เขาแบกรับความอัปยศอดสูมาหลายวัน เพื่อรอรับรู้ขอบเขตของโรคระบาด แต่เขากลับล้มเหลว
รู้สึกโง่ยิ่งนักที่ไม่อาจทำอะไรได้
ยามนี้เพียงพอแล้ว ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ทำได้เพียงตัดรากถอนโคน [1] กำจัดยายเด็กหน้าเหม็นนี้อย่างรวดเร็วเท่านั้น
หมอหลวงหลินคิดอย่างเ็า พูดด้วยรอยยิ้มครึ่งๆ กลางๆ เขาพูดประชดประชันว่า “หวางเฟยล้อเล่นแล้ว จือฟางติดตามท่านไป ส่วนกระหม่อมกับจือเซิงจะคอยเฝ้าอยู่นอกถ้ำเอง”
มู่จื่อหลิงเย้ยหยันในใจ เฮ่อ! คนชราผู้นี้ยังดื้อดึงไม่จบสิ้น?
“หมอหลวงหลิน ท่านเข้าใจสถานการณ์ยามนี้หรือไม่ มีสมบัติหายากในถ้ำที่้าคนเฝ้าหรือไม่?” จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็จับจ้องมาที่เขา ั์ตาลึกล้ำสดใส เล่ห์เหลี่ยมของหมอหลวงหลินดูเหมือนจะสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในดวงตาคู่งามของนาง
ชั่วขณะหนึ่ง หมอหลวงหลินถูกขัดขวางโดยคำพูดของมู่จื่อหลิงจนเขาไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาแย้งได้
กล่าวได้ว่า สีหน้าของเขายิ่งไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ น่าเกลียดยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลต่อความตั้งใจของหมอหลวงหลินที่จะไม่เข้าไปในถ้ำแต่อย่างใด
เมื่อไม่สามารถเสแสร้งได้อีกต่อไป ก็ไม่จำเป็ต้องยอมก้มหน้าให้ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้อีก
เห็นได้ว่าเท้าของหมอหลวงหลินดูเหมือนจะหยั่งรากอย่างมั่นคงบนพื้นแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งเขาก็ไม่พูดอะไรเลย
สาเหตุที่เขาไม่เข้าไปในถ้ำก่อนหน้านี้ ข้อแรก เขาเพียง้าใช้โอกาสนี้กำจัดยายเด็กหน้าเหม็น ข้อสอง กลิ่นเหม็นที่ออกมาจากถ้ำเป็สิ่งแปลกที่ยากจะทานทน
เมื่อไม่นานมานี้ เ้าหน้าที่และทหารหลายคนได้เข้าไปตรวจสอบ ใน่เวลานั้นพวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวเสียดแทงใจดังมาจากในถ้ำ เพียงแค่คนที่มาหลังจากนั้นไม่มีใครทราบเื่นี้
เนื่องจากเ้าหน้าที่และทหารเ่าั้ไม่เคยออกมาหลังจากเข้าไป เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนถูกฆ่าตาย แล้วเขาจะกล้าเข้าไปได้อย่างไร? หมอหลวงหลินลังเลใจ
คนชราผู้นี้้าเวลา แต่นางไม่มีเวลาให้เขามากมายเพียงนั้น ยิ่งเขาไม่อยากเข้าไป นางก็ยิ่งอยากให้เขาเข้าไป...ความหนาวเย็นอันน่าสะพรึงกลัวฉายผ่านดวงตามู่จื่อหลิง
ยามเห็นว่าหลินเกาฮั่นไม่ไหวติง มู่จื่อหลิงจึงใช้วิธีการที่เฉียบแหลมและตรงไปตรงมาที่สุด ทั้งยังพูดเสียงดัง “หลินเกาฮั่น คงไม่ใช่ว่าเ้าขี้ขลาดและกลัวปัญหาหรอกนะ ทำไมถึงไม่กล้าเข้าไป? เ้ามีชีวิตอยู่มานานอย่างไร้ประโยชน์แท้ๆ เหตุใดถึงห่วยเช่นนี้? หรือ...เ้าจงใจอยู่นอกถ้ำด้วยมีความคิดอื่นๆ หรือเ้ามีแผนอื่นใด?”
ยามพูดประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของมู่จื่อหลิงเ็ามาก ดวงตาใสไม่เป็พิษเป็ภัยของนางดูเหมือนจะควบแน่นเป็ชั้นน้ำแข็งที่แข็งตัวมานับพันปี เย็นจนยากจะหายใจ
ในท้ายที่สุดคำง่ายๆ ก็เปิดโปงแผนการและเล่ห์เหลี่ยมทั้งหมดในใจของหมอหลวงหลินอย่างไม่มีอะไรปิดบัง
กับหมอเ้าเล่ห์อย่างหมอหลวงหลินที่ได้เห็นโลกมานับไม่ถ้วนไม่จำเป็ต้องกล่าวถึง ด้วยเพียงครู่เดียวเขาก็ถูกยั่วยุโดยมู่จื่อหลิงอีกครั้ง
สิ่งที่คิดอยู่ในใจเขาไม่ใช่ความขลาดเขลาหรือกลัวตาย แต่เป็เขามีแผนอื่น...ในยามนี้หมอหลวงหลินมีความผิดอย่างเห็นได้ชัด
แต่แทนที่จะบอกว่าเขาถูกกระตุ้นด้วยการยั่วยุที่รุนแรง มันจะดีกว่าหากบอกว่าหมอหลวงหลินในยามนี้รู้สึกหวาดกลัวดวงตาเ็าเฉียบคมราวใบมีดของมู่จื่อหลิง
“เหม็น...” หมอหลวงหลินอ้าปาก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พูดไม่ออก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ที่แฝงความไม่พอใจอยู่ลึกๆ
“เหม็นอะไร หืม?” ดวงตาเ็าของมู่จื่อหลิงเหลือบมองอย่างสบายๆ น้ำเสียงที่สงบนิ่งราวกับน้ำ ปราศจากความอบอุ่นใดๆ “หรือว่าเปิ่นหวางเฟยกล่าวตรงจุดอย่างแท้จริง? เ้าถึงได้พาลโกรธออกมาเช่นนี้?”
มู่จื่อหลิงทำเสียงขึ้นจมูก แต่ได้ยินชัดเจน พูดเสียงต่ำ เต็มไปด้วยกลิ่นอายทรงพลัง
หมอหลวงหลินโกรธจนร่างแทบลุกเป็ไฟ แต่ในยามนี้ ความกลัวในใจเขายิ่งเลวร้ายขึ้นทุกขณะ
ยามคิดว่าเขาหลินเกาฮั่นผู้ซึ่งใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิตจะถูกข่มขู่ด้วยสายตาธรรมดาของยายเด็กหน้าเหม็นสารเลวผู้นี้ได้อย่างไร?
นี่มันเป็ไปได้อย่างไร?
แต่ในยามนี้ ภายใต้การจ้องมองโดยตรงของมู่จื่อหลิง หมอหลวงหลินรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ดวงตาของนางราวกับมีน้ำแข็งซึมออกมา จนใจเต้นระรัว
เด็กปรุงยาทั้งสองเคยถูกหมอหลวงหลินดุด่าอย่างรุนแรงเมื่อคราวที่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาเห็นว่าหมอหลวงหลินถูกมู่จื่อหลิงขายหน้าอีกครั้ง แม้จะโกรธ แต่คราวนี้พวกเขาไม่ได้แสดงอาการบุ่มบ่าม
เห็นได้ว่าพวกเขายังยืนนิ่ง สีหน้ายังคงเป็ปกติไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองมู่จื่อหลิงเป็ศัตรู หรือบางทีพวกเขาอาจถูกข่มขู่โดยความสง่างามที่มองไม่เห็นของมู่จื่อหลิงเช่นกัน
ในยามนี้ แม้แต่กุ่ยเม่ยที่ยืนอยู่ข้างกายมู่จื่อหลิงก็ยังตกตะลึงกับกลิ่นอายทรงอำนาจท่วมท้นของนาง
ดวงตาที่เ็าและโหดร้ายเช่นนั้น ไม่แปลกสำหรับเขา อีกทั้งเขายังคุ้นเคยกับมันเป็อย่างดี
เนื่องจากกุ่ยเม่ยเคยเห็นสายตาเย็นะเืเช่นนี้ของนายท่านของตนมาก่อน
ต่อหน้าสตรีผู้สง่างามและน่าเกรงขามผู้นี้ นางเพียงยืนอย่างสงบเสงี่ยม สายลมอ่อนพัดผ่านกระโปรงของนางจนพลิ้วไหว ทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวนางดูเหมือนม้วนภาพงามสง่า ทำให้คนไม่กล้าดูิ่
แม้ว่าใบหน้าเรียบเนียนงดงามของนางส่วนใหญ่จะถูกปกปิดด้วยหน้ากาก แต่กลิ่นอายเย็นะเืที่ส่งออกมาจากดวงตาอันตรายคู่นี้ กลับทำให้คนไม่กล้ามองนางโดยตรง
นอกจากนายท่านของตน กุ่ยเม่ยไม่คาดคิดว่าเขาจะได้เห็นดวงตาเยือกเย็นเช่นนี้จากผู้ใด
อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็หญิงสาวตัวเล็กบอบบาง!
