รัตติกาลมืดมิดดุจหมึก หมู่ดาราทอแสงระยิบระยับ แสงจันทร์นวลกระจ่างดั่งแพรขาวปกคลุมไปทั่วผืนปฐี
เหลียนเซวียนนั่งเงียบๆ อยู่บนเนินดินที่ชายป่า สายตาทอดมองดวงดาวดารดาษเหนือท้องนภา สีหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด
"นายท่าน พิราบสื่อสารจากหงกูมาถึงแล้วขอรับ" เหลยลี่นำสารม้วนส่งให้
เหลียนเซวียนรับมาแล้วเปิดออกดู อาศัยแสงจันทร์สุกสว่างอ่านเนื้อความสิบบรรทัดในสารจนครบ
มุมปากของเขายกขึ้นน้อยๆ พับกระดาษจดหมายส่งขึ้นให้เหลยลี่ "เผาทิ้ง"
"ขอรับ" เหลยลี่รับคำก่อนออกไป
เป็อย่างที่เขาคาดไว้ เห็นชัดว่าพวกเซวียเสี่ยวหรั่นยังปรับตัวกับการใช้ชีวิตในคฤหาสน์หลังใหญ่ไม่ได้ พวกเขาสองพี่น้องไม่ชอบให้ข้าทาสบริวารปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด
สิ่งเหล่านี้ เขารู้กระจ่างมาั้แ่แรก เื่บางเื่ต้องค่อยเป็ค่อยไปทีละขั้น จะใจร้อนไม่ได้
"พวกเขาถึงเมืองเฉียนเฟิงแล้ว?"
ผูหยางชิงหลันในอาภรณ์สีขาวเดินหน้าหงิกเข้ามา
หลังจากทั้งสองคุยกันเมื่อวาน วันนี้ผูหยางชิงหลันก็ไม่พูดกับเขาทั้งวัน
หากมิใช่ว่ามีธุระต้องถาม ก็คงไม่เอ่ยปากคำนี้
"อื้ม พักที่คฤหาสน์นอกของเสด็จพี่ใหญ่ชั่วคราว" เหลียนเซวียนมองเขาปราดหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างเกียจคร้าน
"เ้ากล้าปล่อยคนไว้ที่คฤหาสน์นอกของเฟิงอ๋องเชียว ไม่กลัวว่าบ่าวที่นั่นจะปากโป้งเปิดเผยสถานะของเ้ารึ" ผูหยางชิงหลันเลิกคิ้ว
"ไม่หรอก หาได้ยืมในนามข้าเสียหน่อย" เื่แบบนี้เหลียนเซวียนย่อมเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
"ชิ เ้าคนเหลี่ยมจัด ไม่ช้าก็เร็วเ้าก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี" ผูหยางชิงหลันแค่นเสียงเยาะ
เหลียนเซวียนทำตาขวางใส่ คำพูดนี้เ้าควรบอกตนเองมากกว่า
ผูหยางชิงหลันถูกมองเช่นนี้ก็ไม่พอใจนัก
"เซวียเสี่ยวหรั่นผู้นั้นเป็คนที่ไหนกันแน่ เหตุใดทั้งคำพูดและกิริยาท่าทางถึงได้ เอิ่ม... ดูแปลกไปจากทุกคน"
เหลียนเซวียนนิ่งงัน เขาจะบอกว่าตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันได้หรือ สตรีผู้นั้นไม่อยากบอก เขาก็ได้แต่รอวันที่นางยินดีเอ่ยปากออกมาเอง
"นางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กที่อยู่ไกลโพ้น ครอบครัวเดิมไม่มีเครือญาติหลงเหลืออยู่แล้ว"
เขาจงใจให้คำตอบที่ค่อนข้างคลุมเครือ
"นางวาจาฉาดฉาน ความรู้ไม่ธรรมดา ไม่น่าจะเป็สตรีจากท้องถิ่นห่างไกล คำสอนของปู่นางแม้ฟังดูพิลึกพิลั่นไปหน่อย แต่ในทางปฏิบัติกลับมีความเป็ไปได้"
ดวงตาของผูหยางชิงหลันขยับเล็กน้อย "หากที่นั่นของเ้าไม่สะดวก งั้นให้ข้าช่วยดูแลนางดีหรือไม่ รับรองจะต้อนรับขับสู้อย่างดีเช่นแขกผู้มีเกียรติ"
