เ่ิูเปลี่ยนสีหน้า
ฮะ?
อะไรดลใจ?
ทำไมเหมือนคนที่โดนเ้านี่ชี้จะเป็เขาล่ะ?
เป็เขาจริงๆ หรือ?
บัดซบแล้วไง
ตลอดชั่วครู่ที่ผ่านมา เ้าคนโฉดนี่ไม่ชายตาแลเขาเลยแม้แต่น้อยอย่างเห็นได้ชัด ไม่สนใจว่าเขาเป็ใครอะไรอย่างไรด้วยซ้ำ ทำไมจู่ๆ นึกอยากให้เขาอยู่ต่อเล่า? หรือว่าเป็เพราะเขาทำทีไม่กลัวตาย กระตุ้นปีกสีขาวพาท่านชายหลิวขึ้นเมฆลงเมฆ ถึงได้ให้ความสนใจงั้นหรือ? ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้ ท่านชายหลิวผู้าุโทำร้ายคน ถ้าข้ารู้ว่าจะลงเอยเช่นนี้คงให้หลิวจงหยวนบินขึ้นไปส่งแทนนานแล้ว
หลิวจงหยวนที่อยู่ด้านข้างหนาวสั่นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“ไม่ใช่ว่าเ้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่หรือว่าจะปล่อยพวกเราไป” ท่านชายหลิวมองเยี่ยนปู้หุย เขาขมวดคิ้วถาม “ตำแหน่งของเ้าในตอนนี้ คิดจะพูดแล้วคืนคำหรือ?”
เยี่ยนปู้หุยทำหน้าตาไม่ใส่ใจ น้ำเสียงมีความแข็งกระด้างอย่างไร้ข้อกังขา เขาเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะเก็บมาใส่ใจ “เื่ที่พูดไปแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้เชียวหรือ? ข้าก็มิใช่สุภาพบุรุษจอมปลอมเช่นลู่เฉาเกอเสียด้วย กลับคำแล้วอย่างไร? ให้เขาอยู่ต่อ พวกเ้าก็ไปเสีย หาไม่แล้ว พวกเ้าทุกคนอยู่ที่นี่ต่อให้หมดก็ได้ เลือกเอาเสียสิ”
“นี่...” ท่านชายหลิวลังเลชั่วครู่ “เอาอย่างนี้ไหม ข้าอยู่เอง เราดื่มชารำลึกความหลังกันต่อ ให้พวกเขาไปเถอะ ตำแหน่งฐานันดรเ้าในตอนนี้จะตั้งแง่กับเด็กๆ ไปไยเล่า?”
“ข้าคิดว่าเขาพูดถูก” เ่ิูเสริมอย่างรีบร้อน
ท่านชายหลิวหน้ามืด
“ฮ่าๆๆๆ” เยี่ยนปู้หุยะเิหัวเราะขึ้นมา
เมื่อหยุดหัวเราะ เขาก็ไม่มองหน้าเ่ิูแม้สักนิดเดียวเหมือนเดิม ทว่าจับจ้องท่านชายหลิวอยู่อึดใจ แววตาเหยียดหยามระบายอยู่อ่อนจาง “เซียนภาพท่านชายหลิว เป็คนสำคัญระดับสูงสุดของด่านโยวเยี่ยน แม้ว่าจะไม่ประสงค์ในชื่อเสียงหรือลาภยศ แต่เผ่าปีศาจก็ตกที่นั่งลำบากเพราะเ้าไม่น้อย ป้ายค่าหัวของกองพลสู่ทักษิณมีเ้าอยู่ในยี่สิบอันดับแรก หากกำจัดเ้าเสียแล้วกลับราชสำนักปีศาจ ย่อมต้องเป็ความชอบใหญ่หลวง แต่ว่า...” เอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยนปู้หุยก็เสริมกลั้วหัวเราะ “แต่ว่าในสายตาข้า ต่อให้มีท่านชายหลิวสิบคนก็ยังมีค่าไม่เท่าหนุ่มน้อยคนนี้เพียงผู้เดียว”
