"หลางจวินช่างเก่งกาจยิ่งนัก พูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนหน้าไม่อายเ่าั้ต้องถอยกลับแทบไม่ทัน"
อูหลันฮวามองบุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเทิดทูนบูชา ใบหน้าที่มีแผลเป็จางๆ ไร้อารมณ์ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง แต่ในสายตานางกลับเห็นเป็ชายหนุ่มผู้มีความคิดแยบคายล้ำลึก น่าเลื่อมใส
"แค่เขาเอ่ยปาก ข้าก็รู้แล้วว่าเื่ต้องยุติแน่นอน"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มกว้าง ใบหน้าแสดงความปลาบปลื้มและภาคภูมิใจโดยไม่รู้ตัว
"ฮึ หากไม่เพราะพวกเราต้องเร่งเดินทาง ข้าคงจะอัดพวกเขาคว่ำไปแล้ว คราก่อนคงเบามือเกินไปถึงไม่รู้จัดเข็ด"
อูหลันฮวากำหมัดแน่นพลางขบกรามกรอด
"สามารถแก้ปัญหาได้โดยเร็ว ดีกว่าเสียเวลาไปชกต่อยคน"
เหลียนเซวียนปรายตามาที่นาง
อูหลันฮวาก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมทันที "เ้าค่ะ"
"ใช้กำลังแล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาให้ดีขึ้นได้หรือ" เหลียนเซวียนถาม
"ไม่ได้เ้าค่ะ" อูหลันฮวาส่ายหน้า อุปนิสัยของคนเ่าั้ถึงตายก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
"ดังนั้นไม่จำเป็ต้องเสียเวลากับเื่ไร้ประโยชน์พรรค์นั้น"
ยากนักที่เหลียนเซวียนจะเอ่ยถ้อยคำสั่งสอน คนที่นั่งบนเกวียนต่างตั้งใจฟัง
เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกายเหลียนเซวียน คอยจับอาเหลยที่ยุกยิกตลอดเวลา บางครั้งก็เอื้อมมือไปลูบไหล่ของมัน เพื่อเป็การปลอบประโลมให้คลายความตื่นเต้น
ซีต้าเฉียงซึ่งบังคับรถอยู่ได้ยินก็หันไปมองเหลียนเซวียนปราดหนึ่ง
ในใจนึกทอดถอนใจมิคลาย อูหลันฮวากับสือโถวชาติก่อนคงทำบุญไว้ ชาตินี้ถึงโชคดีมีวาสนาได้ติดตามพวกเขาสองสามีภรรยา
สถานะของเหลียนหลางจวินน่าจะไม่ธรรมดา ซีต้าเฉียงค่อนข้างมั่นใจ
"ต้าเหนียงจื่อ ต่อไปพวกเราสามารถไปหาพวกท่านที่แคว้นฉีได้จริงๆ หรือ" ซีมู่เซิงลอบมองบิดาก่อนกระซิบถาม
ชายหนุ่มวัยสิบห้าสิบหกก็มักอยากออกไปัักับโลกกว้างที่ตนไม่รู้จัก
เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปมองเหลียนเซวียน เห็นเขาไม่คิดจะตอบ จึงกัดฟันตอบไปว่าได้
เมื่อเขาเอ่ยปากเอง ก็ต้องรับผิดชอบ
พอคิดได้แบบนี้ ภายในใจก็ไม่รู้สึกติดค้างอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่อยู่ห่างไกลกับแคว้นฉีมาก ซีต้าเฉียงคงไม่ได้พาพวกเขาแล่นไปไกลถึงเพียงนั้น
เหลียนเซวียนััได้ถึงสายตาของนาง ริมฝีปากบางก็เม้มน้อยๆ
ตรอกลี่จื่อสกุลเหลยคือคฤหาสน์ของเหลยลี่ มีเหลยลี่อยู่ย่อมจะมีคนช่วยต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือน
ซีต้าเฉียงปรายตามองบุตรชาย แต่มิได้ห้ามปราม คนหนุ่มใครบ้างไม่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาััโลกภายนอก
