ณ เขตนอกเมืองจิ่วเฉวียนแห่งอาณาจักรหนานหลิง บริเวณนี้คือพรมแดนระหว่างอาณาจักรเทียนเฟิงและอาณาจักรหนานหลิง
ทหารเกราะดำจำนวนหลายแสนนายกำลังตั้งทัพบริเวณนอกเมืองจิ่วเฉวียน เตรียมพร้อมสำหรับศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
ด้านหน้าของประตูเมืองจิ่วเฉวียน มีทหารเกราะเงินจำนวนสองแสนนายกำลังควบขี่บนหลังอาชา ในมือของพวกเขาคือดาบขาวเล่มยาวที่เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้
แม่ทัพร่างกำยำสูงใหญ่ผู้หนึ่งเป็ผู้นำทัพ ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง ในมือกำลังถือหอกสีดำที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งจั้ง* เขาก้าวลงจากหลังสัตว์อสูรที่มีลักษณะคล้ายม้า โดยบนตัวของมันมีเกล็ดสีครามและบนหัวมีเขาคล้ายยูนิคอร์น แววตาที่ราวกับคบเพลิงกำลังจดจ้องไปยังเหล่าทหารหลายแสนนายที่อยู่เบื้องหน้า
(* 1 จั้งเท่ากับ 10 ฉื่อหรือประมาณ 2.5 เมตร)
ชายผู้นี้มีนามว่ามู่เทียน เขาคือแม่ทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองจิ่วเฉวียนแห่งนี้ นอกจากนี้เขายังเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับหยวนตานผู้หนึ่ง
บนแผ่นดินเทียนอู่อันกว้างใหญ่ เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จะได้รับความยำเกรงจากผู้คนทั่วไป และท่ามกลางเผ่าพันธุ์นับร้อยที่ดำรงอยู่ในอาณาจักรนับหมื่นเหล่านี้ต่างก็ดิ้นรนต่อสู้เพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
ผู้ใช้วรยุทธ์จำต้องดูดซับพลังจากฟ้าดิน เพื่อใช้ในการต่อยอดพลังชีวิตและฝึกฝนพลังปราณของตน เนื่องจากความแข็งแกร่งของพลังในร่างกายนั้นมีระดับที่ต่างกัน ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในรุ่นก่อนๆ จึงได้แบ่งแยกระดับพลังตามความแข็งแกร่งเอาไว้
ได้แก่ ระดับทงม่าย ระดับจื่อฝู่ ระดับหนิงกัง และระดับหยวนตาน ซึ่งจากระดับที่กล่าวมานั้นได้เรียงจากระดับต่ำไปถึงระดับสูง โดยแต่ละระดับยังมีการแบ่งออกเป็เก้าขั้น และในเมืองจิ่วเฉวียนแห่งนี้ยังไม่มีใครมีระดับพลังที่สูงเกินกว่าที่กล่าวมา
ข้างกายมู่เทียนคือหนุ่มน้อยที่ยังเยาว์วัยผู้หนึ่ง คิ้วของเขาเรียวเข้มดุจกระบี่ ดวงตาคมกริบทอประกายราวกับแสงดาว บริเวณคิ้วซ้ายมีรอยบากของแผลเป็ โดยรวมแล้วดูหล่อเหลาโดดเด่น แม้จะยังดูเป็หนุ่มน้อยอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเขากลับไม่ต่างจากทหารกล้าผู้หนึ่ง
ชุดเกราะสีเงินที่สวมอยู่บนร่างยิ่งส่งเสริมให้เขาดูคล้ายกับวีรบุรุษหนุ่มที่ไม่ธรรมดา
มู่เฟิงคือบุตรชายของมู่เทียน เขาเป็เด็กหนุ่มมากพร์ที่มีชื่อเสียงของอาณาจักรหนานหลิง เป็ทายาทที่ตระกูลมู่ภาคภูมิใจ เขาได้ติดตามบิดามาออกรบั้แ่วัยเด็ก แม้ตอนนี้จะมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่ด้วยพร์ที่ล้ำเลิศของเขา ทำให้เด็กหนุ่มสามารถทะลวงผ่านระดับจื่อฝู่ขั้นสามไปได้แล้ว
มู่เฟิงถือดาบไว้ในมือตามแบบฉบับทหารที่พร้อมรบ เด็กหนุ่มจะคอยติดตามอยู่ข้างกายบิดาเสมอ แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวในแบบที่คน่วัยเดียวกันไม่มี แม้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพทหารหลายแสนนาย แต่ภายในใจของเขากลับไร้ซึ่งความหวั่นกลัว
บนกำแพงเมืองจิ่วเฉวียน มีชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำลายราชันัผู้หนึ่งกำลังมองลงไปยังสนามรบเบื้องล่างด้วยแววตาเฉยชา และเมื่อเหลือบไปยังแผ่นหลังของมู่เทียน เขาก็แสยะยิ้มออกมาทันที
“มู่เทียน ใครใช้ให้เ้าเลือกยืนอยู่ผิดฝั่ง วันนี้หากจะมาโทษเปิ่นหวาง*ว่าโหดร้ายคงจะไม่ได้แล้ว”
(*เปิ่นหวางคือ คำเรียกตัวเองของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายชาย)
ชายวัยกลางคนกล่าวพึมพำคล้ายว่ากำลังพูดกับตัวเอง
‘แป๊น’
เสียงเป่าแตรจากกองทัพทหารเจ็ดแสนถึงแปดแสนนายตรงหน้าดังขึ้นเป็การส่งสัญญาณ
“ฆ่ามัน!”
