“ภรรยา เมื่อคืนเ้าให้ข้านอนที่ห้องข้างๆ เ้าควรชดเชยให้ข้าใช่หรือไม่” เสียงทุ้มน่าดึงดูดดังขึ้นข้างหูของจิ่นเซวียนช้าๆ ราวกับเสียงของปีศาจที่เปี่ยมมนต์สะกด ทำให้ใจของจิ่นเซวียนสั่นไหว บุรุษตรงหน้ามิเพียงมีหน้าตาหล่อเหลา แต่เสียงยังไพเราะน่าฟังอีกด้วย อย่างไรเสียเขาก็คือสามีของนาง นางจะแทะโลมเขาสักหน่อยคงมิมากเกินไป
“เพื่อชดเชยให้ท่าน ข้าตัดสินใจว่า......”
“เ้าตัดสินใจว่า?”
ดวงตาสีดำสนิทแวววาวของซ่งจื่อเฉินปรากฏรอยยิ้ม รอคอยคำตอบของจิ่นเซวียน
“ข้าตัดสินใจว่าจะให้ท่านพักอยู่ห้องเดียวกับข้า” จิ่นเซวียนยิ้มเยาะ นางตอบปัดซ่งจื่อเฉิน ซ่งจื่อเฉินประท้วงอย่างมิพอใจ “ข้าอยากให้เ้าชดเชยคืนส่งตัวเข้าหอให้ข้า”
จิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินหยอกล้อกันอยู่ในห้องโดยลืมปิดประตู พานซื่อคิดว่าพวกเขามิได้ทำสิ่งใดกันอยู่ นางจึงยกชามบะหมี่เดินเข้าไป
หลังเข้าไปเห็นจิ่นเซวียนนั่งอยู่บนตักของซ่งจื่อเฉิน ลำตัวของทั้งสองคนติดกันราวเกลียวเชือกจนนางรู้สึกเก้อเขิน และยืนรออยู่ตรงธรณีประตูมิรู้ว่าจะเข้าหรือออกไปดี
“ขอโทษด้วย ข้ามิได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกเ้า......พวกเ้าตามสบายเถิด”
“พี่สะใภ้สาม บะหมี่ที่ท่านทำกลิ่นหอมยิ่งนัก” จิ่นเซวียนรีบะโออกจากอ้อมกอดของซ่งจื่อเฉิน ตรงไปหยิบชามบะหมี่ไข่จากมือพานซื่อ ความจริงแล้วนางเองก็เขินเหมือนกัน
“ข้ามิรู้ว่าเ้าชอบรสชาติอย่างไร จึงต้มบะหมี่มาตามสะดวก”
“ดูน่าอร่อยยิ่งนัก ข้าจะกินให้หมดเลยเ้าค่ะ” พานซื่อเห็นจิ่นเซวียนมิเขินอาย นางจึงมิคิดมาก คู่แต่งงานใหม่ หวานกันสักหน่อยมิเป็ไรหรอก
“จื่อเฉิน เ้าจะกินด้วยหรือไม่?” พานซื่อมิได้ต้มมาให้ซ่งจื่อเฉิน นางกลัวซ่งจื่อเฉินมิกินแล้วจะเสียของ
“เช่นนั้นข้ารบกวนพี่สะใภ้สามต้มให้ข้าด้วยขอรับ” ซ่งจื่อเฉินเองก็หิวเช่นกัน เขาลืมกำชับพานซื่อให้ต้มเผื่อเขาด้วย
“ได้เลย เ้ารอก่อน ข้ายังต้มน้ำไว้อยู่ จะรีบไปเอาบะหมี่ลงให้” พานซื่อตอบและหมุนตัวออกจากห้องไป
“มิเลวเลย หากมีมะเขือเทศสักหน่อยคงจะดี” จิ่นเซวียนยกชามบะหมี่เดินไปที่โต๊ะ เพลิดเพลินไปกับอาหารของนาง นางเคยกินอาหารที่พานซื่อทำ รสมือมิเลวเลยทีเดียว
“พี่สะใภ้สามกับพี่สี่ทำอาหารเก่งที่สุดในบ้าน อาหารของพี่สะใภ้ใหญ่ทานพออิ่มท้องเท่านั้น ยังมิถึงขั้นอร่อยไปหมดทุกด้าน[1]” คำพูดของซ่งจื่อเฉินทำเอาจิ่นเซวียนหัวเราะคิกคัก นางจำได้ว่าสมัยที่นางอยู่มหาวิทยาลัย โรงอาหารที่นั่นแย่ยิ่งนัก สาวๆ หอพักอย่างพวกนางี้เีตัวเป็ขนจึงมักจะโดดเรียนไปนอน เฉินอวี้เพื่อนร่วมหอของจิ่นเซวียนที่นอนอยู่ชั้นบน นางสามารถนอนอยู่บนเตียงได้ทั้งวัน บางหนพวกนางก็มักจะซื้อข้าวผัดกล่องที่ร้านขายของในหอกิน เพื่อความสะดวก อาหารที่คนที่นั่นผัดก็มินับว่าอร่อย มีหนหนึ่งนางกินเนื้อผัดดอกหอมแล้วอาเจียน ถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล!
