เวลาพลบค่ำ ณ จวนเยี่ยนอ๋อง
เมื่อจ้าวอี้รายงานเื่ราวต่อเกาซิ่วผู้เป็เยี่ยนหวังเฟยเรียบร้อยแล้วก็เล่าเื่ที่ไปจวนเจียงให้อีกฝ่ายฟังต่อไป
เกาซิ่วไม่เสียทีที่เป็ชายาเอกของเยี่ยนอ๋อง เมื่อได้ฟังเื่ราวถึงตอนที่ต้องกินเนื้อศัตรูก็หน้าไม่เปลี่ยนสี จนกระทั่งจ้าวอี้เล่าจบจึงค่อยเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “ญาติผู้น้องอายุพอๆ กับโม่เสวียน มีแต่คำพูดของเขาที่โม่เสวียนจะยอมฟัง”
นางมีบุตรชายสองคน บุตรคนโตคือ รัชทายาทของเยี่ยนอ๋อง จำต้องเป็ผู้โดดเด่นเหนือผู้คน ส่วนบุตรชายคนเล็กก็คือ โจวโม่เสวียน นางคลอดออกมาได้ดียิ่ง ถึงกับปากหวานทั้งยังรู้จักประจบประแจงผู้คนให้ชมชอบ ถูกนางเลี้ยงดูอย่างสุขสบายจนคุ้นชินเสียแล้ว
ตอนที่นางทราบว่าโจวโม่เสวียนอยากเข้าร่วมกองทัพก็รู้สึกกังวลเป็อย่างยิ่ง วันนี้เจียงชิงอวิ๋นกล่าวคำพูดเ่าั้ต่อโจวโม่เสวียนจึงนับว่าถูกใจนางพอดี
คนข้างกายที่จะพูดจาตรงไปตรงมากับโจวโม่เสวียนได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะมีก็แต่ยอดอาจารย์และสหายประเสริฐเท่านั้นกระมัง มีเจียงชิงอวิ๋นที่กล่าวเตือนอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดอ้อมค้อมเช่นนี้ นับว่าเป็เื่ที่ดีต่อโจวโม่เสวียนอย่างยิ่งยวด
“พ่ะย่ะค่ะ นายน้อยเป็ผู้มีความรู้ความสามารถสูงส่ง ทั้งยังเดินทางออกเรียนรู้ไปทุกที่จึงพบเห็นเื่ราวมากมาย” เมื่อผ่านเื่ราวในวันนี้ไป จ้าวอี้ถึงกับประเมินเจียงชิงอวิ๋นสูงขึ้นอีกมากทีเดียว
เกาซิ่วคิดในใจว่า ต่อไปคงต้องให้โจวโม่เสวียนไปมาหาสู่กับญาติผู้น้องให้มากเสียหน่อยแล้ว
จนกระทั่งถึงยามค่ำ เกาซิ่วจึงนำเื่นี้ไปบอกต่อเยี่ยนอ๋องโจวปิง เมื่อเล่าจบแล้วจึงถามต่อว่า “ท่านอ๋อง เหตุใดเมื่อวานท่านจึงปฏิเสธเื่ที่โม่เสวียนจะเข้าร่วมกองทัพหรือเพคะ?” ในฐานะที่เป็ชายาเอกของเยี่ยนอ๋องนางทราบมานานแล้วว่า บุตรชายจะต้องเข้าร่วมกองทัพเยี่ยนและเข้าร่วมา จึงไม่มีความคิดที่จะคัดค้าน เพียงอยากฟังความคิดของเยี่ยนอ๋องเท่านั้น
โจวปิงกล่าวขึ้นว่า “โม่เสวียนยังอายุน้อยเกินไป กระดูกกระเดี้ยวยังเติบโตได้อีก นอกจากนี้เขามีนิสัยใจร้อน ข้ากลัวว่าเขาเข้าร่วมกองทัพแล้วจะทนลำบากไม่ไหว ไม่กี่วันก็ต้องก่อเื่กลับมาแน่”
หลายปีก่อน เยี่ยนอ๋องผู้เฒ่ารักภรรยาน้อยจนละเลยภรรยาเอก โจวปิงและฉินไท่เฟยพระมารดาแทบไม่มีที่ยืนในจวนเยี่ยนอ๋อง เพื่อสนับสนุนแม่ทัพแต่ละคนของกองทัพเยี่ยน โจวปิงจึงต้องเข้าร่วมกองทัพั้แ่อายุสิบสาม ไต่เต้าจากตำแหน่งต่ำที่สุด พบเจอความลำบากมานับไม่ถ้วน ข้ามผ่านความเป็ความตายมาหลายครั้งหลายคราจนมีโรคเรื้อรังฝังแน่นถึงกระดูก…
โจวปิงไม่อยากให้บุตรชายเดินซ้ำรอยตน มิใช่เพียงโจวโม่เสวียนเท่านั้น กระทั่งรัชทายาทโจวจิ่งวั่งก็ยังต้องรอจนเขาอายุสิบหก จึงค่อยให้เข้าร่วมกองทัพ
เกาซิ่วกล่าวเสียงอ่อย “ท่านอ๋อง ท่านว่าให้โม่เสวียนเข้ากองทัพรักษาเมืองเยี่ยน เพื่อฝึกความอดทนเสียก่อนดีหรือไม่เพคะ?”
