ครั้นเอ่ยเช่นนี้ทำให้ได้รับคำเยินยอจากผู้คนในหมู่บ้านอีกครั้งสรรเสริญจนภายในใจของอวี๋หรูไห่นึกยินดีจนปล่อยวางความโกรธถึงแม้บนใบหน้าจะยังวางมาด แต่ภายในใจกลับปรีดาเหลือล้นเสียแล้ว
เสียงพูดคุยดังแว่วเข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออกอวี๋ฝูหลิงพึมพำเสียงเบา “ท่านปู่ของพวกเราช่างรักหน้าตาเสียจริง ทั้งๆที่อวี๋เจียวเป็คนรักษานายท่านมู่เหตุใดยามนี้ถึงไม่เอ่ยถึงความดีความชอบของอวี๋เจียวแม้แต่นิด”
อวี๋เจียวหัวเราะหลังได้ฟังนำตลับชาดหนึ่งตลับออกมาจากกล่องไม้แล้วส่งให้อวี๋ฝูหลิง “นี่ของพี่”
อวี๋ฝูหลิงเห็นอวี๋เจียวส่งตลับเล็กฝีมือประณีตมาให้จึงรับมาด้วยความประหลาดใจ“นี่คืออะไร?”
อวี๋เจียวบอกใบ้ให้นางเปิดออกดูด้วยตนเองอวี๋ฝูหลิงเปิดตลับออกด้วยความใคร่รู้ กลิ่นหอมลอยกระทบจมูก เมื่อเห็นผงสีชมพูอ่อนในตลับอวี๋ฝูหลิงเอ่ยด้วยความยินดีว่า “นี่คือผงชาด? หอมมากเ้าไปเอามาจากที่ใด?”
“นายท่านมู่ผู้นั้นส่งมาเป็ของแทนคำขอบคุณบอกว่าฮูหยินของเขาเลือกซื้อมาจากชิงโจว ข้าเอาให้พี่ฝูหลิงแล้วกัน”อวี๋เจียวยัดอีกหนึ่งตลับใส่มืออวี๋ฝูหลิง “ข้าไม่ชอบทาสิ่งนี้พี่ฝูหลิงเอาตลับนี้ไปให้พี่สะใภ้เมิ่งเยียน”
อวี๋ฝูหลิงชอบตลับชาดในมือมากจนไม่อาจวางมือ“เป็สตรีมีหรือจะไม่ชอบผงชาด หากเอาตลับนี้ให้พี่สะใภ้เมิ่งเยียน เ้าก็จะไม่มีแล้วในเมื่อฮูหยินมู่ซื้อมาจากชิงโจวก็น่าจะราคาแพงไม่น้อยเ้าไม่เก็บไว้เองสักตลับหรือ?”
“พี่รับไปเถิด ข้าไม่ชอบของสิ่งนี้จริงๆ ”อวี๋เจียวเอ่ยเร่งเร้าทั้งรอยยิ้ม
อวี๋ฝูหลิงปิดฝาตลับผงชาดของตนแล้วเอาไปซ่อนไว้ในกล่องไม้ตรงหัวเตียงตามด้วยเอาตลับชาดอีกหนึ่งตลับมุ่งหน้าไปเรือนฝั่งตะวันตก
หวังเมิ่งเยียนกำลังปลอบสตรีแซ่จางเมื่อได้รับตลับชาดที่อวี๋ฝูหลิงส่งมาให้จึงดีใจยิ่งนักนายท่านมู่ผู้นั้นมอบให้อวี๋เจียวทั้งหมดแค่สองตลับ นางช่างใส่ใจจริงๆยังรู้จักส่งมาให้ตนหนึ่งตลับ
ความทรงจำที่หวังเมิ่งเยียนมีต่ออวี๋เจียวค่อยๆดีขึ้น ยังกำชับอวี๋ฝูหลิงให้กลับมาขอบคุณอวี๋เจียว
อวี๋เจียวไปพลิกสมุนไพรที่ตากแห้งในลานเรือนหลังเก็บมาจากบนเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนสตรีแซ่ซ่งทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อได้ยินผู้เฒ่าอวี๋ยังคงพูดคุยกับคนในหมู่บ้านอยู่ในห้องโถงโดยไม่มีทีท่าจะตั้งสำรับนางจึงไปเรือนฝั่งตะวันตกเพื่อพูดคุยกับสตรีแซ่จาง
