อาจเป็เพราะปรกติถูกควบคุมเคร่งครัดมาก ครานี้อนุญาตให้ทุกคนแต่งตัวตามสบาย หญิงสาวจำนวนไม่น้อยจึงแต่งตัวมาอย่างประณีตงดงาม
แม้แต่เฉียวเยว่ก็เช่นเดียวกัน แต่นางไม่ผัดแป้งทาชาด แม้ว่าดวงหน้าเล็กจ้อยจะไร้การประทินผิว ทว่าผิวพรรณอ่อนเยาว์เนียนนุ่ม ขาวใสยิ่งกว่าหิมะ เพียงบีบเบาๆ ก็แทบจะคั้นออกมาเป็น้ำ
ดวงตากลมโตดำขลับเปล่งประกายเจิดจรัส ริมฝีปากรูปผลอิงเถาเป็สีชมพูธรรมชาติ งดงามยากจะพรรณนา
ทรงผมไม่ซับซ้อน ใช้แถบผ้าสีชมพูพันรอบมวยผม แล้วผูกเก็บชายทั้งสองที่ห้อยลงมาแบบหลวมๆ แลดูน่ารักเป็พิเศษ ต่างจากแม่นางน้อยคนอื่นๆ ที่มักปล่อยผมยาวสยายบนลาดไหล่ และให้แถบผ้าห้อยชายลงมา
ดวงหน้าสดใสของนางดูผุดผาดกระจ่างตา ทว่าการแต่งตัวที่เข้ากับอายุ ทำให้นางดูเป็สาวเต็มตัว
ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าเข้มรูปแบบเรียบง่าย ไม่หวือหวามาก การแต่งตัวเช่นนี้มองแวบแรกดูคล้ายกับหญิงชาวบ้านขายดอกไม้ธรรมดา แต่หากพิจารณาอย่างพิถีพิถันจะรู้ว่าไม่ใช่
แม้รูปแบบของชุดกระโปรงจะเรียบง่ายแต่เนื้อผ้ากลับมีความพิเศษ เป็ผ้าไหมเซียงอวิ๋น [1] สีสดที่ล้ำค่าหายาก ผ้าไหมเซียงอวิ๋นส่วนใหญ่มักเป็สีเข้มเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ สีสว่างสดใสเช่นนี้มีไม่มาก แม้จะเป็สีฟ้าเข้มไม่จัดอยู่ในประเภทสีสว่างสดใสเช่นเดียวกับสีฟ้าน้ำทะเล แต่เพราะวัสดุเนื้อผ้าทำให้ดูแตกต่างจากทั่วไป เนื้อผ้าที่ล้ำค่าเช่นนี้ปรกติแล้วมักเป็ของกำนัลที่มอบให้แก่ผู้สูงศักดิ์ คนธรรมดาแม้มีเงินทองก็หาซื้อไม่ได้
คุณหนูที่ครอบครัวมั่งคั่งต่างก็รู้ แม้ดูแวบแรกจะธรรมดา แต่หลังจากพินิจอย่างละเอียดแล้วก็ต้องจุปากไม่หยุด
ซูเฉียวเยว่ไม่ประดับผมด้วยปิ่นไข่มุก นางสวมสร้อยคอไข่มุกชมพูเพียงเส้นเดียว ดูงดงามกระจ่างตา
ท่านหญิงฉางเล่อมองเฉียวเยว่ั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนแค่นเสียงหึ "คนขี้อวด"
เฉียวเยว่มองนางปราดหนึ่ง เห็นนางแต่งตัวหรูหรา เรือนผมประดับด้วยเครื่องทองระยิบระยับสะดุดสายตา ก็สงวนวาจา
ท่านหญิงฉางเล่อเห็นแล้วยิ่งโกรธจัด "ความสูงศักดิ์ที่แท้จริงต้องมาจากเนื้อใน ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำก็จะสามารถ..."