แม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามตะเบ็งเสียง จากนั้นเหล่าทหารหลายแสนนายก็เคลื่อนทัพออกมาด้วยท่าทางดุดันและคุกคาม เสียงโห่ร้องให้สังหารดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
“เฟิงเอ๋อร์ เ้ากลัวหรือไม่?”
มู่เทียนจ้องมองไปยังกองทัพทหารหลายแสนนายที่กำลังเคลื่อนทัพมาตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามมู่เฟิงบุตรชายของตน
“ท่านพ่อ ข้าไม่กลัว ข้าเป็บุรุษตระกูลมู่ มีหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง ต่อให้ต้องเผชิญกับความตาย ข้าก็จะไม่ถอยแม้เพียงครึ่งก้าว”
มู่เฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและเปี่ยมล้นด้วยพลัง
“ฮ่าๆ สมกับเป็สายเืของข้า พี่น้องทั้งหลาย แล้วพวกเ้าเล่า เกรงกลัวต่อศัตรูหรือไม่?”
มู่เทียนะโถามเหล่าทหารของตนที่อยู่ด้านหลังอีกสองแสนนาย
“กองทัพตระกูลมู่ไม่หวั่นกลัวต่อความตาย”
เหล่าทหารทั้งสองแสนนายต่างยกหอกขึ้น พร้ะเบ็งเสียงตอบกลับตามแบบฉบับทหารกล้าที่ไม่เกรงกลัวความตาย
“ดี! เ้าพวกชั่วช้าที่มันคิดรุกรานบ้านเมืองของเรา สมควรต้องรับโทษทัณฑ์ ฆ่ามัน!”
มู่เทียนชี้หอกขึ้นฟ้า พร้ะเบ็งเสียงสั่งการอย่างดุดัน
“ฆ่ามัน!”
มู่เฟิงและกองทัพทหารทั้งสองแสนนายโห่ร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เหล่าทหารทั้งสองแสนนายจะควบม้าพุ่งเข้าหาทหารหลายแสนนายของฝ่ายตรงข้ามในทันที แม้กำลังคนจะต่างกันมาก แต่นั่นก็เป็หนึ่งสาเหตุที่เพียงพอให้พวกเขาละทิ้งความกลัว เหลือไว้เพียงเืนักสู้ที่กำลังเดือดพล่านและความกระหายในการเข่นฆ่า
เกิดเป็ทหาร ย่อมต้องปกป้องบ้านเมือง!
ชิ้ง เพล้ง ฉัวะ เพล้ง!
เมื่ออาวุธจากเหล็กกล้าของทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกัน เสียงฟาดฟันดาบและกระบี่ก็ดังกึกก้องขึ้นเสียดฟ้า เสียงโห่ร้องสังหารอีกฝ่ายก็ดังะเืไปถึงปฐี
มู่เทียนกระชับหอกในมือแน่น พลังปราณสีทองภายในร่างของเขากำลังพวยพุ่งราวกับสายน้ำ ก่อนจะไหลเข้าสู่หอกเล่มยาวในมือ เพียงแค่เขาตวัดหอกคม ปราณสีทองจากคมหอกหลายสิบสายก็พุ่งทะลวงตัดผ่านร่างของทหารและม้าที่อยู่ตรงหน้าในทันที
ฉัวะ! ฉึก! ฉัวะ!
