"นายท่าน เกิดอะไรขึ้นขอรับ? ท่านเป็ห่วงแม่นางหานโม่หรือ?"
ตี้เฉินพูดเบาๆ ว่า "ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ราวกับว่าหากครั้งนี้ข้าจากไปแล้วจะมีบางอย่างเกิดขึ้น"
"ห๊ะ?" ฝูเฟิงตกตะลึง "นายท่าน พวกเราควรส่งคนไปคอยคุ้มกันแม่นางหานโม่ดีหรือไม่ขอรับ?"
ฝูเฟิงเชื่อมั่นในนายของตนเป็อย่างมาก เมื่อนายท่านของเขามีความรู้สึกเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเื่อะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็ได้
ตี้เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า "ไม่ต้อง"
หานโม่อาจจะไม่จักคนของเขาก็จริง แต่นางเป็คนฉลาดหลักแหลมมาก หากนางรู้ตัวก็คงมาเค้นขอคำอธิบายจากเขาเป็แน่ แค่การเพิ่มการป้องกันลงไปบนแหวนโค่งเจียนของหานโม่ น่าจะสามารถปกป้องนางจากอันตรายได้บ้าง
เมื่อคิดเช่นนี้ ตี้เฉินก็เบาใจลง
ทั้งสองเหาะอยู่ในอากาศท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน พวกเขาเคลื่อนที่เร็วมาก จนคนที่อยู่บนพื้นดินคิดว่าพวกเขาเป็ดาวตกสองสายที่พาดผ่านท้องฟ้าและหายไปเท่านั้น
ทั้งสองคนกลับมาถึงกองบัญชาการใหญ่ของกลุ่มนักฆ่าเปลงเพลิงสีชาด
ตี้เฉินสั่งให้ฝูเฟิงให้ไปเรียกบุคคลสำคัญในกองบัญชาการใหญ่มากำชับถึงแผนการต่างๆอีกครั้ง ในที่สุดตี้เฉินจึงตัดสินใจพาเพียงหงเหยาและฝูเฟิงไปยังหุบเขาหมัวโซ่วเพื่อเก็บผลเม่ยมี่แห่งความมืด
การตัดสินใจเช่นนี้ของตี้เฉินถูกคัดค้านโดยคนอื่นๆ
"นายท่าน เื่นี้ท่านไม่จำเป็ต้องลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้นะขอรับ” คนพวกนี้ล้วนเป็คนสนิทของตี้เฉิน และทุ่มเททุกอย่างสุดความสามารถเพื่อตี้เฉินอย่างแท้จริง
ตี้เฉินเองไม่ได้โกรธที่พวกเขาคัดค้านการตัดสินใจในครั้งนี้ เพียงแค่เอ่ยพูดว่า "ผลเม่ยมี่แห่งความมืดถือกำเนิดขึ้นในสถานที่ของจอมมาร ข้าไม่มั่นใจที่จะให้พวกเ้าเข้าไปในนั้นเพียงคนเดียวได้เลย ข้าไปเองนั่นแหละเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว อีกทั้งคราวนี้ข่าวของผลเม่ยมี่แห่งความมืดแพร่กระจายเร็วเกินไป คนที่ประกาศภารกิจนี้ถือว่าฉลาดมาก เป็ไปได้ข้าก็อยากเจอเขาสักครั้ง"
คนอื่นๆ ไม่สามารถโน้มน้าวให้ตี้เฉินเปลี่ยนใจได้
ตี้เฉินไม่อะไรที่ต้องปิดบังพวกเขา ทว่าภารกิจในครั้งนี้พวกเขารับมือไม่ไหวจริงๆ
ทุกคนต่างมีสีหน้าเรียบเฉย พสกเขาไม่มีใครเอ่ยให้ตี้เฉินระมัดระวังตัวเลย
พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของตี้เฉินมาก
เพราะตี้เฉินนั้นแข็งแกร่งมาก ตราบใดที่มีเขาอยู่ก็ไม่มีเื่อะไรที่จัดการไม่ได้
หงเหยาเป็คนสนิทไม่กี่คนของตี้เฉินที่เป็ผู้หญิง เมื่อรู้ว่านางจะได้ไปทำภารกิจกับตี้เฉินก็รู้สึกตื่นเต้นเป็พิเศษ
แต่นางก็ต้องระงับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าของนางสงบนิ่งไร้อารมณ์
ตี้เฉินเอ่ยถามหนึ่งในคนสนิทของตัวเองว่า "เ้าได้เห็นลักษณะของคนผู้นั้นที่ประกาศภารกิจหรือไม่?"