“ภรรยา มะเขือเทศที่เ้าพูดถึงเมื่อครู่คือสิ่งใดหรือ?” ซ่งจื่อเฉินมิเคยได้ยินชื่อวัตถุดิบชนิดนี้ เขาจึงสงสัยว่ามันคือสิ่งใด?
“มะเขือเทศคือผักชนิดหนึ่ง สามารถกินแทนผลไม้ได้ ข้ามิรู้ว่าแผ่นดินผิงชวนมีหรือไม่”
“เ้าพรรณนามาเสียหน่อย ข้าจะลองนึกดูว่าข้ารู้จักหรือไม่?” ซ่งจื่อเฉินให้จิ่นเซวียนบรรยายหน้าตาของมะเขือเทศอย่างละเอียด
“รูปร่างคล้ายลูกพลับแห้งเล็กน้อย แต่มีผลใหญ่กว่า และมีสีแดง ข้างในผลมีเมล็ดหลายเมล็ด เมล็ดพวกนั้นคือเมล็ดพืช ฤดูกาลนี้เป็หน้ากินมะเขือเทศ มันได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเกิดของข้า”
“ข้าอ่านหนังสือเกษตรมามาก แต่มิมีสิ่งนี้เลย” ซ่งจื่อเฉินค้นหาเกี่ยวกับผลไม้ดังกล่าวในสมอง เขามิเคยเห็นเลยจริงๆ
“มิเป็ไร อาหารหลายอย่างจะค่อยๆ ถูกมนุษย์ค้นพบ มิแน่พวกเราอาจจะโชคดี ได้พบวัตถุดิบอาหารมากมาย!” จิ่นเซวียนพูดไปเช่นนั้น นางมิได้คาดหวังว่าจะเจอมะเขือเทศในยุคสมัยนี้
ห้องครัว!
ซ่งเป่าจูเดินเข้ามาสั่งให้พานซื่อต้มบะหมี่ให้นางอย่างเย่อหยิ่ง ขณะที่พานซื่อกำลังต้มบะหมี่ให้ซ่งจื่อเฉิน
“เ้าอยากกินก็ต้มเอง” พานซื่อมิชอบน้ำเสียงของซ่งเป่าจู นางจึงปฏิเสธมิยอมต้มบะหมี่ให้ซ่งเป่าจู
“ท่านทำชามนี้เสร็จแล้ว มิสู้เอาให้ข้าเล่า” ซ่งเป่าจูพูดพลางเข้าไปแย่งบะหมี่ชามนั้นไปจากมือของพานซื่อ
“เป่าจู ข้าลืมบอกเ้า ท่านพ่อออกเดินทางไกลแล้ว เขาบอกกับข้าว่าเ้าควรทำงานใดก็ให้เ้าทำ” พานซื่อเกลียดน้องสาวสามีผู้นี้ยิ่งนัก มิยอมทำสิ่งใด เอาแต่กินกับนอนก็เกินพอแล้ว นางยังทำตัวเป็เ้าถิ่นอีก
“ออกเดินทางไกลแล้ว ั้แ่เมื่อใด เหตุใดเขาจึงมิบอกข้าเลยเล่า” ซ่งเป่าจูพูดรัวออกมาชุดใหญ่ ท่านพ่อมิอยู่บ้านเช่นนี้ จากนี้นางคงอยู่มิเป็สุขแน่
“ท่านพ่อก็อยากบอกเ้า แต่เ้าหลบไปนอนกลางวันในห้อง ผู้ใดจะปลุกให้เ้าตื่นได้เล่า” พานซื่อถากถางซ่งเป่าจูอย่างมิไว้หน้า ซ่งเป่าจูเบิกตาโพลงครู่หนึ่ง แล้วปรายสายตามิพอใจใส่พานซื่อ
“พี่สะใภ้สาม ท่านหลอกข้าใช่หรือไม่”
“ข้าจำเป็ต้องหลอกเ้าด้วยหรือ?ข้ามิพูดจาไร้สาระกับเ้าแล้ว ข้ายกบะหมี่ชามนี้ไปให้จื่อเฉินก่อน เ้าอยากกินก็ทำเอาเอง สายหน่อยข้ายังต้องไปทำงานอีก มิมีเวลามาทำตัวไร้แก่นสารเป็เพื่อนเ้า”
ระหว่างพูดพานซื่อก็เดินออกจากห้องครัวไป
หึ แม่ไก่แก่สมควรตาย เหตุใดจึงต้องโมโหเช่นนี้
พานซื่อเดินออกไปได้มิไกล ซ่งเป่าจูก็กระทืบเท้าด่านางว่าเป็แม่ไก่แก่ที่ออกไข่มิได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง พานซื่อยกชามบะหมี่มาถึงเรือนโม่อวิ้นเซวียน และส่งให้ซ่งจื่อเฉิน ซ่งจื่อเฉินกล่าวขอบคุณนาง