เฉียวเยว่ก้มหน้าอ่านตำรา ไม่สนใจนาง แต่พอได้ยินเสียงนางหยุดลงทั้งที่พูดมาได้เพียงครึ่งเดียว ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เห็นอาจารย์กู้ยืนอยู่หน้าประตู จดจ้องท่านหญิงฉางเล่อด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ท่านหญิงฉางเล่อราวกับแมวน้อยลิ้นขาดไม่กล้าเอ่ยอีกแม้แต่คำเดียว
"ออกไปทำท่าสะพานโค้งหนึ่งร้อยครั้ง" อาจารย์กู้เยือกเย็นอย่างยิ่ง
ท่านหญิงฉางเล่อขบริมฝีปาก "เหตุใดต้องลงโทษข้า ข้าไม่ผิดเสียหน่อย"
"สองร้อยครั้ง ฐานพูดจาหยาบคาย ไม่รักมิตรสหายร่วมชั้น หากไม่พอใจก็ไปได้เลย แต่หาก้าอยู่ก็ต้องรักษากฎระเบียบของสำนักศึกษาสตรี"
ท่านหญิงฉางเล่อขบริมฝีปากจดจ้องอาจารย์กู้อยู่นาน ก่อนเดินกระทืบเท้าออกไป
อาจารย์กู้มองไปที่เฉียวเยว่ เอ่ยว่า "ซูเฉียวเยว่ เ้ากับหยางโม่หลันไปสวนด้านหลังเด็ดผลไม้ที่สุกแล้วมาเยอะหน่อย เอาไว้แจกเด็กๆ ที่มาเที่ยวชมงาน"
แม้ว่างานร้อยบุปผาจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าได้ แต่ก็ไม่เข้มงวดมากสำหรับเด็กๆ ด้วยเหตุนี้ทุกปีจึงมีเด็กยากจนจำนวนไม่น้อยเข้ามา พวกเขาก็จะแจกขนมลูกอมให้
เฉียวเยว่รับคำแล้วจูงมือโม่หลันออกไปจากห้อง ท่านหญิงฉางเล่อกำลังทำท่าสะพานโค้งอยู่ที่หน้าประตู
โม่หลันกระซิบด้วยความประหลาดใจ "ข้านึกว่านางจะโกรธจนหนีไปแล้วเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมาทำท่าสะพานโค้ง"
แท้จริงแล้วบทลงโทษแบบนี้ก็เป็ประโยชน์ต่อพวกนาง ไม่ว่าจะเป็การออกกำลังกาย่เช้า หรือการลงโทษให้ทำท่าสะพานโค้งเช่นนี้ ล้วนเพื่อให้พวกนางมีรูปร่างที่งดงาม นี่เป็สาเหตุให้ศิษย์หญิงในสำนักศึกษาสตรีของพวกนางส่วนใหญ่มีรูปร่างผึ่งผายสง่างาม
การส่งเสริมบุคลิกภาพแท้จริงแล้วมีั้แ่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน
เฉียวเยว่เดินผ่านท่านหญิงฉางเล่อมาแล้ว ก็หันไปมองนางแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างเบิกบานออกมา
"ได้เห็นคนน่ารำคาญถูกลงโทษสาแก่ใจดีใช่หรือไม่" โม่หลันยังพูดอยู่
"เปล่า ข้าแค่ยิ้ม แม้ว่านางจะไม่ยอมรับ แต่กลับไม่ยอมแพ้ เห็นได้ว่าคำพูดของอาจารย์กู้ยังเข้าหูนางอยู่"
โม่หลันตัวสั่นสะท้าน "อาจารย์กู้น่ากลัวกว่าอาจารย์ใหญ่เสียอีก สีหน้าบึ้งตึงทั้งวัน เอะอะก็ลงโทษ แต่เ้าไม่เหมือนกัน แต่ไรมาอาจารย์กู้ไม่เคยลงโทษเ้า"
"พวกเราเพิ่งมาเรียนกี่วันเอง ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันข้าอาจถูกลงโทษเหมือนกันก็ได้" เฉียวเยว่แบมืออย่างไม่ยี่หระ
โม่หลัน "เพ้ยๆ อย่าพูดเหลวไหล"
ทั้งสองมาถึงสวนด้านหลัง บนต้นไม้มีผลไม้ที่ออกผลไม้จำนวนหนึ่ง เฉียวเยว่อุทานเสียงดัง "พวกเราต้องถูกลงโทษเข้าแล้วไง"
โม่หลัน "เอ๋?"