คนผู้นั้นส่ายหัว "เรียนนายท่าน ไม่เห็นขอรับ ตอนที่ประกาศภารกิจคนผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกมา เขาเพียงแค่ประกาศรางวัลว่าจะมอบผลึกิญญาให้หนึ่งพันชิ้น หากผู้ใดเอาผลเม่ยมี่แห่งความมืดมาได้ ในในรายละเอียดของภารกิจยังบอกอีกว่ามีผลึกิญญาอีกสองพันชิ้นที่จะให้หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นขอรับ"
ตี้เฉินโบกมือให้คนผู้นั้นไปได้
ฝูเฟิงเอ่ยถามตี้เฉินว่าเื่นี้มีอะไรที่ผิดปกติไปใช่หรือไม่
ตี้เฉินพยักหน้า "ภารกิจนี้ค่อนข้างแปลกเล็กน้อย ตอนนี้สถานการณ์ภายในของตี้ตูซับซ้อนมาก คนที่มีอำนาจในการครองครองผลึกิญญามากกว่าหนึ่งพันชิ้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ถ้าเป็คนที่พวกเรารู้จักมักคุ้นกันก็ยังดี แต่ถ้าเป็กองกําลังลึกลับใหม่ พวกเราก็ต้องคอยจับตาดูเอาไว้ แล้วต้องค้นหาให้ได้ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไร"
ฝูเฟิงพยักหน้า
ภายในใจของตี้เฉินไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้น
เขาเดาว่าผู้อยู่เื้ัภารกิจในครั้งนี้คือกองกําลังใหม่ และเนไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะมุ่งเป้าไปที่ความลับนั้นของราชวงศ์เป่ยิ
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตี้เฉินก็เรียกคนสนิทเข้ามาอีก และสั่งให้พวกเขาส่งคนไปจับตาความเคลื่อนไหวทางฝั่งองค์ชายใหญ่เอาไว้ให้ดี
ในขณะที่ตี้เฉินกำลังจัดการเื่ต่างๆ หงเหยาที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็จ้องมองเขาด้วยสายตาที่พยายามยับยั้งชั่งใจ
หงเหยาแอบรักตี้เฉินมานานมากแล้ว จนกระทั่งนางกลายเป็คนสนิทที่สำคัญของตี้เฉิน นางเก็บซ่อนความรักนี้เอาไว้ในใจของนางเสมอมา และจะไม่ยอมเปิดเผยออกมาเพื่อไม่ทำให้ตี้เฉินไม่มีความสุขแน่นอน
ฝูเฟิงกลับเข้ามาหลังจากไปทำเื่ที่ตี้เฉินสั่งการเสร็จ เขาเห็นหงเหยาที่ทุกคนในกลุ่มเรียกว่า "สาวงามหิมะ" กำลังมองนายท่านด้วยสีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน
ฝูเฟิงมองไปยังหงเหยาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปเอ่ยเตือนว่า "หงเหยา เก็บความคิดของเ้าที่มีต่อนายท่านไปเสียเถอะ ผู้ที่นายท่านจะตกหลุมรักได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน เ้าควรใช้โอกาสในขณะที่ยังมีเวลาอยู่เลิกล้มความคิดไปเสีย หยุดคิดเพ้อฝันเถอะ จงมองดูคนใกล้ตัวให้มากๆ นายท่านเป็คนดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ของเ้า"
หงเหยาขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองฝูเฟิงและพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า "นายท่านก็คือคนใกล้ตัวของข้า"