เหลียนเซวียนตวัดสายตาเ็ามา พร้อมวาจาสองคำ "ไม่ต้อง"
ผูหยางชิงหลันขยี้จมูก "หวังดีไม่ได้ดีตอบแทน สถานที่แวดล้อมไปด้วยฝูงหมาป่าเยี่ยงนั้น กล้าดีอย่างไรถึงลากคนเข้าไป"
แววตาของเหลียนเซวียนดำทะมึนยิ่งกว่าเดิมสามส่วน "ใครกล้ายื่นเท้าเข้ามาส่งเดช ก็ตัดขาผู้นั้นให้ขาดไปเสียก็สิ้นเื่"
"เฮอะ ควรจะเป็เช่นนี้มานานแล้ว กี่คนๆ มีแต่พวกนั่งก้นบ่อยลนภา [1] นอกจากชี้นิ้วสั่งการกับคุยโวโอ้อวดแล้ว ทำอะไรเป็บ้าง อย่างมากก็ทำได้แค่วางแผนลงมือลับหลัง เ้าชนะศึกใหญ่กลับมา คนอิจฉาริษยามีไม่น้อย หาไม่แล้ว เ้าจะเจอเคราะห์หนักเช่นนี้ได้อย่างไร"
แม้ผูหยางชิงหลันจะไม่ได้กลับเมืองหลวงมาหลายปี แต่สถานการณ์ของที่นั่นเขาก็ยังรู้แจ้ง
"โดยเฉพาะเ้าเด็กเหลี่ยมจัดเหลียนลี่ พิษในตัวเ้า เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลีกไม่พ้น"
หมู่เมฆบนท้องฟ้ายามราตรีเคลื่อนเข้าบดบังดวงจันทร์ครึ่งดวง แสงจันทร์ยิ่งซีดจางลงกว่าเดิม สีตาของเหลียนเซวียนภายใต้แสงจันทร์สลัวนิ่งลึกดุจน้ำก้นบ่อ
เหลียนลี่กับมู่กู่เหยา มู่กู่เหยากับสตรีผู้นั้นล้วนข้องเกี่ยวกันอย่างดิ้นไม่หลุด
"เ้าเป็คนทะนงตน แต่ไรมาไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา หึๆ ครานี้ต้องเสียท่าอย่างหนัก ก็ควรตระหนักตำแหน่งของตนเองได้แล้ว"
ผูหยางชิงหลันซ้ำเติมเขาไปเต็มเหนี่ยวไม่มีออมมือ
"ตกลงท่านจะกลับเมืองหลวงหรือไม่" เหลียนเซวียนคร้านจะสนใจการเยาะเย้ยถากถางของเขา จึงถามเข้าประเด็นสำคัญโดยตรง
ผูหยางชิงหลันถึงกับจุก พูดไม่ออกอยู่นาน ก่อนคายออกมาสองคำ "ไม่กลับ"
"หึ ถ้าไม่กลับ หากเสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้หย่งเจีย ข้าจะไม่ขัดขวางอีกแล้ว" สีหน้าของเหลียนเซวียนเยียบเย็นลง ไม่คิดเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป
พริบตานั้นใบหน้าผูหยางชิงหลันเปลี่ยนเป็แดงซ่านก่อนจะเอ่ยอย่างยากเย็น "ก็ไม่ควรขัดขวางแต่แรก"
เห็นอีกฝ่ายยังคงปากแข็ง เหลียนเซวียนก็หัวเราะเสียงเย็น "งั้นข้าจะไม่ยุ่งอีกแล้ว ใครจะเป็ฝ่ายเสียใจภายหลัง ถึงเวลาก็รู้เอง"
ผูหยางชิงหลันถลึงตาใส่เขา อัดอั้นตันใจสุดพรรณนา "สนใจเื่ของตนเองให้ดีเถอะ"
"เื่ของข้า ข้าจัดการเองได้ ถอนพิษเสร็จเมื่อไร ข้าจะกลับเมืองหลวงทันที ศิษย์พี่อยากทำอะไรก็เชิญ"
แต่ไรมาเหลียนเซวียนไม่ใช่คนนิสัยดีอะไร หากไม่เพราะเื่ของเขากับหย่งเจีย ใครจะมีความอดทนเกลี้ยกล่อมถึงเพียงนี้
"แต่ข้ายังมีข้อสงสัยที่อยากถามแม่นางผู้นั้นอยู่" ผูหยางชิงหลันเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเ็า พลันใจคอไม่ค่อยดี
"นั่นมันก็เื่ของท่าน จัดการเอาเองแล้วกัน" เหลียนเซวียนลุกขึ้น คิดจะกลับรถม้าไปพักผ่อน