ท่านชายหลิวฟังแล้วมิได้โกรธขึ้งเพราะโดนดูถูก เขาเพียงส่ายหน้า “เ้าอาจมองผิดไป ทูตถือดาบตรวจการณ์เย่เพิ่งมาด่านโยวเยี่ยนได้ไม่ถึงเดือนดีเลย”
“ใช่แล้วๆ” เ่ิูรีบสนับสนุน
แต่เขากลับถูกเมินอีกหน
เยี่ยนปู้หุยเอ่ยอย่างสงบและจริงจัง “มีบางคน แม้นว่าจะมีชื่อเสียงเกียรติยศล้นฟ้าเพียงไหน อำนาจบารมีมากมายเพียงใด แค่เห็นหน้ากลับรู้สึกว่าธรรมดาเหลือเกิน ชื่อเสียงนั่นก็แค่ซ่อนความอัปลักษณ์ไว้ใต้เปลือกนอกเท่านั้น แล้วก็มีบางคน แม้ว่าชื่อเสียงจะมิได้ก้องไกล ทว่าแค่พบหน้าครั้งแรก กลับทำให้คนมองหวั่นกลัวได้” เขาปรายตามาทางเ่ิู สายตาฉายแววชมชอบ “จากที่ข้ามอง เ้าหนุ่มนี่เป็คนรุ่นหลัง แม้จะยังไม่ปีกกล้าขาแข็ง แต่ข้าเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา ปล่อยเขาไว้ เท่ากับว่าอาจเป็หนามยอกอกข้าได้ในภายภาคหน้า สู้กำจัดเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า”
ท่านชายหลิวชะงัก
เยี่ยนปู้หุยชำเลืองมองเขา เหมือนจะยิ้มและเหมือนจะไม่ยิ้ม เขาเสริมขึ้นอีก “อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้ ท่านชายหลิวหาใช่คนดีไม่ กับคนที่ไร้ประโยชน์แล้วเ้าจะไม่เหลือความปรานีให้ คราวนี้กลับเสนอตัวแลกกับเ้าหนุ่มคนนี้ ฮึๆ น่ากลัวว่าเ้าจะมองเห็นศักยภาพเขาแล้วกระมัง?”
ท่านชายหลิวมองเยี่ยนปู้หุยอยู่นานนัก
เขารู้ดี ว่าตนได้พ่ายต่อหน้าศัตรูในอดีตอีกหน
ความจริงแล้ว นับั้แ่ที่เ่ิูบรรลุถึงเส้นทางแห่งธรรมชาติจากการมองเขาวาดภาพ ปลุกิญญาได้ในราตรีเดียวแล้ว ท่านชายหลิวก็ทึ่งในตัวเด็กคนนี้นับแต่นั้น ครั้นเห็นเ่ิูสังหารข้าศึกด้วยความแข็งแกร่งและกล้าหาญ ยิ่งทำให้เซียนภาพผู้นี้รู้สึกเหมือนคนตาบอด ไม่อาจเห็นค่าที่แท้จริงของหยกที่ยังมิได้เจียระไนเม็ดนี้ได้ เขาเสียดายนักที่พาเ่ิูเข้ามาในที่อันตรายเช่นนี้ หากสูญเสียอัจฉริยะผู้นี้ไป ย่อมต้องเป็ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ต่อด่านโยวเยี่ยนและอาณาจักรเป็แน่
แต่ว่าตอนนี้...
สายตาของเยี่ยนปู้หุยช่างเป็พิษ
เมื่อบุรุษรูปงามเห็นท่านชายหลิวไม่เอ่ยปากจึงสาธยายต่อ “ท่านชายหลิวบุกเดี่ยวเข้าทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะคราวนี้ มีเป้าหมายอันใด ข้าคิดว่าอย่าให้ข้าพูดมากนักจะดีกว่า หากข้าทายไม่ผิด ในเรือเหาะอักขระลำนี้ต้องซ่อนแผนที่กำลังทหารกับสภาพภูมิประเทศของกองพลสู่ทักษิณบนทุ่งน้ำแข็งใช่ไหม สำหรับลู่เฉาเกอแล้ว นี่คงเป็ของที่เขาวาดฝันว่าอยากได้มันเหลือเกิน ฮึๆ...”