ดวงตาเ็าเฉียบคมเช่นนี้ ดูเหมือนจะมองทะลุทุกสิ่ง ทำให้เกิดร่องรอยของความกลัวและสยดสยองส่องประกายผ่านก้นบึ้งหัวใจของหมอหลวงหลิน ความเย็นะเืพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้าของเขาที่ยืนอยู่บนพื้น
ชั่วขณะหนึ่ง หมอหลวงหลินรู้สึกเพียงว่าจุดที่เขายืนอย่างมั่นคง ภายใต้ฝ่าเท้าของเขากลับเหมือนถูกแทงด้วยเข็มนับไม่ถ้วน ทิ่มแทงถึงหัวใจ บังคับให้ก้าวออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจมู่จื่อหลิงจึงเย้ยหยันด้วยความพึงพอใจ
ยามจัดการกับคนชรามากเล่ห์ผู้นี้ สิ่งที่ไม่ควรทำคือการอ้อมค้อม ไม่เช่นนั้นเขาจะถือตัวว่าตนเป็ชามข้าว [2]
ขณะที่กุ่ยเม่ยก็สะดุ้งเฮือก มุมปากกระตุกอีกครั้ง ตามคาด หญิงผู้นี้คู่ควรกับนายท่าน พวกเขาเกิดมาพร้อมกับกลิ่นอายน่าเกรงขามที่น่ากลัวไม่ต่างกัน
หลินเกาฮั่นผู้นี้เป็เพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ ยังคิดจะสร้างคลื่นลมต่อหน้าหวางเฟย นี่คือสิ่งที่เขาสมควรได้รับไม่ใช่หรือ?
กุ่ยเม่ยมองหมอหลวงหลิน ลอบส่ายหัวเบาๆ สมองโดนประตูหนีบ [3] อย่างแท้จริง ทำแล้วก็ต้องรับผลที่ตามมา
ครั้งนี้ฝีเท้าของหมอหลวงหลินไม่เชื่องช้าราวคนใกล้ตายอีกต่อไป เขาเดินเร็วมาก แต่มู่จื่อหลิงยังคงใจร้อน
นางพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “มัวทำอะไรอยู่? ไม่ได้กินข้าวมาหรือ...จงเดินนำหน้าเปิ่นหวางเฟยไป!”
นำหน้า? หมอหลวงหลินตัวสั่นด้วยความกลัว
เขาไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาจะนำทางได้อย่างไร?
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ใช้กลิ่นอายของนางข่มขู่เขา ยามนี้นางยัง้าให้เขาเป็ผู้นำทางไปสู่ความตายอีกหรือ? เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหมอหลวงหลินจะไม่ยอมเป็ผู้นำทาง
แต่ก่อนที่เขาจะออกคำสั่ง เด็กปรุงยาทั้งสองที่รู้ใจเขาเป็อย่างดี ก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเป็ผู้นำทาง
ตราบใดที่ผู้ประสงค์ร้ายเหล่านี้อยู่ร่วมกันก็พอแล้ว...มู่จื่อหลิงเฝ้าดูอย่างเ็า หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่ดีต่อนาง นางจะไม่สนใจคนเหล่านี้เลย
แต่หากคนชราผู้นี้ยังคิดจะลอบเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ อีก ก็อย่าโทษนางที่ต้องขยับปาก
พวกเขาเข้าไปในถ้ำอย่างระมัดระวัง กลิ่นศพคาวคลุ้งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าพวกหมอหลวงหลินทั้งสามคนไม่อาจทนได้อีกต่อไป หมอหลวงหลินพยุงกายไปกับผนังถ้ำขรุขระ ย่อตัวลง เดินตามหลังไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อเทียบพวกหมอหลวงหลินทั้งสามคนกับมู่จื่อหลิงและกุ่ยเม่ยที่สวมหน้ากากพิเศษ พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งยังหายใจได้ตามปกติ จึงสบายกว่ามาก
ในที่สุดหมอหลวงหลินก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ใบหน้าซีดเผือด ไม่ว่าจะหอบเพียงใดเขาก็ไม่กล้าหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ “หวางเฟย กระหม่อม...ท่านช่วย...”
“หุบปาก!” มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว ตำหนิด้วยใบหน้าไม่พอใจ “เ้าอยากออกในยามนี้หรือ ข้าบอกเ้าแล้ว อย่าแม้แต่จะคิด!”
หมอหลวงหลินใมากจนเขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาแทบล้มลงบนพื้นโคลน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แต่กระหม่อม คนเฒ่าผู้นี้ ไม่อาจทนต่อกลิ่นนี้ได้แล้ว!”
น่ารำคาญจริง...มู่จื่อหลิงโยนหน้ากากสามอันให้พวกเขาโดยตรง ก่อนจะเดินนำหน้าพวกหมอหลวงหลินไป
ทันทีที่หมอหลวงหลินสวมหน้ากาก เขาก็โกรธมาก!