เฉียวเยว่อมยิ้ม "พวกเราลืมหยิบตะกร้ามา"
โม่หลันตบศีรษะตัวเอง "จริงด้วยสิ จริงด้วยสิ ข้าก็ลืมสนิทเลย เดี๋ยวข้ากลับไปหยิบ เ้าเด็ดรอไปพลางๆ ก่อนได้หรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"
โม่หลันจากไป เฉียวเยว่เริ่มเด็ดผลไม้ก่อนเพียงลำพัง แม้ว่ารูปร่างของนางจะไม่นับว่าเตี้ยเมื่อเทียบกับสหายร่วมชั้น แต่ยามเด็ดผลไม้กลับยังต้องออกแรงอยู่บ้าง นางเขย่งปลายเท้าแหงนหน้าขึ้น
ยัง... เอื้อมไม่ถึง
เฉียวเยว่หายใจหอบ หลังจากนั้นก็ออกแรงฮึ้บแล้วออกแรงเขย่งอีกหน พูดตามตรงนางคิดที่จะปีนต้นไม้ มิเช่นนั้นคงไม่ได้เด็ดกันพอดี
มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมมาจับผลไม้ แล้วค่อยๆ เด็ดลงมา
เฉียวเยว่รู้สึกได้ถึงลมหายใจของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ตนเอง จึงเอี้ยวศีรษะหันไป
หรงจ้านยืนอยู่ใกล้นางมาก เขายื่นมือไปเด็ดผลไม้แล้วยื่นส่งให้ "ให้เ้า"
เฉียวเยว่ยิ้มเบิกบาน "ขอบคุณเ้าค่ะ พี่จ้าน"
หรงจ้านยืนอยู่ตรงข้ามกับนาง มองต่ำลงมา เห็นเรือนผมของนางดำขลับเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน แม้ว่าจะมัดไว้แต่กลับไม่ค่อยตรงตามระเบียบแบบแผนมากนัก
เฉียวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา "ท่านพี่จ้านมองสิ่งใดอยู่หรือ?"
เฉียวเยว่มองเขาด้วยความสงสัย
เขาโน้มตัวลงมาเล็กน้อย เลื่อนใบหน้าเข้ามาชิดกับเฉียวเยว่ ดวงหน้าเล็กจ้อยพลันแดงซ่าน นางขบริมฝีปาก "ทะ...ทะ...ท่านจะทำอันใด?"
นางพูดตะกุกตะกักอย่างตกประหม่า มือของหรงจ้านขยับเล็กน้อย หัวใจของเฉียวเยว่แทบจะกระดอนออกมาจากคอหอย นางคงไม่เจอคนโรคจิตที่สนใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เข้าหรอกนะ!
นางลอบกำมือแน่น หากเขากล้าทำอะไรไม่ดีนางก็พร้อมจะสู้กับเขาอย่างสุดชีวิต ให้รู้เสียบ้างใครว่าสตรีจะสู้บุรุษไม่ได้
"ท่าน... ท่าน..." ั์ตาของเฉียวเยว่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง
หรงจ้านพิศมองนางอย่างละเอียด ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน เฉียวเยว่สามารถมองเห็นเงาของตนเองผ่านม่านตาของเขา
สีหน้าของหรงจ้านยังเรียบเฉย มองเฉียวเยว่อยู่เช่นนี้ไม่รู้ว่าพิจารณาสิ่งใด หรืออยากพูดอะไร
เฉียวเยว่อยากถอยไปด้านหลัง แต่พบว่าถูกมือของเขาจับไว้
"ท่านพี่จ้าน!"
