ในใจปรากฏชัดบนใบหน้า ทุกถ้อยวาจาที่เสนาบดีหลิวพูดกับเขา บัดนี้เมื่อนึกขึ้นมาก็ยังวนเวียนดังก้องอยู่ในหู
‘หลิวยวน พ่อรู้ว่าเ้าเกลียดพ่อ จึงไม่ได้ตอบรับเป็พ่อ เพราะพ่อได้แต่งงานใหม่เท่ากับเป็การทอดทิ้งแม่เ้าทำให้เ้าผิดหวัง… แต่เ้าเคยลองคิดหรือไม่ว่าถ้ามายืนในจุดที่พ่ออยู่ บางเื่ก็เลือกเองไม่ได้ เ้ารู้บ้างหรือไม่’
เสนาบดีที่อายุราวสี่สิบปีมองไปยังใบหน้าของลูกชาย แววตาแสดงความเ็ปทรมานที่ต้องกล้ำกลืน จนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจา
“ปีนั้นพ่อเข้าเมืองหลวงไปรายงานราชการ ระหว่างทางพบกับโจรทางน้ำ พ่อและแม่ที่กำลังตั้งท้องเ้าก็ตกน้ำไปด้วย หลังจากนั้นพ่อถูกคนช่วยไว้ได้ ทั้งพยายามตามหาแม่เ้าอย่างสุดความสามารถ ทว่าไม่มีข่าวคราวใดกลับมาเลย! พ่อจึงคิดว่าพวกเ้าทั้งสองไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ตอนนั้นพ่อเสียใจอย่างที่สุด... หลังจากที่กลับเข้ามารายงานงานที่เมืองหลวง ทั้งยังได้ช่วยฝ่าาจัดการกับฏจนได้รับความดีความชอบ ถึงมีเช่นทุกวันนี้… อย่างไรเสีย ในใจของพ่อก็ยังมีเ้ากับแม่เ้าอยู่เสมอนะลูก”
เป็เวลาสามวันแล้ว
ที่หลิวยวนได้พบกับพ่อ!
เป็สามวันที่เสนาบดีหลิวพูดเกลี้ยกล่อมเขามาตลอด ทว่าหลิวยวนยังไม่สามารถอภัยให้ผู้เป็บิดาได้ ด้วยรับรู้ได้ถึงความทุกข์ระทมแทบจะถึงขั้นตรอมใจของผู้เป็มารดา ครั้นเห็นท่านพ่อที่ดูแลภรรยาใหม่เป็อย่างดี เปรียบเทียบกับตัวเขาเองที่ทำงานอย่างหนักและมารดาที่ตอนนี้แม้แต่เส้นผมก็เปลี่ยนเป็สีขาว ในใจพลันรู้สึกสับสนงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ถ้าเขายอมรับท่านพ่อ นั่นก็เท่ากับว่าขายท่านแม่!
ทว่าหลิวยวนก็อยากมีพ่อและครอบครัวที่ปกติเหมือนคนอื่นๆ สำหรับเขาที่โดดเดี่ยวมานาน คำว่า ‘ครอบครัว’ เป็สิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอด
กระแสอุ่นไหลรินผ่านกลางอกเขาระลอกหนึ่ง ทั้งยอมรับและไม่อยากยอมรับผสมรวมกันทำให้เขาทรมานใจสุดประมาณ
เื่นี้ไม่มีใครช่วยเขาคิดหาวิธีได้หรืออยากพูดก็ใช่ว่าจะพูดได้ ในโลกนี้จิตใจคน ยากแท้หยั่งถึง จึงต้องกันไว้ดีกว่าแก้
เขาเดินคิดมาตลอดทางจวนเจียนใกล้ถึงเรือนของต้วนอวี้ แม้จะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันในห้องแต่ไม่ได้สนใจ ครู่เดียวก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง พลันเสียงชะงักหยุดเงียบหายไป... ต้วนชิงิอยู่ที่นี่!
เมื่อเห็นสายตาวาววับของต้วนชิงิ ใบหน้าของหลิวหยวนค่อยๆ แดงขึ้นมา! พูดอึกอัก “คุณหนูต้วน”
ต้วนชิงิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนเห็นหลิวยวน นางยกยิ้มขึ้น เอ่ยเสียงนุ่มนวล
“พี่หลิวกลับมาแล้ว!”
ต้วนอวี้เห็นหลิวยวนกลับมาจึงรีบะโลงจากเก้าอี้ วิ่งไปข้างหน้าพลางยื่นขนมไปที่ปากของหลิวยวน พูดเลียนแบบต้วนชิงิอย่างอารมณ์ดี
“พี่หลิว นี่เป็ขนมที่พี่สาวข้านำมาให้ อร่อยที่สุด พี่ลองทานดู” ต้วนอวี้กลับมาที่ห้อง ขนมที่จางอี๋เหนียงนำมาให้ก็ถูกยกออกไปหมดแล้ว ส่วนแม่นมหนิงถือโอกาสสอนซินจู๋ว่าต้องใส่ใจคุณชายใหญ่เื่การกิน การใช้ให้มากขึ้น
ร่างกายของซินจู๋สั่นเทิ้มไปทั้งตัวหลังจากที่โดนแม่นมหนิงและซิ่วเอ๋อร์ดุอยู่เป็นาน ดูท่าเมื่อก่อนนางคงจะละเลยเกินไป หลังจากนี้ต้องใส่ใจให้มากขึ้น
ต้วนชิงิหัวเราะพรืดออกมา “ต้วนอวี้ เ้าต้องเรียกว่าอาจารย์ ส่วนข้าเรียกว่าพี่หลิวได้”
ต้วนอวี้พูดด้วยทั้งยังทำปากจู๋ ช้อนสายตามองผู้เป็พี่สาว “ข้าไม่อยากเรียกว่าอาจารย์ ข้าจะเรียกว่าพี่ชาย...”