หลังจากอวี๋เจียวพลิกสมุนไพรตากแห้งเรียบร้อยนางย้ายม้านั่งมานั่งอาบแดดในลานเรือน แสงอาทิตย์ร้อนแผดเผาสาดส่องลงบนกายคล้ายกับภายในใจพานอบอุ่นไปด้วยเช่นกัน
หลังจากอาบแดดครู่หนึ่งกลับเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาอวี๋เจียวบิดเอวไล่ความเกียจคร้าน คิดว่าหลังจากกินข้าวเสร็จจะงีบกลางวันสักครู่ทว่าทันใดนั้นมีเสียงดังมาจากหน้าประตูจวนอย่างกะทันหัน “แม่นางเมิ่งคนที่รักษาฉีเกอเอ๋อร์ของพวกเราจนหายดีก็คือแม่นางเมิ่ง!”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเอ่ยนอกจวนมีเสียงร้องะโมาทางอวี๋เจียวว่า “แม่นางเมิ่งข้าพาภรรยาของข้ามาแสดงการขอบคุณถึงจวนแล้ว”
อวี๋เจียวได้ยินเสียงจึงหรี่ตามองไปทางนอกประตูจวน
ผู้พูดก็คือผู้ดูแลสกุลจางข้างกายเขามีสตรีวัยกลางคนนางหนึ่งยืนอยู่ สตรีนางนั้นจูงมือฉีเกอเอ๋อร์หนึ่งครอบครัวสามคนเดินเข้ามาในลานเรือน สตรีวัยกลางคนแย้มยิ้มให้อวี๋เจียว“แม่นางเมิ่ง ข้าได้ยินบุรุษของข้าบอกมาแล้ว เื่อาการป่วยของฉีเกอเอ๋อร์ช่างโชคดีเหลือเกินที่มีเ้าต้องขอบคุณเ้ามากจริงๆ”
อวี๋เจียวลุกขึ้นยืนเอ่ยอย่างนอบน้อมถ่อมตนว่า “ไม่ต้องเกรงใจเ้าค่ะ ล้วนแต่เป็หน้าที่ของหมอ”
สตรีนางนั้นลูบหัวฉีเกอเอ๋อร์เอ่ยทั้งรอยยิ้มอย่างเป็มิตรว่า “นับั้แ่ใช้ยาของแม่นาง ตลอดหลายวันมานี้ฉีเกอเอ๋อร์ของพวกเราไม่มีอาการสักครั้งข้าลองคำนวณวันเวลา กินยาตามเทียบยาของท่านเป็เวลาหนึ่งเดือนแล้วจึงคิดจะพาฉีเกอเอ๋อร์มาให้ท่านตรวจดูสักหน่อยว่าลมอุดตันหายไปแล้วหรือไม่?”
อวี๋เจียวมองไปทางจางฉีแล้วกวักมือเรียกเอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า “มา ให้พี่จับชีพจรดูสักหน่อย”
จางฉีมีความรู้สึกอันดีต่ออวี๋เจียวอย่างมากเขาเดินเข้าไปตรงหน้าอวี๋เจียวอย่างว่าง่ายแล้วยื่นมือออกไป
ครั้นคนในหมู่บ้านได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวและเห็นสถานการณ์ภายในลานเรือนจึงเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า“นั่นคือสะใภ้เสริมมงคลที่ท่านหมออวี๋ซื้อตัวมาให้เ้าห้ากระมัง? นางกำลังทำอะไร? หรือว่าตรวจไข้ให้ผู้อื่นเลียนแบบท่าน?”