เพียงชั่วพริบตาทหารฝั่งศัตรูหลายสิบนายก็ถูกคมหอกแทงทะลุร่างจนตาย พวกเขาต่างจบชีวิตลงในหนึ่งกระบวนท่า
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขั้นหยวนตาน พลังของคนผู้หนึ่งสามารถสังหารคนได้นับพัน และอานุภาพของกระบวนท่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็มากพอที่จะปลิดชีพนายทหารนับร้อยได้
“ฆ่ามัน!”
มู่เฟิงกระชับดาบในมือเอาไว้แน่น บนหลังของเขายังมีหอกพาดไว้อีกเล่มหนึ่ง เพียงะโเหยียบหลังม้า เด็กหนุ่มก็สามารถพุ่งทะยานตัวออกไปได้ไกลกว่าสิบเมตร และทันทีที่เขาตวัดดาบออกมา ปราณดาบสีแดงความยาวสามเมตรก็พุ่งตัดผ่านร่างของนายทหารฝ่ายตรงข้ามภายในเสี้ยววินาที
“อ๊าก!”
ทหารของฝ่ายตรงข้ามผู้นั้นถูกดาบฟันร่างขาดเป็สองส่วน เขาร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสังเวช
ร่างของมู่เฟิงเคลื่อนตัวลงตามแรงโน้มถ่วง เท้าของเขาเหยียบลงบนม้าของศัตรู ก่อนที่เขาจะตวัดดาบตัดศีรษะของนายทหารฝ่ายตรงข้ามอีกคน
จากนั้นเท้าข้างหนึ่งของเขาก็เหยียบลงบนหลังม้าของศัตรู ก่อนจะหมุนตัวะโกลับมายังม้าของตนเอง กลยุทธ์การสังหารคนในกองทัพเช่นนี้ มู่เฟิงใช้มันจนช่ำชองมากแล้ว
มู่เฟิงนั้นเป็คนฉลาดมาก แม้ต้องเข่นฆ่าศัตรูในสมรภูมิรบ แต่เขาไม่เคยออกห่างจากบิดาของตนเกินยี่สิบจั้ง*เลย
(* 20 จั้งประมาณ 50 เมตร)
“ท่านอ๋อง ท่าน้าให้ยิงธนูเพื่อช่วยท่านแม่ทัพมู่อีกแรงหรือไม่ขอรับ?”
บนกำแพงเมืองจิ่วเฉวียนที่สูงตระหง่านหลายสิบเมตร รองแม่ทัพที่เฝ้ารักษาการณ์ในเมืองหันไปถามชายวัยกลางคน ซึ่งคนผู้นี้ก็คือหนานหาว องค์ชายแห่งอาณาจักรหนานหลิง
“ไม่ต้อง ลูกศรไร้ตา อาจทำให้แม่ทัพมู่ของเราาเ็ได้”
หนานหาวกล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะ รองแม่ทัพผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่น แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
กำลังคนของกองทัพตระกูลมู่และกองทัพศัตรูต่างกันสามถึงสี่เท่า แม้กองทัพตระกูลมู่จะห้าวหาญและเก่งกาจ แต่อีกฝ่ายยังคงได้เปรียบเื่กำลังทหารที่มากกว่า
ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปยังทิศตะวันตกตามกาลเวลา หลังผ่านการต่อสู้ที่กินเวลามายาวนาน บัดนี้กองทัพตระกูลมู่ได้สูญเสียกำลังทหารไปมากกว่าครึ่งแล้ว พวกเขาสังหารทหารของฝ่ายตรงข้ามมากกว่าสองแสนนาย สมรภูมิรบถูกย้อมด้วยเืจนกลายเป็สีแดงฉาน
แต่สิ่งที่ทำให้คาดไม่ถึงคือทางเมืองจิ่วเฉวียนกลับไม่ส่งกำลังทหารออกมาเสริมทัพตระกูลมู่เลย
“ท่านอ๋อง หากสถานการณ์ยังเป็เช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ แม้ท่านแม่ทัพมู่และกองทัพตระกูลมู่จะห้าวหาญและเก่งกาจ แต่จำนวนคนของพวกเขาเสียเปรียบอีกฝ่ายมากเกินไป ขอท่านอ๋องโปรดสั่งการให้ข้านำกำลังทหารไปเสริมทัพตระกูลมู่ด้วยขอรับ”
บนกำแพงเมืองจิ่วเฉวียน รองแม่ทัพผู้หนึ่งได้กล่าวกับชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำลายราชันัด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
“จะส่งกำลังเสริมออกไปไม่ได้ หากทหารออกไปกันหมด เช่นนั้นใครจะอยู่รักษาเมืองเล่า?”