แคว้นฉีเจริญรุ่งเรือง ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ดีกว่าแคว้นหลีของพวกเขาเป็ไหนๆ เหลือทางหนีทีไล่เผื่อไว้บ้าง ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจได้ใช้
ถนนละแวกเมืองหลินอันเป็ทางลูกรังเป็หลุมเป็บ่อ ผ่านทางลาด่หนึ่งก็ต้องไต่ไปตามสันเขา ขึ้นเขาลงเนิน เลี้ยววกไปวนมา
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เซวียเสี่ยวหรั่นกับเซวียเสี่ยวเหล่ยก็หน้าซีดราวกับแผ่นกระดาษ
ทั้งสองต่างคลื่นเหียนวิงเวียน แทบลงไปคลานบนผ้าห่มของตนเอง
"ต้าเหนียงจื่อ หากไม่ไหวจริงๆ ก็ลงไปนอนพักเถอะเ้าค่ะ ตื่นขึ้นมาก็ถึงเมืองพอดี" อูหลันฮวาช่วยตบหลังเบาๆ "คุณชายน้อย ท่านหลับตาพักสักครู่เถอะเ้าค่ะ"
สองพี่น้องเหมือนกันไม่มีผิด แม้แต่เมารถก็ยังเหมือนกัน
"โคลงเคลงขนาดนี้ ไหนเลยจะหลับลงได้" เซวียเสี่ยวหรั่นยกมือกุมอก ข่มกลั้นอาการคลื่นไส้สุดชีวิต
เซวียเสี่ยวเหล่ยกอดผ้าส่ายหน้า ดวงหน้าน้อยขาวซีด แค่ดูก็รู้ว่าเขาทรมานมากจริงๆ
เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปากมองเซวียเสี่ยวหรั่น หรือว่าเขาจะช่วยนวดกดจุดบรรเทาอาการวิงเวียนให้นางดี แต่บนรถคนเยอะ ไม่ค่อยสะดวกนัก
อาเหลยกลับเรียบร้อยดี ในกระบุงมีถั่วลิสง มันก็หยิบออกมาแทะเล่น ไม่ก่อเื่วุ่นวาย
"คอยสักครู่" ซีมู่เซิงะโลงจากเกวียนที่ยังคงเคลื่อนที่ไปช้าๆ หลังจากนั้นก็ไปขอขิงหัวหนึ่งจากหญิงสูงวัยที่กำลังเด็ดผักอยู่ข้างทาง
แล้วกลับมาบนรถหยิบมีดสั้นมาฝานเป็แผ่น
"เอ้า สือโถว อมไว้ใต้ลิ้นแผ่นหนึ่ง อีกแผ่นก็วางใต้จมูกเอาไว้ดม" ซีมู่เซิงส่งขิงแผ่นให้เซวียเสี่ยวเหล่ย
เซวียเสี่ยวเหล่ยทำตาม รสเผ็ดร้อนของขิงสดทำให้เขาซึ่งกำลังเวียนศีรษะสติแจ่มชัดขึ้นมาไม่น้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นถือขิงสดในมือ ยิ้มกล่าวขอบคุณซีมู่เซิง "เส้นทางูเาของพวกท่านที่นี่สุดจะฝืนทนจริงๆ ไม่รู้กี่เลี้ยวกี่โค้ง"
ทางโค้งเยอะ เนินเขาก็เยอะ สภาพถนนก็ไม่ดีเท่าไร นั่งรถก็ไม่ต่างกับถูกทรมาทรกรรม
ซีมู่เซิงหัวเราะแหะๆ "ชินเมื่อไรก็ดีเอง"
เมื่อได้สูดกลิ่นขิง สีหน้าของสองพี่น้องก็นับว่าดีขึ้นมาบ้าง
จนกระทั่งมาถึงเมืองหลินอัน เซวียเสี่ยวหรั่นก้าวลงจากเกวียนค่อยรู้สึกสบายขึ้นมาก
"เฮ้อ ได้เหยียบพื้นดินค่อยรู้สึกมั่นคงหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นประคองเหลียนเซวียนลงจากเกวียน อูหลันฮวารีบส่งไม้เท้าให้
มาถึงเมืองหลันอันไม่นับว่าสายมาก พวกเขาพักเกวียนไว้หน้าประตูเมือง
ยามนี้คนที่เข้ามายังไม่นับว่าเยอะ
กำแพงเมืองสูงตระหง่านผ่านความผันผวนทางประวัติศาสตร์มามากมาย เหนือกำแพงยังมีรอยร้าวและตะไคร่น้ำเขียวครึ้ม มีทหารลาดตระเวนคอยเฝ้ารักษาการณ์ยืนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่่แขน ผืนธงโบกสะบัดไปตามลมโชย