กองทัพรักษาเมืองย่อมไม่อาจเทียบได้กับกองทัพเยี่ยน แต่ยังนับว่าอยู่ภายใต้การดูแลของเยี่ยนอ๋อง แม่ทัพรักษาเมืองจึงไม่กล้ากระทำการใดลวกๆ ดังนั้นทัพรักษาเมืองจึงมีระเบียบวินัยเข้มงวด ฝึกฝนตลอดทั้งหนึ่งปีสี่ฤดู ชุดเกราะและอาวุธก็ไม่เลวนัก แข็งแกร่งกว่ากองทัพรักษาเมืองบริเวณดินแดนส่วนในอยู่มาก
ที่สำคัญก็คือ กองทัพรักษาเมืองอยู่ในพื้นที่ของเมืองเยี่ยน ซึ่งอยู่ห่างจากจวนเยี่ยนอ๋องไม่ไกลนัก หากโจวโม่เสวียนเข้าร่วมกองทัพรักษาเมือง เกาซิ่วและฉินไท่เฟยอยากไปเยี่ยมเมื่อใดก็ย่อมได้
“อีกอย่าง” ในความคิดของโจวปิงปรากฏภาพรอยยิ้มของโจวโม่เสวียน เ้าเด็กที่เกิดมาตัวเล็กเท่าเม็ดถั่วเติบใหญ่เพียงนี้แล้ว เพิ่งอายุสิบสอง แต่วรยุทธ์กลับแข็งแกร่งกว่าผู้ใต้บัญชาของเขาเสียอีก ไม่เสียทีที่เป็เืเนื้อเชื้อไขของเขา
“ท่านอ๋องทรงสรวลอะไรหรือเพคะ”
“ซิ่วซิ่ว เ้าคลอดบุตรให้ข้าอีกคนเถิด” โจวปิงเงยหน้าหัวเราะลั่น ดวงตาร้อนแรงราวกับจะแผดเผาเกาซิ่วก็มิปาน
แม้จะเป็สามีภรรยากันมาเนิ่นนาน แต่เกาซิ่วก็ยังถูกคำพูดของโจวปิงทำเอาเขินอายจนหน้าแดง กล่าวด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดว่า “ท่านอ๋องกับหม่อมฉันมีหลานกันแล้ว ยังจะให้มีโอรสเพิ่มอีกหรือเพคะ หากลือออกไปคงถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะเป็แน่”
ณ ถนนดินของหมู่บ้านหลี่ วันนี้อากาศแจ่มใสไร้เมฆหมอก
หลี่หรูอี้มวยผมเป็ทรงเทพธิดา สวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียว ถือตะกร้าไผ่สานอยู่ใบหนึ่ง มีเจาไฉเดินตามมาด้านหลัง ส่วนเ้าตัวก็เดินพลิ้วเข้าไปยังประตูใหญ่ของบ้านสวี่
หม่าซื่อกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ตรงลานบ้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นพลันเห็นหลี่หรูอี้ที่ยามปกติไม่ค่อยมาหาถึงบ้านนัก เมื่อพิศดูการแต่งกายของอีกฝ่ายพบว่า ไม่แตกต่างอันใดกับคุณหนูตระกูลใหญ่ในตำบลจินจีเลย นางจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “หรูอี้ รีบเข้ามาเร็วเข้า”
หลี่หรูอี้เปิดผ้าสีเทาหม่นที่คลุมอยู่บนตะกร้าออกเผยให้เห็นของด้านในก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า “ท่านน้า นี่คือไส้หมูหมัก หัวใจหมูหมัก และหูหมูหมักที่บ้านข้าทำเอง พวกท่านเก็บไว้กินนะเ้าคะ”
