เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้ว เยว่เฟิงเกอก็เอาแต่ซุกหน้ากับผ้าห่ม ร้องไห้อยู่นานจนกระทั่งท้องส่งเสียงร้องออกมา นางถึงเพิ่งค้นพบว่าฟ้ามืดแล้ว
และตอนนี้เองชิงจื่อก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกล่องอาหารในมือ
เมื่อชิงจื่อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอร้องไห้จนดวงตาบวมแดงคล้ายลูกท้อสองลูก นางก็ใ รีบวางกล่องอาหารลงแล้วเดินมาข้างเตียง
“พระชายา ทรงเป็อันใดไปเพคะ เหตุใดจึงทรงกันแสง”
ชิงจื่อนึกไปว่าเยว่เฟิงเกออาจจะไม่สบาย จึงรีบยกมืออังหน้าผากผู้เป็นาย เมื่อพบว่าไม่มีอาการร้อนจัดอย่างคนเป็ไข้ นางถึงได้เบาใจลง
เยว่เฟิงเกอเดินลงจากเตียงมาที่หน้าโต๊ะ จากนั้นเปิดกล่องอาหารออกดู และได้เห็นว่าด้านในมีน้ำแกงหนึ่งอย่างและกับข้าวอีกสี่อย่างวางอยู่ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็ของที่นางชอบกิน
เยว่เฟิงเกอหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปาก นางกินไปก็พูดไปว่า “ข้าไม่เป็อะไร เ้าไม่ต้องเป็ห่วงข้า เมื่อครู่ข้าเพียงคิดถึงบ้านเท่านั้นถึงได้ร้องไห้ออกมา”
ชิงจื่อได้ยินเยว่เฟิงเกอบอกว่าคิดถึงบ้าน นางเองก็ขอบตาแดงก่ำพลางนึกถึงว่าั้แ่ที่พระชายาของนางแต่งมาที่นี่ พวกนางก็ไม่ได้กลับไปแคว้นเสวี่ยอวี้เป็เวลาปีกว่าแล้ว
พระชายาคิดถึงบ้านแล้ว ชิงจื่อเองก็คิดถึงพี่น้องของนางเช่นกัน
เยว่เฟิงเกอมองชิงจื่อไปทีหนึ่ง เห็นว่าคนแอบเช็ดน้ำตาปรอยๆ ก็ทำทีบอกให้นั่งลง
“นั่งลงกินข้าวด้วยกันเถอะ กินอิ่มแล้ว ก็จะไม่คิดถึงบ้านแล้ว”
ครั้งนี้ชิงจื่อไม่ปฏิเสธ นางนั่งลงข้างเยว่เฟิงเกอ จากนั้นจับตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารด้วยกัน
อาจเพราะอาหารมื้อนี้อร่อยยิ่งนัก ทั้งเยว่เฟิงเกอและชิงจื่อต่างก็ลืมเลือนเื่บ้านของตนเองไปชั่วขณะ คนทั้งสองเริ่มดื่มด่ำกับรสชาติตรงหน้า
เมื่อพวกนางกินเสร็จแล้ว ชิงจื่อก็เก็บกล่องอาหารแล้วเดินออกไปนอกเรือนก่อนจะพบเงาร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าเรือน
ชิงจื่อรีบยอบกายคารวะ “ท่านอ๋อง”
“คืนนี้เปิ่นหวางจะค้างแรมที่นี่ เ้าไม่ต้องเข้ามาอีก” ม่อหลิงหานไม่แม้แต่จะมองชิงจื่อ พูดเสียงเ็าจบก็ผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน
ชิงจื่อมองเยว่เฟิงเกอที่อยู่ด้านในหอห้องเพียงลำพังด้วยสีหน้าเป็กังวล นางอดเช็ดเหงื่อแทนพระชายาของตนไม่ได้
ยามที่ม่อหลิงหานเดินเข้ามาในเรือน เยว่เฟิงเกอเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเดินเบามาก แต่เยว่เฟิงเกอกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ยามนี้นางหันหลังออกไปด้านนอกด้วยท่าทีที่ไม่สนใจว่าผู้มาจะเป็ใคร ฉับพลันนั้นหยิบจอกน้ำบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเขวี้ยงไปทางด้านหลัง
ม่อหลิงหานเห็นว่าจอกใบนั้นพุ่งตรงมาทางตน เขาเพียงยื่นมือออกไปรับจอกนั้นไว้อย่างง่ายดาย
“พระชายาปฏิบัติกับสามีของตนเช่นนี้หรือ? ” เสียงทุ้มต่ำของม่อหลิงหานดังขึ้น
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไปมองทันที นางเห็นว่าม่อหลิงหานกำลังยืนอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ในมือยังถือจอกน้ำที่นางเพิ่งโยนไปด้วย
“เหตุใดถึงเป็ท่าน? ” เยว่เฟิงเกอคิดไม่ถึงว่าผู้มาเยือนตอนกลางค่ำกลางคืนจะเป็ม่อหลิงหาน นางใเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมาทำอะไรที่เรือนพักของนางเอาป่านนี้
“เหตุใดถึงเป็เปิ่นหวางไม่ได้? ” ม่อหลิงหานถามกลับ
เขามองดวงตาทั้งคู่ของเยว่เฟิงเกอที่บวมเป่งเหมือนลูกท้อ เหมือนว่าก่อนหน้านี้นางจะร้องไห้มา
เขาขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
เยว่เฟิงเกอรู้สึกว่าวันนี้ม่อหลิงหานช่างแปลกนัก ตลอดหนึ่งปีกว่ามานี้ เขาไม่เคยเหยียบย่างมาที่เรือนเยว่เหยาเลย คืนนี้เป็อะไรไป?
“ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่ทำอันใด? ” เยว่เฟิงเกอพูดพลางยืนขึ้น
เมื่อม่อหลิงหานได้ยินเสียงของเยว่เฟิงเกอที่แปร่งๆ ขึ้นจมูก เขาก็ยิ่งแน่ใจในความคิดของตน
ก่อนหน้านี้นางคงจะร้องไห้ไป และดูเหมือนว่าจะร้องอยู่นานด้วย
ม่อหลิงหานเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เขามองดวงตาแดงก่ำคู่นั้นของเยว่เฟิงเกอ จิตใจแปรเปลี่ยนเป็สับสนวุ่นวาย
“เ้าร้องไห้มาหรือ? มีคนรังแกเ้า? ” จู่ๆ ม่อหลิงหานก็เป็ห่วงเยว่เฟิงเกอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เยว่เฟิงเกอผินหน้าออก ไม่อยากให้ม่อหลิงหานจดจ้องดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ของนาง
“ข้าไม่ได้ร้อง และไม่ได้มีใครรังแกข้า หากว่าท่านอ๋องไม่มีอะไรแล้ว เชิญกลับไปเถอะเพคะ”
ม่อหลิงหานไม่ได้หมุนกายจากไปเพราะคำพูดของเยว่เฟิงเกอ ซ้ำยังเดินขึ้นหน้ามาอีกก้าว เพื่อร่นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง
“คืนนี้เปิ่นหวางจะค้างแรมที่นี่ เปิ่นหวางไม่ไปแล้ว”
คำพูดของม่อหลิงหาน ทำให้เยว่เฟิงเกอใได้สำเร็จ
นางไม่ได้ฟังผิดกระมัง เขาจะค้างแรมที่นี่?
เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่ ตลอดปีกว่ามานี้เขาไม่เคยมาค้างแรมที่นี่ แต่เหตุใดคืนนี้ถึงวิ่งมาพูดอะไรเช่นนี้
อีกอย่างที่นี่มีเตียงแค่หลังเดียว เขาจะมาค้างแรมที่นี่ เช่นนั้นนางจะนอนที่ใดเล่า?
“ท่านอ๋องอย่าทรงล้อเล่นอีกเลย ที่นี่มีเตียงแค่หลังเดียว ทั้งยังแข็งจนต้องร้องขอชีวิต ไม่อาจเทียบกับเตียงที่เรือนของท่านได้ เชิญท่านอ๋องกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ” เยว่เฟิงเกอพูดพลางถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ นางพยายามดึงระยะห่างระหว่างคนทั้งสองให้กว้างขึ้น
หากต้องใกล้ชิดกับม่อหลิงหานเกินไป นางมักรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ทว่า เมื่อม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอตั้งใจทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเขา เขาก็ขมวดคิ้ว
เขาไม่ชอบความรู้สึกเหินห่างเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ชอบความห่างเหินจากเยว่เฟิงเกอ
“มานี่” ม่อหลิงหานยื่นมือไปทางเยว่เฟิงเกอด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“ท่านบอกให้ข้าเข้าไป ข้าก็ต้องเข้าไปหรือ ข้าไม่ไป” เยว่เฟิงเกอค่อนแคะอยู่ในใจ ขาเองก็ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ม่อหลิงหานเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่พอใจ
เขาก้าวยาวๆ ขึ้นหน้ามารั้งเยว่เฟิงเกอเข้าไปในอ้อมแขน
“นี่ท่าน ปล่อยข้านะ” เยว่เฟิงเกอขมวดคิ้ว ผลักม่อหลิงหานออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ม่อหลิงหานก้มหน้ามองสตรีในอ้อมแขน นางมักจะทำท่าทางกางเขี้ยวเล็บคล้ายกับแมวป่าที่ยากจะฝึกให้เชื่องได้ ยามนี้นางกำลังดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนเขาไม่หยุด เขาจึงออกแรงแขนข้างที่กอดนางไว้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย
“เ้าเป็ชายาของเปิ่นหวาง ก็ต้องค้างแรมร่วมกับเปิ่นหวาง” ม่อหลิงหานไม่คิดจะปล่อยเยว่เฟิงเกอไปง่ายๆ