"เฮ้... หรือไม่ให้นางอยู่เมืองเฉียนเฟิงนานขึ้นอีกหน่อย ผ่านไปสักระยะ ข้าจะให้คนส่งนางเข้าเมืองหลวงเอง" ผูหยางชิงหลันตามไป
"ฝันไปเถอะ" เหลียนเซวียนปฏิเสธ
"เ้าไม่ใช่นางสักหน่อย ถ้าผู้อื่นอาจเต็มใจอยู่เองล่ะ?" ผูหยางชิงหลันต่อความกับเขาอีก
"ไม่มีทาง" เหลียนเซวียนไม่ยั้งเท้า
"เฮอะ นั่นก็พูดยาก ถึงเวลาถ้านางยินดีอยู่ต่อ เ้าก็บีบบังคับพาคนไปไม่ได้" ผูหยางชิงหลันคว้าข้อมือเขาไว้
เหลียนเซวียนหยุดฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองเขา
รูปร่างของทั้งสองคล้ายคลึงกัน ต่างยืนประจันหน้าท่ามกลางความมืดแห่งราตรี ดวงเนตรฉายแววก้าวร้าว
"หากเ้ายินดีอยู่เฉียนเฟิงตลอดไปก็ได้"
รอยยิ้มมีเลศนัยประดับอยู่บนมุมปากของเหลียนเซวียน
"หมายความว่าอย่างไร" จู่ๆ หัวใจของผูหยางชิงหลันสะท้านขึ้นมา
"สองสามปีมานี้หย่งเจียตามหาเ้าหลายต่อหลายครั้ง แต่เ้าก็เอาแต่หลบซ่อนตัวไม่พบ ครานี้หากเ้ายินดีรอนางที่เมืองเฉียนเฟิง เสี่ยวหรั่นจะอยู่ต่ออีกสองสามวันก็ได้"
ผูหยางชิงหลันปล่อยมือทันที ดีดตัวไปข้างหลังราวกับกระต่าย "ข้า... อีกสักพักข้ามีธุระอื่นต้องไปทำ ไหนเลยจะมีเวลาอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ"
พูดจบ ก็กวาดมองสีหน้าของเหลียนเซวียนปราดหนึ่ง
"คนอย่างเ้าไม่เพียงแต่ใจดำ ใบหน้าก็ยังอัปลักษณ์"
หลังทิ้งวาจาด้วยน้ำเสียงสะอิดสะเอียนประโยคหนึ่ง ก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เหลียนเซวียนผู้ถูกตราหน้าว่าใจดำอัปลักษณ์ค่อยๆ เดินกลับรถม้าอย่างเอ้อระเหย
"อาจารย์อา นี่คือสีผึ้งหยกช่วยฟื้นฟูและสมานผิว อาจารย์ให้ข้าเอามามอบให้ท่านขอรับ"
อวี๋เฟิงหยางถือขวดหยกขาวมาใบหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างนอบน้อม
"อ้อ ข้ารู้แล้ว ฝากขอบคุณอาจารย์ของเ้าแทนข้าด้วย"
เหลียนเซวียนยิ้มบางๆ รับของไว้
พอเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมเพรียวราวต้นสนวิ่งไปไกลแล้ว เหลียนเซวียนก็เปิดฝาขวดออก สีผึ้งฉ่ำวาวเนื้อสีขาวมีกลิ่นหอมก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตา
ขณะมองขวดหยก ภาพเซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้าง ริมฝีปากสีชมพูอ้าค้างน้อยๆ ก็ผุดขึ้นในสมอง
ยามกลับไปถึง จะโกนหนวดเคราออกดีหรือไม่ เหลียนเซวียนยกมือลูบใบหน้า ท่าทางลำบากใจ
ถึงตอนนั้นนางจะจำเขาได้หรือเปล่า?
น่าจะได้กระมัง
เหลยลี่ซึ่งอยู่ไม่ไกล เห็นเ้านายมองขวดหยกใบนั้น แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ
นี่... คือองค์ชายเจ็ดผู้วางตัวสูงส่งเ็าเสมอมาของพวกเขาแน่หรือ?
...
[1] นั่งก้นบ่อยลนภา เป็ความเปรียบถึงคนวิสัยทัศน์สั้น เฉกเช่นการมองฟ้าจากก้นบ่อ ย่อมจะเห็นฟ้าแค่ในมุมที่จำกัด เปรียบสุภาษิตไทยคือกบในกะลา