“พวกเ้าเกรงใจเกินไปแล้ว” หม่าซื่อเคยกินเนื้อหมูหมักที่บ้านหลี่มาแล้วนับว่าเป็รสชาติแปลกใหม่ที่อร่อยยิ่ง เมื่อย้อนนึกอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย รีบรับตะกร้ามาด้วยท่าทางดีอกดีใจแล้วเดินเข้าไปในครัว “เ้ารีบนั่งลงเร็วเข้า ข้าจะไปรินน้ำหวานมาให้เ้า”
บ้านสวี่ยากจนมาก เดิมทีไม่มีกระทั่งน้ำตาลในบ้าน ทว่าตอนนี้อู่โก่วจื่อทำการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ พอหาเงินได้บ้าง จึงซื้อน้ำตาลให้น้องๆ กิน ซึ่งหม่าซื่อก็ได้ยึดน้ำตาลมาจากลูกๆ สองชั่ง นำมาชงเป็น้ำหวานไว้ให้แขกดื่ม
หลี่หรูอี้กวาดตามองไปรอบด้าน นอกจากหม่าซื่อแล้วก็ไม่มีผู้ใดอยู่อีก เงียบสงบเป็อย่างยิ่ง ดูท่าทางอู่โก่วจื่อและซื่อโก่วจื่อคงไปขายของกระมัง ส่วนเอ้อร์โก่วจื่อก็พาน้องๆ ขึ้นเขาไปเก็บซานจาแล้ว นางคิดอย่างทอดถอนใจว่า ปาโก่วจื่อที่อายุน้อยที่สุดในบ้านสวี่เพิ่งจะอายุสามขวบก็ต้องขึ้นเขาไปเก็บซานจาแล้ว เด็กในครอบครัวยากจนต้องโตเร็วกว่าอายุจริงๆ
หลี่หรูอี้นั่งอยู่ที่บ้านสวี่ครู่หนึ่ง หลังจากดื่มน้ำหวานหมดก็จะกลับบ้าน หม่าซื่อจึงรีบนำตะกร้าไผ่สานที่บรรจุไข่ไก่สิบฟองมามอบให้นาง
“ท่านน้า บ้านข้ามีไข่ไก่แล้วเ้าค่ะ ไข่ไก่พวกนี้ท่านเก็บไว้ให้น้องๆ กินเถิด”
“บ้านเ้ามีก็เป็ของบ้านเ้า ส่วนนี่เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของข้า” หม่าซื่อดื้อดึงยิ่งนัก เมื่อพบว่าชาวบ้านที่ผ่านทางมากำลังมองอยู่จึงรีบกระซิบเสียงเบา “ถุงเงินที่อู่โก่วจื่อทำ เมื่อนำไปขายทำให้ได้เงินมามาก ข้ารู้ว่านี่เป็ความคิดของเ้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก ของในบ้านที่พอจะหยิบออกมาได้ก็มีแต่ไข่ไก่แล้ว เ้าอย่าได้รังเกียจเลย”
หลี่หรูอี้มองไปยังหม่าซื่อก่อนกระซิบถาม “ท่านน้า ท่านทราบเื่ขายถุงเงินด้วยหรือ”
“ไม่กี่วันก่อน สตรีหลายคนในหมู่บ้านเห็นข้าก็รีบตรงเข้ามาขอบคุณ บอกว่าลูกสาวของพวกนางทำงานกับอู่โก่วจื่อจนมีรายได้ ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเค้นถามให้อู่โก่วจื่อบอกความจริง” หม่าซื่อคิดในใจว่า อู่โก่วจื่อทำเสียใหญ่โตเพียงนั้น ตนจะไม่รู้ได้หรือ
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างจริงใจ “จะทำการค้าก็ต้องมีเงินทุน ท่านเก็บไว้ให้อู่โก่วจื่อทำทุนเถิด”