ฝูเฟิงจนปัญญา เพราะหงเหยาได้กระโจนเข้าไปทั้งตัวแล้ว เมื่อรู้ว่าการโน้มน้าวของตัวเองนั้นไม่จําเป็ เขาก็ส่งเสียงดังจุ๊ๆๆ ไม่กี่ทีและเอ่ยพูดว่า "โธ่......เ้าลองเอ่ยถามใต้หล้านี้ดูว่ารักนั้นเป็ฉันใด พวกเขาคงจะตอบว่าเป็เพียงแค่การสอนให้คนมองเส้นทางเบื้องหน้าได้ไม่ชัดเท่านั้น"
เมื่อพูดจบฝูเฟิงก็ส่ายหัวแล้วเดินจากไป
หงเหยามองตามหลังของฝูเฟิง นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยกับคําพูดของฝูเฟิงเมื่อครู่นี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร จากนั้นจึงหันกลับไปมองตี้เฉินต่อ
……
เื่ราวของฝั่งตี้เฉินนั้น หานโม่ไม่ได้รับรู้ด้วยเลย และนางเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ตี้เฉินมาหา
เช้าวันรุ่งขึ้น หานโม่แบกสัมภาระต่างๆ ไว้บนหลังและออกเดินทางสู่ดินแดนลึกลับพร้อมกับเหล่าศิษย์คนอื่นๆ ที่้าฝากตัวเป็ลูกศิษย์ของเวยจือชิง
เวยจือชิงมีความรู้สึกที่ดีต่อหานโม่และอยากรับนางมาเป็ลูกศิษย์ แต่เพื่อไม่ให้เป็การปฏิบัติต่อหานโม่พิเศษกว่าคนอื่น เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาจึงประกาศภารกิจในการรับลูกศฺษย์ของตนเอง นั่นคือการไปนำเอาผลิญญาโลหิตสีชาดกลับมาจากดินแดนลึกลับ
เมื่อทุกคนรู้ว่าผลิญญาโลหิตสีชาดอยู่ในดินแดนลึกลับ คนส่วนใหญ่ล่าถอยยอมแพ้ไป แต่ก็ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่อยากจะสู้ต่อ
เช่นนี้หานโม่จึงมีเพื่อนร่วมทางหลายคน ในขณะเดียวกันก็มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ทุกคนออกเดินทางกันในตอนกลางวัน และในตอนกลางคืนพวกเขาก็เลือกตั้งค่ายพักแรมอยู่บนูเา
ตอนที่พวกเขากำลังนั่งรวมกลุ่มกันเพื่อพักผ่อนจากการเดินทางมาทั้งวัน พวกเขามักจะโอ้อวดว่าตัวเองมีพร์สูงส่งเพียงใด และมักจะดูถูกหานโม่ตลอดเวลา เพราะในกลุ่มนี้มีเพียงหานโม่ผู้เดียวที่มีพร์สีเขียว ส่วนพวกเขาที่เหลือล้วนมีพร์สีน้ำเงินทั้งหมดและมาจากชั้นเรียนระดับสูง
เพราะต้องรีบร้อนเดินทาง พวกเขาจึงไม่อยากเปลืองแรงไปกับการต่อสู้และน้ำลายของตัวเองไปเปล่าๆ จึงอดทนรอจนกระทั่งสร้างค่ายพักแรมเสร็จเรียบร้อย หลังจากที่ทุกคนนั่งลงเพื่อพักผ่อน บรรดาศิษย์พวกเ่าั้ก็ทนเก็บคำพูดค่อนแคะไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
"ที่แท้นี่ก็คือหานโม่งั้นหรือ ไอ๊หยา ดูเหมือนว่าก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้นเลย ศิษย์พี่หญิงเ้าเสวี่ยหรานจะไม่เอาไหนเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกคนแบบนี้จัดการเอาได้"
"ใช่แล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงเ้าเสวี่ยหรานยังคงไม่กล้าเผชิญหน้ากับหานโม่เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าอับอายเสียจริง"
"เก่งกาจอย่างไรหรือ? เขามีศิษย์พี่เซวียคอยหนุนหลังอยู่......"