หลิวยวนยิ้มออกมาเมื่อได้ฟัง
“ได้ๆ เรียกว่าพี่ชายแล้วกัน ไม่ต้องเรียกว่าอาจารย์” ่ที่ผ่านมา เขาช่วยดูแลต้วนอวี้และคอยสอนมารยาทพื้นฐานต่างๆ แก่ต้วนอวี้ อันที่จริงก็ไม่ได้สอนจริงจังมากนัก เพราะเห็นว่าต้วนชิงิมีบุญคุณต่อเขา ในใจของหลิวยวนต้องตอบแทนกลับ
ต้วนอวี้พูดเสียงไม่ชัดออกมาเบื้องหน้าของหลิวยวน
“พี่ชาย”
หลิวยวนใเล็กน้อยเมื่อเห็นต้วนอวี้ยิ้มออกมาอย่างสดใส จึงชี้ไปที่ข้างปากของเขาเอง “คุณชาย... น้ำลาย”
“หึๆ” ต้วนอวี้ยิ้มตาหยีจนมองไม่เห็นตาขาว พลางะโเอื้อมมือไปคว้าคอโน้มตัวของหลิวยวนให้ก้มลงมา จากนั้นจึงใช้แขนเสื้อเช็ดไปที่หน้าหลิวยวน และยังไม่ลืมที่จะแก้คำพูดให้ถูกว่า
“พี่ชายต้องเรียกเขาเหมือนกับที่พี่สาวเรียก” เขาเรียกต้วนชิงิว่าพี่สาวไม่ใช่พี่สาวคนโต นี่เป็การเรียกส่วนตัวของต้วนอวี้ เมื่อต้วนชิงิได้ยินก็ถึงกับสะดุ้งขึ้นมา!
หลิวยวนหันหลังกลับมามองเห็นต้วนชิงิพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ความจริงใจที่พี่น้องคู่นี้มีให้กัน ทำให้หลิวยวนรู้สึกซาบซึ้งละม้ายเข้าไปเป็ส่วนหนึ่งของคนทั้งสองไปด้วย
หลิวยวนจับกระชับมือเด็กน้อยและพูดกับเขาอย่างตั้งใจ
“ได้ๆ ข้าจะเรียกตาม... พี่สาว” เขาไม่มีพี่มีน้อง คราแรกที่รู้ว่าต้วนชิงิช่วยชีวิตไว้คิดว่านางต้องหวังผลอะไรบางอย่าง ทว่าตอนนี้ดูท่าจะเป็แค่เื่บังเอิญ ยิ่งไปกว่านั้นในใจของนางหวังดีกับน้องชายและคนที่นางใส่ใจว่าจะอยู่อย่างสบายหรือไม่เพียงเท่านั้น
เด็กชายพยักหน้าตอบรับ ไถลตัวลงมาจากแขนหลิวยวน พูดว่า
“พี่ชายสีหน้าไม่ค่อยดีสงสัยเหนื่อยแล้ว อย่างนั้นต้วนอวี้จะไปเล่นเอง”
พูดจบก็ผละจากไปเล่นกับซิ่วเอ๋อร์และซินจู๋ หลิวยวนมองตามหลังต้วนอวี้ที่กำลังเดินไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉา “เขาเป็เด็กจิตใจดี น่าอิจฉามีพี่สาวที่แสนดีคอยปกป้อง”
ต้วนชิงิยังคงระบายยิ้มค้างอยู่บนใบหน้า พลางเทน้ำชาใส่แก้วเลื่อนไปตรงหน้าหลิวยวน เอ่ยเสียงเรียบ “ จิตใจดีเป็เื่ดี แต่ต้องไม่กลายเป็คนโง่เขลาที่ยอมให้ใครมาคอยกลั่นแกล้ง ”
ต้วนชิงิหยุดเว้นจังหวะ เลิกคิ้วขึ้นเผยให้เห็นแววตาวาววับคล้ายสบายใจอย่างบอกไม่ถูกขณะมองไปที่อีกฝ่ายพูดว่า “ที่จริง ข้าอิจฉาพี่มากกว่า... ข้าเสียท่านแม่ไปั้แ่เยาว์วัย แต่พี่หลิวกลับได้ใช้ชีวิตกับท่านแม่ แม้จะยากลำบากอยู่บ้างแต่ก็มีความสุขมิใช่หรอกหรือ สิ่งสำคัญที่สุดคือ พี่เป็คนจิตใจดีไม่ว่าจะเป็ผู้คน รวมถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วย”