ในที่สุดหรงจ้านก็มีรอยยิ้มประดับมุมปาก เขาเลื่อนใบหน้ามาข้างหูของนาง ขนอ่อนของเฉียวเยว่ลุกชัน
เพียงแต่ความเขินอายหรือหวาดระแวงพลันสลายเป็หมอกควัน แปรเปลี่ยนเป็ความรู้สึกฉุนเฉียวอย่างเข้มข้นทันทีที่เขาเอ่ยวาจา
"รู้หรือไม่เพราะเหตุใดจึงเอื้อมไม่ถึง? หึๆ ก็เพราะเ้าเป็คนแคระอย่างไรเล่า"
พูดจบก็ปล่อยเฉียวเยว่แล้วถอยออกมาหนึ่งก้าว รอยยิ้มประดุจอาบด้วยสายลมวสันต์ ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
"จิ๊ๆ เตี้ยจริงๆ" เขาค่อนแคะ
เฉียวเยว่สูดหายใจลึกพยายามสงบสติอารมณ์ ใบหน้าของนางงอง้ำพลางแยกเขี้ยวยิงฟัน "ข้าเพิ่งสิบขวบ ยังโตได้อีก"
"กลัวแต่จะออกข้างมากกว่าน่ะสิ" หรงจ้านถอนหายใจ
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง มองไปรอบด้านเห็นไม่มีคน จึงเหวี่ยงกำปั้นน้อยขึ้นมา "ดังนั้นท่านคิดจะหาเื่ทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่"
มาโทษที่นางบันดาลโทสะ คนผู้นี้ทำตัวรุ่มร่ามไร้คุณธรรม นางจำเป็ต้องรักษามารยาทกับเขาด้วยหรือ
"ท่านรังแกข้า ข้าจะฟ้องท่านลุง ให้เขาตีท่านเลย" เฉียวเยว่ทำหน้ามุ่ยชี้ไปที่เขา
หรงจ้านพยักหน้ามองไปที่นิ้วขาวอวบราวกับต้นหอมของนาง แล้วยื่นนิ้วของตนเองออกมาส่องกับแสงอาทิตย์ หลังจากนั้นก็เอ่ยอย่างมั่นใจ "นิ้วของเ้าก็สั้น"
เฉียวเยว่ "..."
นางเดินเข้ามาอีกก้าว จดจ้องหรงจ้านเขม็ง "ท่านจะหาเื่หรือ ตัวสูงแล้วมีประโยชน์อันใด ไม้ฟืนยาวเพียงใดสุดท้ายก็ต้องเผาเป็ถ่าน มีประโยชน์หรือไม่?"
หรงจ้านก้มศีรษะมองนาง แม้ว่าลมหายใจของเขาจะแ่เบา แต่เพราะเข้ามาใกล้ ลมหายใจของบุรุษจึงคล้ายจะพรมรดลงมาบนพวงแก้มของนาง เฉียวเยว่ถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยืนใกล้เกินไป ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
รู้สึกว่าตนเองแทบจะไหม้อยู่รอมร่อ รีบหมุนตัวกลับไปเด็ดผลไม้ต่อ "พี่จ้านอย่ามามัวเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่เลย หากไม่รีบเก็บอีก เดี๋ยวจะถูกอาจารย์ลงโทษเอาได้"
เดิมทีหรงจ้านยังคิดจะหยอกเย้านางอีกสักสองสามประโยชน์ ไม่รู้เพราะเหตุใดทุกคราที่ได้แกล้งนางเขารู้สึกสนุกเป็พิเศษ แต่เมื่อสายตาเลื่อนไปที่ใบหูของเฉียวเยว่ ใบหูน้อยๆ ของนางราวกับหยวนเป่า [2] แท่งน้อยๆ และตอนนี้หยวนเป่าน้อยก็แดงก่ำไปแล้ว
แม้ว่าสีหน้าของนางยังคงสงบ เรียบเฉยมาก แต่ใบหูแดงก่ำของนางกลับทรยศเ้าตัว
หรงจ้านนึกถึงเื่ราวต่างๆ ตอนที่นางยังเด็กก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้
หลังขบคิดครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า "แม่หนูน้อย เ้ารู้อะไรหรือไม่?"