หานโม่นั่งเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง และปล่อยให้คนพวกนั้นพูดจาถากถางไป
เพราะเ้าเสวี่ยหรานไม่ได้อยู่ที่นี่ คนเหล่านี้จึงเยาะเย้ยถากถางเ้าเสวี่ยหรานอย่างไม่ไว้หน้า
หานโม่ไม่ได้สนใจคนพวกนั้น หลังจากกินอาหารแห้งไปเล็กน้อยนางก็เอนกายพิงต้นไม้เพื่อพักผ่อน
แค่เร่งเดินทางทุกวันก็เหนื่อยมากพอแล้ว หานโม่ไม้อยากเปลืองแรงโต้เถียงกับพวกเขาอีก
นักเรียนชั้นเรียนระดับสูงพวกนั้นเมื่อเห็นว่าหานโม่ไม่โต้ตอบพวกเขาแม้แต่คําเดียว ก็คิดว่านางเกรงกลัวพร์ที่สูงกว่าของตนเอง จึงพากันพูดถึงหานโม่อย่างสนุกปากจนดึกดื่น และผล็อยหลับกันไปทีละคน
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ลงมาจากูเา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พวกเขาเดินมาทั้งวันก็ยังลงมาไม่ถึงตีนเขาเสียที พอตกกลางคืนก็ทำได้เพียงตั้งค่ายพักแรมทีู่เาต่อไปเท่านั้น
วันนี้พวกเขาก็ยังคงพูดจาถากถางหานโม่เหมือนเดิม ทว่าหานโม่ยังคงไม่มีการตอบโต้ใดๆ
คนกลุ่มนี้เองก็ไม่ได้มีความสามารถมากนัก คิดอยากจะพูดจาหาเื่นางทุกวันเพื่อให้นางทนไม่ไหวและลงมิกับพวกเขางั้นหรือ?
นางไม่สนใจคนเ่าั้ แต่คำพูดของคนเ่าั้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น
โชคดีที่ความสามารถในการเมินเฉยต่อผู้คนของหานโม่ค่อนข้างแข็งแกร่ง นางไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว
ั้แ่วันแรกที่ออกเดินทางมาจากสถานศึกษาหานโม่ก็มองเห็นพลังของพวกเขาออกแล้ว มันเป็เพียงระดับกลางเท่านั้น ซึ่งการแข่งขันกับคนเช่นนี้ มีแต่จะทำให้ตัวเองตกต่ำลงก็เท่านั้น
หานโม่แน่ใจว่าคนพวกนี้สู้ตัวเองไม่ได้ นางเลยไม่ได้สนใจพวกเขา
ในตอนกลางคืน หานโม่ไม่ค่อยอยากกินอาหารแห้งเท่าไหร่ บังเอิญนางจับกระต่ายได้ตัวหนึ่งจึงก่อกองไฟเพื่อย่างกระต่าย
คนกลุ่มนั้นที่ยังคงถากถางหานโม่อยู่ เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็หยุดชะงักไปทันที
หลังจากนิ่งไปสักพักพวกเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมา หานโม่ย่างเนื้อโดยที่ไม่สนใจพวกเขาเลยงั้นหรือ
ทําไมหานโม่ถึงได้ทำตัวสบายได้ถึงเพียงนี้เล่า?
พวกเขามุ่งเป้าไปยังหานโม่ จนถึงตอนนี้ก็ควรที่จะร้องไห้อย่างขมขื่นและขอร้องให้พวกเขาปล่อยตัวเองไปไม่ใช่หรือ? ทําไมถึงยังกล้านั่งย่างเนื้ออย่างอวดดีเช่นนี้อีก?
"ข้าจะไปสั่งสอนเขาเสียหน่อย!" ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดและม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อจะเข้าไปจัดการหานโม่