นี่เป็ครั้งแรกที่เซวียเสี่ยวหรั่นััได้ถึงความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองโบราณ
"ประตูเมืองนี้สูงจัง" เธออุทานเบาๆ
เหลียนเซวียนตวัดสายตามาปราดหนึ่ง ประตูเมืองเล็กๆ จะสูงแค่ไหนกันเชียว"
"ท่านลุงซี ทหารเฝ้าประตูเมืองจะตรวจสอบใบผ่านทางอันใดหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นกระซิบถามซีต้าเฉียง
"ที่นี่ไม่ต้อง แต่เข้าเมืองต้องจ่ายภาษีผ่านทาง" ซีต้าเฉียงกระซิบอธิบาย "แคว้นหลีมีาและจลาจลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ราชสำนักก็ประสบปัญหาการเงิน ดังนั้นหลายปีมานี้ถึงเก็บภาษีผ่านทาง ทุกคนที่ผ่านประตูเมืองต้องจ่ายสองอีแปะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้า ราชสำนักประสบปัญหาการเงิน ปวงประชาก็พลอยเดือดร้อนกันถ้วนหน้า เธอหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ นับเหรียญทองแดงอีแปะส่งให้ซีต้าเฉียง
ชายวัยกลางคนรับเงินมาโดยไม่กระบิดกระบวน
คณะคนผ่านเข้าประตูเมืองไปอย่างช้าๆ อาเหลยยังคงนั่งเรียบร้อยที่คอถูกล่ามด้วยเชือกป่าน สถานที่คนเยอะ แต่มันก็ยังคงสงบเสงี่ยมดี
ซีต้าเฉียงค้อมเอวส่งเหรียญทองแดงที่เตรียมไว้ให้ทหารเฝ้าประตู
พวกเขามากันหกคน แต่ละคนจ่ายสองอีแปะ ก็ต้องจ่ายทั้งหมดสิบสองอีแปะ
ทหารรับเหรียญทองแดงมาแล้ว ก็ทำเป็ตรวจสอบของอย่างไม่นำพานัก จากนั้นก็กวาดตามองพวกเขารอบหนึ่ง
ยามเห็นเซวียเสี่ยวหรั่นสายตาก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ
ทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกชาหนังศีรษะ
เคราะห์ดีที่มองไม่นาน หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้พวกเขาผ่านได้
เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
วันนี้เธอจงใจสวมเสื้อสีเหลืองอ่อนกับกระโปรงสีงาช้าง แต่งกายธรรมดาที่สุด ผมก็เกล้าขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่มีเครื่องประดับปิ่นปักผมอะไรทั้งนั้น
นอกจากดวงหน้าขาวใสเกลี้ยงเกลาหน่อย รูปโฉมภายนอกก็ไม่นับว่าโดดเด่นมากเสียจนผู้คนต้องตื่นตะลึงในความงดงาม
ยิ่งไปกว่านั้น คนเราอาศัยความสามารถสามส่วน การแต่งกายเจ็ดส่วน เธอสวมชุดสีจืดชืด ความประทับใจแรกย่อมเบาบางลงไม่น้อย
ที่เ้าอ้วนจากขู่หลิ่งถุนผู้นั้นจ้องนางไม่ละสายตา คงเป็เพราะหญิงงามในหมู่บ้านมีน้อยมากกระมัง
แบบนี้ก็ดี รูปโฉมงดงามเกินไปก็เป็ความลำบากอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในดินแดงที่ระส่ำระสายไร้ความมั่นคง หญิงสาวหน้าตาสะสวยย่อมตกเป็เป้าสายตาของคนถ่อยได้ง่าย
ยามอยู่นอกบ้าน การสงบเสงี่ยมเจียมตนถึงจะเป็วิถีที่ถูกต้อง