เฉียวเยว่หันกลับมา "หืม?"
"คนบางคนแม้ว่าเบื้องหน้าจะดูสงบนิ่งไม่มีอันใด แต่ความเคยชินเล็กน้อยบางอย่างกลับทรยศนางเสียเอง"
เฉียวเยว่หันกลับมา "อะไร?"
หรงจ้านทำท่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่ไม่คิดเฉลยให้นางรู้ เมื่อใดที่เฉียวเยว่ตกประหม่าใบหูของนางมักจะแดง เวลาพูดโกหกนางจะพูดเร็วขึ้น ตรรกะเหตุผลก็ยิ่งชัดเจนมาก และยามคิดจะใช้เล่ห์กลนางจะดูใสซื่อไร้เดียงสาเป็พิเศษ
สิ่งเหล่านี้... เขาล้วนไม่อยากบอก
"เ้ามีความเคยชินจุกจิกเยอะมาก แต่ข้าไม่บอกเ้า"
เฉียวเยว่ฉุนจัด ลมตีขึ้นมาถึงลำคอ อยากตีคนยิ่งนัก!
"เฉียวเยว่ ทะ... ทะ... ท่านอ๋องอวี้" โม่หลันเดินเลี้ยวเข้ามา
อวี้อ๋องตั้งท่ารังเกียจ "จิ๊จิ๊ ศิษย์หญิงของสำนักศึกษาสตรีมักมีท่วงทีสง่างามอยู่เสมอมิใช่หรือ หึๆ ช่างงามจริง!"
โม่หลันตัวแข็งทื่อ มองอวี้อ๋องจากไปอย่างสง่างาม นางปากคอสั่นทำท่าเหมือนจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา "จะ... จะทำอย่างไรดี ขะ...เขาคงไม่ต้องตาข้าแล้วกระมัง ไยเขาต้องชมข้าด้วย ทำอย่างไรกันดี"
เห็นนางใกลัวจนแทบร้องไห้
เฉียวเยว่กำลังนึกอยู่ว่าตนเองมีความเคยชินเล็กน้อยอันใดให้เขาจับได้ แต่เห็นท่าทางน่าสงสารของโม่หลัน ก็หันมาพูดปลอบโยนนาง "ไม่ใช่ ไม่มีอะไรหรอก แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ชมเ้าหรอก เ้าไม่ต้องกลัว เขาแค่เหน็บแนมเ้าน่ะ"
แต่พอพูดออกมาแล้ว กลับรู้สึกไม่ดีนัก คิดจะกล่าวเสริมอีกสักหน่อย แต่โม่หลันกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก "เหน็บแนมหรือ? เช่นนั้นก็ดียิ่ง ทำข้าใแทบตาย"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา "เพราะเมื่อครู่เ้าเลี้ยวมาถึงก็ทำสีหน้าตื่นตระหนก"
โม่หลันอึ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจัง "ไม่เข้าใจหรือ? อันที่จริงนี่เป็แผนของข้า หากข้าไม่ทำตัวแย่ๆ ออกไป จะถูกเขารังเกียจได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ร้องจิ๊จิ๊
โม่หลันผลักนางแล้วยิ้ม "มาเถอะ เก็บผลไม้ เก็บผลไม้ ว่าแต่... สูงจังเลย"
โม่หลันไม่สูงเท่าเฉียวเยว่
"ข้าปีนเอง เ้าดูต้นทาง" เฉียวเยว่ตัดสินใจเด็ดขาด
โม่หลัน "..."
...
[1] ผ้าไหมเซียงอวิ๋น เป็ผ้าไหมชนิดพิเศษที่มีเนื้อนิ่มละเอียดโปร่งเบา แม้สีสันจะไม่สดใสแต่ย้อมด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ ยิ่งนานไปก็ยิ่งสวยสด ให้ััที่ลื่นและนุ่มสวมใส่สบาย
[2] หยวนเป่าคือเงินก้อนทำมาจากเงินหรือทองคำ มีลักษณะคล้ายเรือลำเล็ก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้