ไม่แปลกเลยว่าเหตุใดยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ถึงสงบนิ่งได้เช่นนั้น ปรากฏว่า นางมีของดีที่สามารถกลบกลิ่นเหม็นทั้งหมดได้ แต่กลับไม่นำออกมาจนถึงบัดนี้
ยายเด็กหน้าเหม็นสมควรตาย...หมอหลวงหลินจ้องมองมู่จื่อหลิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาชั่วร้ายมาจากด้านหลังนาง เขาอยากมองนางให้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก
แต่ใครจะรู้ ในยามนี้มู่จื่อหลิงราวกับมีตาด้านหลัง เสียงอันเยือกเย็นของนางดังก้องแ่เบาในถ้ำลึกแสนน่าสะพรึงกลัวนี้ “หลินเกาฮั่น ั้แ่เ้าเข้ามาในถ้ำนี้ เ้าควรทิ้งเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจของเ้าให้เปิ่นหวางเฟยสักหน่อยนะ ไม่อย่างนั้น เปิ่นหวางเฟยที่มีวิธีบังคับเ้าเข้ามา ย่อมต้องมีวิธีป้องกันไม่ให้เ้าออกไปเช่นกัน หากไม่เชื่อ เ้าก็ลองหายใจเข้าลึกๆ ดูสักครั้ง”
ข่มขู่ นี่เป็การขู่ของคนมากเล่ห์!
หมอหลวงหลินรู้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังคุกคามตน ในขณะที่เขาไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดของมู่จื่อหลิง ชั่วขณะหนึ่ง เขาลองหายใจเข้าลึกๆ อย่างเชื่อฟัง
มู่จื่อหลิงซึ่งกำลังเดินอยู่ข้างหน้า ได้ยินเสียงหายใจหนักๆ ของหมอหลวงหลินที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน นางแสดงความพึงพอใจออกมา
“ทำได้ดีมาก...” มู่จื่อหลิงยิ้มเยาะ “ลองดูฝ่ามือของตนสิ”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมา หมอหลวงหลินก็ตระหนักได้ในทันที...เขาตกหลุมกับดักของยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้อีกแล้ว เขามองมือเหี่ยวย่นของตนที่ปกคลุมไปด้วยิัหนา
ยามเห็นชั้นผิวสีม่วงเข้มแทรกซึมจากฝ่ามือ ทั้งยังมีอาการปวดแสบปวดร้อน หมอหลวงหลินรู้สึกอยากจะทิ้งหน้ากากบนใบหน้าตามสัญชาตญาณ
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้มู่จื่อหลิงหันหน้าไปมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “คิดให้ดีก่อนจะโยนทิ้งไป เ้าอยากจะถูกฆ่าด้วยกลิ่นเหม็นหรือแค่ทำตามคำสั่งอย่างตรงไปตรงมา? หากอยากตายจริงๆ เปิ่นหวางเฟยจะทำให้เ้าสมหวังในทันที”
“ท่าน ท่านแอบวางยาพิษ!” ใบหน้าของหมอหลวงหลินแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนไปมา ครู่หนึ่งม่วงอีกครู่ซีดขาว ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก
มู่จื่อหลิงไม่สนใจเขาอีก ขณะที่สังเกตสถานการณ์รอบข้าง นางถามกุ่ยเม่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “กุ่ยเม่ย ท่านอยู่กับเปิ่นหวางเฟยมานานแล้ว เ้าคิดว่าเปิ่นหวางเฟยผู้นี้จะทำสิ่งชั่วร้ายผิดศีลธรรมอย่างการลอบวางยาพิษหรือไม่?”
มุมปากกุ่ยเม่ยกระตุก แอบด่าในใจว่า ทำไมจะไม่ทำเล่า พิษไม่ใช่สิ่งที่ท่านทำบ่อยครั้ง แทบจะทำตลอดเวลาหรอกหรือ?
แน่นอนว่ากุ่ยเม่ยไม่กล้าพูดเช่นนั้น
ยามนี้กุ่ยเม่ยมีสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างให้ความร่วมมือว่า “หวางเฟยมีจิตใจงดงาม แม้จะเป็การวางยาพิษต่อเหล่าคนชั่วร้ายก็ย่อมทำอย่างโจ่งแจ้ง หมอหลวงหลินโปรดระวังคำพูด”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตัดรากถอนโคน (斩草除根) เป็สำนวน มีความหมายว่า ทำลายล้างคนชั่วให้สิ้นซาก หรือกำจัดศัตรูให้หมดสิ้น
[2] ถือตัวว่าตนเป็ชามข้าว (把自己当盘菜) เป็วลี มีความหมายว่า คิดว่าตนเองมีความอหังการ หยิ่งยโส เก่งกล้า
[3] สมองโดนประตูหนีบ (脑子真是被门) เป็วลี มีความหมายว่า คนงี่เง่า หรือคนโง่เขลา