“พี่สะใภ้สาม ผ่าน่ยุ่งๆ ไม่กี่วันนี้ไปก่อน แล้วข้าจะช่วยบำรุงรักษาร่างกายให้ท่าน เมื่อบำรุงร่างกายแล้ว ท่านจะตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้นเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนรู้ว่าพานซื่อยังมิมีลูก และมันกลายเป็ความทุกข์ในใจของพานซื่อ นางต้องแสดงความจริงใจบางอย่าง หากอยากให้พานซื่อกับสามีของนางเชื่อใจ
“เ้ามิต้องรีบร้อน พวกเรารอมาหลายปีแล้ว มิรีบเอา่นี้หรอก” พานซื่อปลงตก ลูกอัญเชิญมามิได้ รีบไปก็เท่านั้น
แทนที่จะทำตัวเหมือนคนบ้า มิสู้ใช้ชีวิตปล่อยใจให้สบายๆ เสียดีกว่า
พานซื่อย้ายม้านั่งมานั่งตรงข้ามกับจิ่นเซวียนและซ่งจื่อเฉิน นางคุยเื่สัพเพเหระกับพวกเขา ซ่งจื่อเฉินถือโอกาสเอ่ยปลอบนาง
“พี่สะใภ้สาม ท่านมิต้องกังวลว่าท่านพ่อจะบังคับให้พี่สามรับอนุหรอกขอรับ หลายปีมานี้ท่านยังมิมีลูก แต่พี่สามยังรักท่าน และรักมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก นั่นหมายความว่าพี่สามเป็ผู้ชายที่ดีคนหนึ่งขอรับ”
“เพราะพี่สามของเ้าดีกับข้าเช่นนี้ ข้าจึงยิ่งรู้สึกผิดกับเขา” แม้พานซื่อจะบอกว่าจะใช้ชีวิตแบบปล่อยใจให้สบาย แต่ในใจของนางก็อยากมีลูกอยู่ดี สามีมิทอดทิ้งนาง ต่อให้แม่สามีชั่วร้ายบังคับให้เขารับอนุ เขาก็มิยินยอม ได้แต่งเป็ภรรยาของสามีผู้นี้ ตายไปนางมิเสียใจแล้ว
“พี่สะใภ้สาม ท่านมิต้องห่วง ท่านจะมีลูกแน่ ข้าเชื่อว่าเง็กเซียนฮ่องเต้จะเมตตาคนดีเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนเห็นพานซื่อหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงเอ่ยปลอบโยนด้วยเสียงแ่เบาให้นางปล่อยวาง
ในยุคสมัยที่ผู้ชายเป็ใหญ่กว่าผู้หญิง มิง่ายเลยที่ซ่งหงจะปฏิบัติกับพานซื่อเช่นนี้ อย่าว่าแต่สมัยก่อนเลย แม้แต่ยุคปัจจุบันเองก็มีหลายครอบครัวที่มิมีลูก ลูกเป็โซ่ทองคล้องใจของครอบครัว สามีภรรยารักกันเพียงใดก็ต้านทานแรงกดดันจากพ่อแม่สามีมิได้
“ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด หากมิมีวาสนาจริงๆ ดึงดันไปก็มิได้สิ่งใดหรอก” พานซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่สามของเ้าบอกกับข้าแล้ว หากพยายามต่อไปอีกสองปี ข้ายังมิตั้งครรภ์ พวกเราจะไปรับเด็กกำพร้ามาเลี้ยง เลี้ยงเขาจนโต แล้วค่อยให้เขาเลี้ยงดูพวกเราในบั้นปลายชีวิต”
“ภรรยา ถือโอกาสตอนที่ยังหนุ่มสาว พวกเรามามีลูกด้วยกันเถิด” ซ่งจื่อเฉินพูดโพล่งออกมาจนจิ่นเซวียนใ
เชิงอรรถ
[1] อร่อยไปหมดทุกด้าน หมายถึง ไม่ว่าจะรูป รส กลิ่นหรือสีของอาหารล้วนอร่อยและดูดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้