ท่านชายหลิวหน้าเปลี่ยนสี
หลิวจงหยวนตระหนกนัก เขารีบกระชับดาบยาวบนบั้นเอวไว้ทันที
“ฮึๆ อย่ากระวนกระวายใจไป แผนที่พวกนี้ข้ามอบเป็ของขวัญแก่ลู่เฉาเกอก็แล้วกัน ให้พวกเ้าไปแล้วอย่างไร ข้าจะตั้งตารอวันที่ลู่เฉาเกอนำกองทัพโยวเยี่ยนเข้ามารบกับข้าในอาณาเขตทุ่งน้ำแข็งทลายหิมะ มิใช่หดหัวเป็เต่าในกระดองที่ด่านโยวเยี่ยนเยี่ยงทุกวันนี้...” คำพูดของเยี่ยนปู้หุยส่อแววระรานและมั่นใจเช่นที่คนสามัญไม่อาจเข้าใจอยู่ล้นฟ้า เขาทิ้งท้ายผะแ่ “ค่าของแผนที่พวกนั้น สำหรับข้ามันยังไม่สูงเท่าหนุ่มน้อยคนนี้ เพราะงั้น พวกเ้าเอากลับไปเถอะ แต่เขา ต้องอยู่ที่นี่”
ประกาศิตเฉียบขาด
ไม่มีที่เหลือให้หันหลังกลับอีกแล้ว
ท่านชายหลิวเข้าใจนิสัยของเยี่ยนปู้หุยดี รู้ดีว่าเมื่อเขาเอ่ยมาถึงขั้นนี้ นั่นแปลว่าไม่เหลือสิ่งใดให้เปลี่ยนแปลง
หากมัวรีรอต่อไป น่ากลัวว่าใครหน้าไหนก็ตามบนเรือเหาะอักขระก็อย่าได้คิดหนี
แต่ท่านชายหลิวกลับไม่เต็มใจจะปล่อยเพชรในตมเม็ดนี้ไปจริงๆ
บรรยากาศช่างน่าอนาถและเศร้าสลด
หลิวจงหยวนมองเ่ิูด้วยสายตาเห็นใจและช่วยอะไรไม่ได้
ท่านชายหลิวทอดถอนใจ เขากำลังจะลองดูอีกที...
ตอนนั้นเอง
“ได้!”
เสียงตื่นเต้นดังขึ้นบนเรือเหาะอักขระ
เ่ิูผู้เคยกลัวมาตลอดยิ้มหน้าบาน จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ยกนิ้วหัวแม่โป้งกระดิกใส่หน้าเยี่ยนปู้หุย
“ฮ่าๆ เยี่ยนปู้หุยใช่ไหม? ดี พูดได้ดีมากเลย ฮ่าๆ ว่ากันตามจริง ข้าโตมาจนขนาดนี้ ถึงจะมีใครเอ่ยปากชมข้ามามากมาย แต่อดยอมรับไม่ได้เลยนะว่า คำยกยอของเ้าในวันนี้ช่างจริงใจและสร้างสรรค์ที่สุดเลยล่ะ ฮ่าๆ ในเมื่อเ้าชื่นชมข้าจริงใจถึงเพียงนี้แล้ว ข้าไม่อยู่จะเป็การเสียน้ำใจ เอาตามนี้แหละ พวกเขาไป ข้าอยู่ต่อ”
าามารเย่หน้าตาเปี่ยมอารมณ์และเบิกบานนัก
เขาเหมือนเด็กน้อยตื่นเต้นเกินพอดี ใบหน้าเผยความแดงอย่างขวยเขิน
เยี่ยนปู้หุยชะงักเล็กน้อย
นี่เป็ครั้งแรกที่เขามีสีหน้าคาดไม่ถึงนับแต่ปรากฏกายขึ้นมา
และท่านชายหลิว หลิวจงหยวนกับคนอื่นกลับมองเ่ิูนิ่งนัก เด็กหนังสือด้านข้างต้องห้ามใจไม่ให้มาอังหน้าผากเ่ิูเสียทีหนึ่ง ยืนยันว่ามิใช่เพราะพิษไข้ถึงได้พูดอะไรเหลวไหล
“ทูตตรวจการณ์เย่ ท่าน...” ท่านชายหลิวกระวนกระวายนัก เขาอยากจะพูดบางอย่าง
เ่ิูปัดป่ายมือ ท่าทีเด็ดเดี่ยวองอาจเมื่อตอบอย่างกล้าหาญ “ท่านชายหลิว ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เขาเห็นความสำคัญข้าถึงเพียงนี้ หากข้าไม่สนองตอบเสียหน่อยจะดีได้เช่นไร พวกท่านไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า เสียสละข้าคนเดียวเพื่อชีวิตคนส่วนมากก็คุ้มค่าพอแล้ว”
หมู่ชนบนลำเรือล้วนตื้นตันนัก
นี่ต่างหากผู้กล้าที่แท้จริง
จิติญญาเพื่อส่วนรวมใช่ส่วนตน
ข้าไม่ตกนรกแล้วใครจะตก ทูตตรวจการณ์เย่ คือผู้ห้าวหาญตัวจริง
นักรบท่านที่ค่อนข้างอารมณ์อ่อนไหวั์ตาชื้นแฉะ
และยังทหารที่กักเก็บความรู้สึกไว้ภายใน พวกเขาทำความเคารพแก่เ่ิูเฉกเช่นชายชาติทหาร
แต่ใครจะรู้กันเล่า ว่าเ่ิูกลับเปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน เขาหัวเราะเบาๆ พลางว่า “อีกอย่าง ให้ข้าอยู่นี่ต่อก็ใช่ว่าจะตายแน่นะ หากสิ้นไร้หนทางจริงๆ ข้ายังมีไม้ตายเหลืออยู่ อย่างไรก็ไม่ตายแน่”
“ไม้ตายอะไร?” หลิวจงหยวนตาเป็ประกาย
เ่ิูลูบคาง เขาหัวเราะฮึๆ อย่างไร้ยางอาย “ข้าจะยอมจำนน...วะฮะฮะฮ่า เ้าคนนี้เห็นอะไรดีในตัวข้าถึงเพียงนี้ หากข้ายอมคุกเข่าศิโรราบแก่เขา บางทีเขาอาจไม่ฆ่าข้าก็ได้...”