“อืม... ข้ารู้แล้ว” ดวงตาของหม่าซื่อฉายแววตื่นเต้น นางเอ่ยด้วยเสียงที่แ่เบายิ่งขึ้นว่า “เมื่อวานอู่โก่วจื่อให้เงินข้ามาสามสิบทองแดง นางบอกว่าต่อไปก็จะให้เงินข้าอีก”
ปีนี้ซานโก่วจื่อ พี่สาวของอู่โก่วจื่ออายุสิบสามแล้ว นางไปเป็สาวใช้ให้ตระกูลใหญ่ในตำบล ทำงานหนึ่งฤดูเพิ่งจะได้เงินสามสิบทองแดง
อู่โก่วจื่อทำการค้าเพียงไม่กี่วัน พริบตาเดียวก็ให้เงินหม่าซื่อได้แล้วสามสิบทองแดง ดังนั้นหม่าซื่อจึงซาบซึ้งใจที่ หลี่หรูอี้ออกความคิดให้อู่โก่วจื่อ
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้รู้สึกดีใจแทนอู่โก่วจื่อจริงๆ
หม่าซื่อเดินออกไปส่งหลี่หรูอี้ถึงหน้าประตู นางยืนอยู่ที่ใต้ต้นสาลี่หน้าบ้านมองจนหลี่หรูอี้เดินลับตาไปแล้วจึงค่อยกลับเข้าไปข้างใน “เด็กดีเช่นนี้ต่อไปไม่รู้ว่าจะถูกลูกบ้านใดเอาเปรียบ” นางเห็นหลี่หรูอี้มาแต่เล็กแต่น้อย ในใจก็รู้สึกชื่นชอบหลี่หรูอี้ เพียงแต่น่าเสียดายที่บ้านสวี่ยากจนเหลือเกิน บุตรชายอย่างเอ้อร์โก่วจื่อหรือซื่อโก่วจื่อก็ไร้อนาคตไร้ความสามารถ…
จ้าวซื่อเห็นหลี่หรูอี้เดินถือไข่ไก่กลับมาก็กล่าวว่า “น้าหม่าของเ้าจริงๆ เลย เด็กๆ ที่บ้านผอมจนหน้าเหลืองหมดแล้วก็ยังไม่ยอมเก็บไข่ไก่ไว้ให้ลูกกิน แต่กลับเอามาให้พวกเรา”
“น้าหม่าไม่อยากติดหนี้น้ำใจพวกเราเ้าค่ะ” ในน้ำเสียงของหลี่หรูอี้เจือไปด้วยความเคารพที่มีต่อหม่าซื่อ
“ของพวกนี้เ้าไปให้น้าเฟิงของเ้าเถิด” จ้าวซื่อใกล้คลอดแล้ว ในบ้านไม่มีคนเฒ่าคนแก่และไม่มีญาติ เมื่อคิดว่าอีกไม่นานที่บ้านจะมีเด็กทารกเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ต่อไปหากจะจัดงานอาบน้ำทารก (ครบสามวัน) หรืองานครบเดือน ย่อมต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ วันนี้จึงคิดนำของขวัญไปมอบให้หลายครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบ้านตน
หลี่หรูอี้ถือตะกร้าบรรจุเนื้อหมูหมักและผักดองเดินออกจากบ้านไปอีกครั้ง
เมื่อมาถึงบ้านหวังไห่ พบว่าประตูเปิดค้างอยู่ครึ่งหนึ่ง เจาไฉเดินมุดเข้าไปแล้ว ส่วนนางกำลังคิดจะเคาะประตูเรียกคน ทันใดนั้นเองกลับมีเสียงที่เต็มไปด้วยความพรั่นพรึงของดรุณีน้อยดังแทรกออกมาจากด้านใน “ช่วยด้วย…”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้