สำหรับแมวป่าที่ไม่ยอมเชื่องตัวนี้ ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเอาแต่เสแสร้งว่าอ่อนแอมาตลอด แต่ั้แ่ที่นางตกน้ำครานั้น นิสัยก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
ม่อหลิงหานไม่เชื่อหรอกว่า เพียงคนคนหนึ่งตกน้ำไป จะทำให้นิสัยเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อก่อนเขาดูถูกนางมากเกินไปจริงๆ เสแสร้งมานานเพียงนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็เสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้วกระมัง
“นอกจากเ้าจะเป็วิชาแพทย์และวรยุทธ์แล้ว ยังทำสิ่งใดได้อีก ถ้าอย่างไรวันนี้ก็แสดงให้เปิ่นหวางเห็นทั้งหมดเลยเป็อย่างไร” มุมปากของม่อหลิงหานโค้งขึ้นน้อยๆ ขณะมองสตรีในอ้อมแขนด้วยสายตาแน่วแน่
เยว่เฟิงเกอก้มหน้าลงไป อดกลอกตามองบนไม่ได้
มิน่าเล่าคืนนี้ม่อหลิงหานถึงได้วิ่งแจ้นมาถึงนี่ ดูท่าเขาคงอยากให้นางแสดงด้านอื่นๆ ให้เห็นอีกล่ะสิ
เพียงแต่ เขายิ่งอยากดู นางก็ยิ่งจะไม่ให้ดู
เยว่เฟิงเกอแหงนเงยใบหน้าอันประณีตงดงามของตนเพื่อสบจ้องม่อหลิงหาน “ไม่มีแล้ว หม่อมฉันทำเป็อยู่แค่สองอย่างนั้น”
ม่อหลิงหานมองดวงตาใสกระจ่างทั้งคู่ของเยว่เฟิงเกอที่กำลังสาดประกายวาววาม
เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดของนางอยู่แล้ว เพราะดูเหมือนนางจะไม่อยากแสดงด้านอื่นๆ ให้เขาเห็นในคราวเดียว เช่นนั้นให้เขารอก็ย่อมได้
จะอย่างไรนางก็เป็ชายาของเขา ขอแค่เขาไม่หย่ากับนาง นางก็ไปจากจวนอ๋องไม่ได้ ดังนั้น เขามีเวลาอีกมากที่จะเสียไปกับนาง
จู่ๆ ม่อหลิงหานก็ปล่อยมือ เยว่เฟิงเกอจึงรีบร้อนก้าวถอยหลัง นางเดินอ้อมโต๊ะไป ก่อนจะหมุนกายด้วยตั้งใจจะเดินออกไปนอกเรือน
“เ้าจะไปที่ใด? ” เสียงของม่อหลิงหานดังขึ้นเื้ั
เยว่เฟิงเกอตอบโดยไม่หันศีรษะกลับไป “ในเมื่อท่านอ๋องคิดจะค้างแรมที่นี่ เช่นนั้นคืนนี้หม่อมฉันจะออกไปพักด้านนอกเพคะ”
เยว่เฟิงเกอเดินมาถึงหน้าประตูเรือนแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวก็จะพ้นเรือนพักแห่งนี้แล้ว
ทว่า ขานางยังไม่ทันยกขึ้นข้ามธรณีประตู ร่างกายก็ถูกกำลังสายหนึ่งดึงเข้าหา
ม่อหลิงหานอุ้มเยว่เฟิงเกอขึ้นมา ก่อนจะโยนนางลงบนเตียงในขณะที่นางกำลังดิ้นรนไม่หยุด
เตียงหลังนี้ค่อนข้างแข็ง เมื่อก้นของเยว่เฟิงเกอกระแทกเข้ากับแผ่นกระดาน ความเจ็บร้าวแล่นพล่านจนนางร้องโอ๊ยออกมาเสียงดัง
นางกุมก้นส่วนที่เจ็บไว้ ะโใส่ม่อหลิงหาน “ม่อหลิงหาน ท่านรู้จักว่าสิ่งใดที่เรียกว่ารักหยกถนอมบุปผาบ้างหรือไม่ ท่านไม่รู้หรือว่าเตียงหลังนี้แข็งแค่ไหน ยังโยนข้าลงมาเต็มแรงเช่นนั้นอีก หากว่าท่านอยากจะเอาคืนข้านัก ก็ช่วยใช้วิธีที่อ่อนโยนกว่านี้สักหน่อยได้หรือไม่? ”
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอเอาแต่ลูบก้นปรอยๆ ก็รับรู้ได้ว่านางไม่เหมือนจะกำลังเสแสร้งอยู่
เขาค้อมกายลงไปลูบเตียง ถึงได้พบว่าเตียงหลังใหญ่นี้แข็งเกินไปจริงๆ
ดูท่าเตียงหลังนี้คงต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว มิฉะนั้นในอนาคตเขาคงไม่อาจค้างแรมที่นี่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้