พูดไม่ทันขาดคำ
ใต้หล้าสงบสงัด
หลิวจงหยวนแทบจะร่วงลงไปกองกับแผงเกราะ
ท่านชายหลิวจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็หาใช่ เขาเกิดใจร้อนอยากเข้าไปบีบเ้าปัญญาอ่อนนี่ให้ตายคามือนัก
คนที่ดวงตาเอ่อท่วมด้วยของเหลวร้อนๆ คนที่ทำความเคารพเยี่ยงชายชาติทหาร ต่างก็ก้มหน้าเงียบงัน ลูบดาบหอกและเกราะของตัวเอง รวมทั้งเหล่านักรบที่คอยอธิษฐานและซาบซึ้ง เหมือนโดนสาดน้ำร้อนกลางหิมะยามแรกใบไม้ผลิ ไม่เพียงห่างหายไปอย่างไร้ร่องรอยเท่านั้น ยังหลงเหลือกลิ่นสาบชวนให้คนไล่บี้อยู่ด้วย
กระทั่งเยี่ยนปู้หุยยังยกริมฝีปากขึ้นเป็เชิงล้อ
สารเลว!
เกือบจะทุกคนนึกคำนี้ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ไอ้ปัญญาอ่อนตรงหน้าพวกเขานี้ ใช่คนเดียวกันกับที่ฆ่าล้างศัตรูอย่างกับเทพาเืร้อน สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาก่อนหน้านี้หรือเปล่า?
มิใช่ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังเท้าได้ตลอดเวลาหรอกนะ?
ทันใดนั้น บรรยากาศโศกสลดและน่าสังเวชซึ่งเคยอบอวลพลันห่างหายไปทันที
ท่านชายหลิวลูบหน้าผากป้อยๆ จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในห้องเรือเหาะ เขาเดินไปสั่งการไป “ติดเครื่องเรือ รีบเร็วเข้า พวกเราไปกันเถอะ”
สิบอึดใจให้หลัง
เรือเหาะอักขระเสมือนลูกธนูดิ่งจากคันศร ราวกับกระต่ายตื่นตูมวิ่งอุตลุดหนีไปแสนไกลอย่างไร้เงา
“เอ้อ? ไปจริงหรือ? พวกเวรนี่ ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรสักคำเลย ไปแล้วจริงๆ เรอะ...” เ่ิูกัดฟันด่ายามมองเรือเหาะอักขระหายไปกับหมู่เมฆไพศาล
อีกด้าน
เยี่ยนปู้หุยจ้องเ่ิูไม่กะพริบ ริมฝีปากกระตุกอยู่หลายหน
เขาสูดลมหายใจลึก โคจรหทัยวรยุทธ์ที่ฝึกฝนมาหลายสิบปี ถึงได้หักห้ามความใจร้อนอยากฆ่าเ้าสารเลวนี่ให้แหลกเป็สวะ เขาเอ่ยยั่วเย้า “ทำไมเล่า? หนุ่มน้อย เสียดายหรือ?”
เ่ิูกวาดตามองเขา ก่อนตอบอย่างโมโห “ข้าเสียดายแล้วได้อะไรเล่า เ้าโหดถึงเพียงนี้ ท่านชายหลิวกับพวกเขาลังเลมาตลอด ผลสุดท้ายไม่ใช่ว่าข้าก็ถูกทิ้งไว้ที่นี้เหมือนเดิมหรอกหรือ?”
“เ้ามองออกนี่” เยี่ยนปู้หุยใช้สายตาเยี่ยงแมวตะครุบหนูจ้องเ่ิูโดยที่จงใจไม่ตักเตือนเขา
เ่ิูไม่สนใจเขา สายตากลิ้งกลอกไปมา สำรวจทุกอย่างรอบด้าน ท่าทางราวกับกำลังวางแผนบางอย่างอยู่