คาดไม่ถึงว่าหนานหาวจะปฏิเสธออกมาทันที
สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นย่ำแย่ลงอย่างมาก เขาขบกรามแน่น ทำได้เพียงก้มมองกองทัพตระกูลมู่ต่อสู้นองเือยู่เบื้องล่าง ในสถานการณ์เช่นนี้ภายในใจจึงบังเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ด้านหลังกองทัพของฝ่ายตรงข้าม มีชายผู้หนึ่งกำลังขี่ัตัวโตมองดูการต่อสู้เบื้องหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “นึกไม่ถึงว่ามู่เทียนผู้นี้จะเป็แม่ทัพที่เก่งกาจและองอาจผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่เกิดในอาณาจักรหนานหลิง ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เข้าโจมตีเต็มกำลัง สังหารได้หนึ่งคน ตกรางวัลหนึ่งร้อยทองคำ!”
“ผู้น้อยรับคำสั่งท่านแม่ทัพ!”
ผู้ส่งสารถ่ายทอดคำสั่งออกไปทันที
“ท่านแม่ทัพ หากเข่นฆ่ากันต่อไปแบบนี้คงไม่ดีแน่ จำนวนทหารของอีกฝ่ายมีมากเกินไป พวกเราถอยทัพกลับเข้าเมืองก่อนดีกว่า อาศัยชัยภูมิที่เป็ประโยชน์ของเราต้านกำลังทหารของอีกฝ่ายไปก่อน รอให้ทัพเสริมมาถึงค่อยต่อสู้ตัดสินเป็ตายก็ยังไม่สาย”
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเปื้อนเืผู้นี้คือลูกน้องคนสนิทของมู่เทียน เขากล่าวเสนอผู้เป็นายในทันที
มู่เทียนเหลือบมองคนในกองทัพที่เวลานี้ได้สูญเสียไปมากกว่าครึ่งและสีหน้าอันเหนื่อยล้าของบุตรชาย เขาพยักหน้าก่อนจะะโสั่งการออกมาเสียงดัง “ถอยทัพไปตั้งหลักในเมือง”
จากนั้นกองทัพตระกูลมู่ก็เริ่มล่าถอยพร้อมกับรับมือศัตรูไปด้วย กระทั่งพวกเขาถอยทัพมาประชิดด้านล่างกำแพงเมือง
“ทัพหลักกำลังถอยกลับ รีบเปิดประตูเมืองเร็วเข้า”
รองแม่ทัพของตระกูลมู่ะโสั่งการเสียงดัง
“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะรีบเปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้”
รองแม่ทัพบนกำแพงเมืองตระโกนตอบกลับ ก่อนจะเร่งรีบไปเปิดประตูเมือง แต่ทันใดนั้นกลับมีกระบี่เล่มหนึ่งตัดศีรษะของเขาจนขาดกระเด็น
หนานหาวสังหารรองแม่ทัพผู้นั้นในกระบี่เดียว ก่อนจะะโบอกกับกองทัพตระกูลมู่ที่อยู่ด้างล่างกำแพง “จะถอยทัพไม่ได้!”
“ท่านอ๋อง ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อมู่เทียนได้เห็นฉากนั้นก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที
“แม่ทัพมู่ หากพวกท่านถอนกำลังตอนนี้ ทหารฝ่ายตรงข้ามคงฉวยโอกาสนี้โจมตีเมืองเป็แน่ แม่ทัพมู่โปรดยืนหยัดรออีกสักครู่ กำลังเสริมของข้าคงใกล้มาถึงแล้ว”
หนานหาวมองลงมาจากกำแพงเมือง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะ
“บัดซบ หนานหาว เ้าคนสารเลว เห็นทีว่าเ้าคงอยากให้ทหารตระกูลมู่ของเราตายกันหมด รีบเปิดประตูเมืองเร็วเข้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้